“ก็ดี เมื่อวานมีแขกมาที่ศาลาพักม้า วันนี้จึงมาซื้อหมูของข้าไปตัวหนึ่ง” เช้านี้คนขายเนื้อแซ่จางหาเงินได้ห้าตำลึง จึงยิ้มไม่หุบ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองกำลังจะเดินไป จึงชี้ไปมั่วๆ ที่เครื่องในหมู ซึ่งวางอยู่บนพื้นในร้าน “ข้ามีเครื่องในหมูกับหางหมูอยู่ด้วย พวกเ้าเอาไปเถิด”
หลี่หรูอี้มิได้ให้หลี่เจี้ยนอันซื้อเครื่องในหมูมาด้วย สองพี่น้องจึงส่ายหัวปฏิเสธ
คนขายเนื้อเเซ่จางรีบบอกว่า “นี่เป็ของขวัญที่บ้านข้ามอบให้หมอเทวดาตัวน้อยของบ้านเ้า พวกเ้ารีบนำไปเร็ว มิเช่นนั้นข้าคงต้องวิ่งไปหมู่บ้านหลี่ยามฝนตกอีกครั้ง”
เครื่องในหมูและหางหมูไม่แพงเท่าราคาเนื้อหมูหนึ่งชั่งด้วยซ้ำไป
คนขายเนื้อแซ่จางทำเช่นนี้เพื่อรักษาสัมพันธภาพอันดีไว้บ้างเท่านั้น
ผู้เยาว์ทั้งสองมิอาจปฏิเสธได้จึงรับมา
ดูผิวเผินคนขายเนื้อแซ่จางมีลักษณะแข็งกร้าว แต่กลับมีจิตใจที่ละเอียดอ่อน เขานำใบไม้มารองไว้ก้นตะกร้าของครอบครัวหลี่สามชั้น แล้วค่อยใส่เครื่องในหมูลงไป เช่นนี้เืของหมูก็จะไม่ไหลซึมออกมาจนเลอะเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มทั้งสอง
สองพี่น้องหลี่กล่าวขอบคุณ แล้วจึงเดินทางกลับบ้านอย่างเบิกบานใจ
ตลอดทางฝนยังคงตกอยู่ สองพี่น้องหลี่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าเป็ครั้งคราว ดูท่าทางวันนี้คงไม่เห็นแดดทั้งวันเป็แน่ การค้าขายที่ตัวอำเภอก็ทำไม่ได้ ครอบครัวจึงหาเงินได้น้อยลงสองร้อยทองแดง
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานทำงานที่บ้านเสร็จแล้ว กำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ในห้องโถง ต่างก็มองไปยังท้องฟ้าด้านนอกเป็ระยะเช่นเดียวกัน
จ้าวซื่อนั่งปักผ้าอยู่ข้างพวกเขา ยามนี้แสงสว่างน้อยมาก จึงจำต้องจุดตะเกียงน้ำมัน
หลี่หรูอี้เพิ่งปรุงยาเสร็จ นางเดินออกมาจากห้อง ทั่วทั้งร่างมีกลิ่นของสมุนไพรติดเสื้อผ้าส่งกลิ่นหอมจางๆ นางยืนอยู่ใต้ชายคา มองไปเบื้องหน้า
ฝนโปรยปรายลงมาเป็สาย ตกหนักกว่าตอนเช้าและบ่ายเสียอีก ทั่วทั้งหมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยม่านฝน บ้านที่มีระดับพื้นสูงต่ำไม่เท่ากันกระจายตัวอยู่ทั้งสองฝั่งถนน ล้วนเป็บ้านมุงหลังคาด้วยหญ้าทั้งสิ้น
หมู่บ้านหลี่อยู่ในที่ราบสูง มีแม่น้ำไหลผ่านสายหนึ่ง ไม่มีน้ำท่วมมาหลายปีแล้ว
หมู่บ้านหลี่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเยี่ยน สภาพอากาศของที่นี่มีสี่ฤดูที่แตกต่างชัดเจน ธัญพืชที่นิยมปลูกในหมู่บ้าน นอกจากข้าวสาลีแล้วก็มีข้าวโพดและข้าวฟ่าง
ที่นี่มีกำลังการผลิตต่ำ ทั้งยังไม่มีปุ๋ยเคมี ทำให้มีผลผลิตทางการเกษตรต่ำมาก ที่นาดีๆ หนึ่งหมู่ หากเป็ปีที่เก็บเกี่ยวได้ดี อย่างมากก็ผลิตข้าวสาลีได้เพียงสองร้อยกว่าชั่ง เมื่อนำไปทำเป็แป้งก็ได้เพียงสองร้อยชั่ง ซึ่งยังเป็แป้งดำ หากจะทำให้เป็แป้งขาวจะได้เพียงร้อยกว่าชั่งเท่านั้น
ครอบครัวหลี่มีที่นาดีๆ สิบหมู่ ที่นาไม่ดีสามหมู่ ที่นาดีปลูกข้าวสาลี ส่วนที่ไม่ดีปลูกผักและข้าวโพด
ปีนี้สภาพอากาศเป็ใจ ที่นาดีทั้งสิบหมู่เก็บเกี่ยวข้าวสาลีได้ทั้งสิ้นสองพันหกร้อยกว่าชั่ง ครึ่งหนึ่งนำไปทำเป็แป้งดำเพื่อส่งมอบให้ราชสำนักและเก็บไว้กินเอง อีกครึ่งหนึ่งทำเป็แป้งขาวเพื่อนำไปขาย
ร้านธัญพืชในตำบลขายแป้งขาวที่ราคาหนึ่งชั่งสามทองแดง หากชาวบ้านจะนำแป้งขาวไปขายให้ร้านธัญพืช หนึ่งชั่งจะได้เพียงสองทองแดง ข้าวสาลีหนึ่งพันสามร้อยชั่งของบ้านหลี่ทำแป้งขาวออกมาได้หนึ่งพันชั่งนิดๆ ขายได้กว่าสองตำลึงเงิน
หลี่หรูอี้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในใจมีความคิดดีๆ อีกแล้ว จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องโถง จุดตะเกียงให้จ้าวซื่อ “ท่านแม่เ้าคะ ต่อไปนี้ครอบครัวเราต้องใช้แป้งขาวมากขึ้นทุกเดือน หากไปซื้อที่ตำบลหนึ่งชั่งสามทองแดง มิสู้รับซื้อแป้งขาวจากคนในหมู่บ้านดีหรือไม่ เช่นนี้หนึ่งชั่งก็ประหยัดไปได้อีกหนึ่งทองแดง ท่านแม่คิดเห็นอย่างไรเ้าคะ?”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานดวงตาเป็ประกาย พากันมองไปทางจ้าวซื่อ
“ได้” จ้าวซื่อขยับเข้าใกล้ตะเกียงน้ำมันที่อยู่ด้านหน้า “ทุกบ้านในหมู่บ้านต่างก็มีแป้งขาว เ้าคิดจะรับซื้ออย่างไร?”
เมื่อครู่หลี่หรูอี้คิดดีแล้วจึงตอบอย่างฉะฉานมั่นใจ “ครอบครัวเรามิได้ซื้อแป้งมากเท่าร้านธัญพืชในตำบล ย่อมมิอาจกดราคาให้ต่ำเกินไปนัก ข้าคิดว่าแป้งขาวสองชั่งจะให้ห้าทองแดง สูงกว่าในตำบลเล็กน้อย ครั้งแรกข้าคิดจะรับแป้งขาวจากบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเสียก่อน จากนั้นค่อยรับซื้อจากคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับบ้านเรา”
หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านหลี่คือ หวังไห่ หัวหน้าตระกูลหวัง ปีนี้อายุห้าสิบสามแล้ว นิสัยเปิดเผยจริงใจ ทำงานซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา มีบารมีในหมู่บ้านมาก
ภรรยาคนแรกของเขาเสียไปเมื่อหลายปีก่อน เหลือเพียงบุตรชายสองคน ภายหลังจึงแต่งกับเฟิงซื่อ ซึ่งเป็คนที่เดินทางหนีภัยมาจากนอกหมู่บ้านด้วยกันพร้อมกับจ้าวซื่อเมื่อสิบห้าปีก่อน
ปีนี้เฟิงซื่ออายุสามสิบสามแล้ว อ่อนกว่าหวังไห่ยี่สิบปีเต็ม อายุน้อยกว่าหวังลี่ตง บุตรชายคนโตของหวังไห่หนึ่งปี อายุมากกว่าหวังชุนเฟิน บุตรชายคนรองของหวังไห่หนึ่งปี
เฟิงซื่อมีบุตรสาวและบุตรชายให้หวังไห่อย่างละหนึ่งคน นับว่ามีความมั่นคงในตระกูลหวังแล้ว หวังไห่จึงฟังคำพูดของนาง
เฟิงซื่อและจ้าวซื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“ท่านแม่ ความคิดของน้องสาวดีจริงๆ เช่นนี้ครอบครัวของเราก็ประหยัดเงินไปไม่น้อย” หลี่ิ่หานคิดว่าประหยัดเงินไปได้ก็ดีมากแล้ว
หลี่อิงฮว๋ากรอกตาหลายรอบ มองไปที่จ้าวซื่อ พลางกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น “วันนี้พี่ใหญ่และพี่รองไปซื้อแป้งขาวสามสิบชั่งจากตัวตำบล ใช้เงินไปเก้าสิบทองแดง หากซื้อที่หมู่บ้านใช้เงินเพียงเจ็ดสิบห้าทองแดงเท่านั้น ประหยัดไปได้สิบห้าทองแดงเชียว ครอบครัวเรามาจากนอกหมู่บ้าน หากรับซื้อแป้งขาวจากบ้านหัวหน้าหมู่บ้านบ่อยๆ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ และสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกัน หัวหน้าหมู่บ้านย่อมใส่ใจครอบครัวของพวกเรามากขึ้น”
จ้าวซื่อมิใช่คนโง่ เื่ดีๆ เช่นนี้ย่อมสนับสนุนแน่นอน นางวางเข็มและด้ายในมือลง กล่าวอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าจะไปคุยกับเฟิงซื่อเื่ซื้อแป้งขาวเสียหน่อย”
หลี่หรูอี้รีบรั้งไว้ “ท่านแม่ วันนี้ฝนตกทางเดินลื่น รอให้ถึงวันที่อากาศดีก่อนท่านค่อยไปเถิด”
“สิบห้าทองแดงเชียว หากรู้แต่แรกข้าคงไปั้แ่เมื่อวานแล้ว” จ้าวซื่อคิดในใจ หนึ่งวันประหยัดไปได้สิบห้าทองแดง หนึ่งเดือนอย่างน้อยก็ประหยัดไปได้กว่าสี่ร้อยทองแดง เงินเหล่านี้ข้าต้องปักผ้าสองเดือนกว่าเชียว
“ท่านแม่ขอรับ ข้าจะไปเป็เพื่อนท่านเอง” หลี่อิงฮว๋ายืดตัวขึ้น เดินไปหยิบอุปกรณ์กันฝนอย่างตื่นเต้น
หลี่หรูอี้รีบเอ่ยต่อ “หากจะไปเช่นนั้นข้าไปเอง”
“ให้พี่สามเ้าไปเป็เพื่อนข้าก็พอ เ้าอย่าไปเลย” จ้าวซื่อตบบ่าที่ผอมจนเห็นกระดูกของหลี่หรูอี้พลางส่ายหน้า
หลี่อิงฮว๋าและจ้าวซื่อเปลี่ยนไปสวมรองเท้าฟาง กางร่มน้ำมันเดินไปที่บ้านหวังไห่
บ้านหวังไห่อยู่กลางหมู่บ้าน เป็บ้านแบบสามเรือน มุงหลังคาด้วยหญ้าเช่นกัน
หวังไห่และภรรยา รวมทั้งหวังเยี่ยนและหวังจื้อเกา บุตรที่เกิดจากเฟิงซื่ออาศัยอยู่ที่เรือนหลังแรก ส่วนหวังลี่ตงและหวังชุนเฟินอยู่เรือนที่สองและสาม
ครอบครัวของหวังไห่ก็เหมือนกับครอบครัวส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ไม่ได้แยกบ้าน ยามกินก็กินร่วมกัน เวลาทำงานก็ช่วยกันทำงาน
มากคนก็มากความ อีกทั้งเฟิงซื่อเป็ภรรยาที่ตกแต่งเข้ามาใหม่ ความขัดแย้งในบ้านจึงยิ่งมาก
ก่อนที่สองแม่ลูกบ้านหลี่จะมาถึง เฟิงซื่อเพิ่งปิดประตูแล้วด่าทอสะใภ้ ซึ่งเป็ภรรยาของหวังลี่ตงและหวังชุนเฟินอยู่ในห้องโถง
ต่อให้เฟิงซื่อจะแต่งงานเข้ามาใหม่ก็นับเป็ผู้าุโ สามารถใช้ความาุโตักเตือนสะใภ้ทั้งสองได้ อีกทั้งคราวนี้ยังมากด้วยเหตุผล จึงด่าว่าพวกนางอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม เื่แย่ๆ ในบ้านไม่อาจนำออกไปพูดข้างนอก ดังนั้นเฟิงซื่อจึงไม่พูดเื่นี้ต่อหน้าผู้อื่นเป็อันขาด นางเชิญให้จ้าวซื่อนั่งลงด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็มิตร เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางเบา “วันนี้ฝนตก ในที่สุดเ้าก็ยอมเลิกปักผ้าแล้วหรือ อะไรทำให้เ้ามานั่งเล่นที่บ้านข้าได้?”
เฟิงซื่อสวมชุดที่ทำจากผ้าป่านสีน้ำเงินกลางเก่ากลางใหม่ ผมหนามวยขึ้นเป็ทรงสบายๆ ปักด้วยปิ่นลายจักจั่น
นางมีรูปร่างเล็ก ใบหน้ายาว ดวงตาเรียวเล็ก จมูกแบน ริมฝีปากหนา ผิวคล้ำไม่นุ่มลื่น เรียกได้ว่ารูปโฉมขี้เหร่อยู่บ้าง เมื่อรวมกับขาขวาที่ใช้การไม่ค่อยดีนัก จึงเรียกได้ว่าเป็สตรีอัปลักษณ์
แต่นางก็มีดวงตาเป็ประกาย มีรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจอยู่บ้าง ดูแล้วมีชีวิตชีวา นับว่าเป็คนที่ฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง
“หากไม่มีเื่คงไม่มา ข้าอยากหารือกับเ้าเสียหน่อย” จ้าวซื่อกล่าวโดยไม่อ้อมค้อม แน่นอนว่ากล่าวถึงความ้าไปด้วย เช่นคุณภาพของแป้งขาว
คุณภาพของแป้งขาวก็แบ่งเป็หลายระดับ ยิ่งละเอียดก็ยิ่งแพง
แป้งขาวที่บ้านหลี่้าคือ ระดับเดียวกับที่ตำบลจินจีรับซื้อ
.......................................