โจวฉยงรุ่ยขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูฉินไท่เฟย “ท่านลุงจางล้มป่วยหนัก ตระกูลจางเกรงว่าจะทำให้การแต่งงานของจือ อวิ๋นล่าช้า และยังหวังจะจัดงานมงคลเพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้ท่านลุงจางด้วย จึงเลื่อนกำหนดสมรสให้เร็วขึ้นเพคะ”
“การสมรสดีๆ ครั้งหนึ่ง จะมาเลื่อนให้เร็วขึ้นตั้งหลายวันเช่นนี้ ก็นับว่าเร่งรีบเกินไป” ฉินไท่เฟยถอนใจคราวหนึ่ง “แต่ว่าก็เป็เื่ที่จนปัญญา คนเรานี้หนา จะเป็อันใดก็อย่าได้เจ็บป่วยเลยเป็ดี”
“เสด็จย่าตรัสถูกต้องแล้วเพคะ”
“วันพรุ่งเ้าไปปลอบโยนจื่ออวิ๋นดีๆ เล่า”
ฝ่ายหลี่หรูอี้นั้นกลับมาถึงเรือนแล้ว หลี่ซานพ่อลูกเล่าเื่ที่นางประสบมาในวันนี้ให้คนในครอบครัวฟัง ทุกคนล้วนภาคภูมิใจในตัวนาง
หลังจากหลี่หรูอี้กินอาหารเย็นเสร็จ ก็ถามว่า “ท่านพ่อ พี่ใหญ่เ้าคะ พวกท่านได้สังเกตคฤหาสน์ของจวนติงและจวนสวี่หรือไม่เ้าคะ”
หลี่ซานพ่อลูกไปจวนแม่ทัพเป็ครั้งแรก ซ้ำพวกเขายังเป็แค่ชาวบ้านธรรมดา มีนิสัยซื่อๆ เจียมเนื้อเจียมตัว ไฉนเลยจะกล้ามองซ้ายมองขวา จึงพากันส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ได้สังเกต”
หลี่หรูอี้ยิ้มน้อยๆ บอกว่า “พวกเราจะไปสร้างเรือนในตัวอำเภอฉางผิง หากพวกท่านคอยสังเกตบ้านเรือนของผู้คนสักหน่อย ถึงยามนั้นก็จะได้ใช้เป็กระจกสะท้อน[1]ได้เ้าค่ะ”
หลี่เจี้ยนอันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จริงด้วย ตกลง วันพรุ่งข้าจะสังเกตดู”
หลี่ฝูคังถามว่า “พี่ใหญ่ วันพรุ่งข้าจะไปกับน้องสาว ข้าอยากเปิดหูเปิดตาบ้างว่า จวนแม่ทัพเป็อย่างไร”
หลี่อิงฮว๋าเห็นหลี่เจี้ยนอันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงบอกว่า “พี่ใหญ่ ท่านก็เคยไปที่จวนเยี่ยนอ๋องกับจวนแม่ทัพแล้ว แต่พวกเรายังไม่เคยไปเลย ท่านให้พวกเราไปดูบ้างสิ”
หลี่ิ่หานที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหลี่อิงฮว๋าอย่างยิ่ง
จ้าวซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเ้าพี่น้องทั้งสี่คนผลัดกันไปเป็เพื่อน ยามที่หรูอี้ออกไปรักษา จะได้ไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกกันทุกคน”
หลี่เจี้ยนอันกำชับว่า “พวกเขาล้วนเป็ตระกูลสูงศักดิ์มั่งมี มีกฎเกณฑ์มากมาย น้องสาวเป็หญิง พวกเ้าไปแล้วก็อย่าพูดมาก จำไว้ว่าพูดมากจะผิดมาก”
จ้าวซื่อมองดูบุตรชายทั้งสี่ คนโตสุขุมเยือกเย็นที่สุดแต่ก็เคร่งครัดเกินไป คนรองเฉลียวฉลาดแต่กลับออกจะมุทะลุ คนที่สามมีไหวพริบหัวไวแต่ก็ค่อนข้างใจร้อน คนที่สี่ดูไปแล้วซื่อๆ แต่ความจริงแล้วเป็จอมวางแผน
นางจึงเอ่ยว่า “มิสู้พวกเ้าทำเหมือนที่เคยออกไปค้าขาย แบ่งเป็กลุ่มละสองคน ตามน้องสาวพวกเ้าออกไปทำการรักษา”
เด็กหนุ่มทั้งสี่คนพูดเป็เสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมายว่า “ดีขอรับ”
หลี่อิงฮว๋าเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “วันนี้พี่ใหญ่ไปแล้ว วันพรุ่งให้ข้ากับน้องสี่ไป”
หลี่ฝูคังจึงบอกว่า “ข้ายังไม่เคยไปเลย วันพรุ่งให้ข้ากับพี่ใหญ่ไปก่อนสิ”
หลี่อิงฮว๋ากวักมือเรียกหลี่ิ่หาน “น้องสี่ กลับไปอ่านหนังสือที่ห้องกับข้า วันพรุ่งจะได้ไปขอคำชี้แนะจากพี่เจียง”
หลี่ฝูคังหน้าบึ้งพลันเอ่ยว่า “ใครเห็นด้วยให้พวกเ้าไปในวันพรุ่งกัน”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกพี่ๆ ไม่ต้องแย่งกัน หลายวันนี้ข้าต้องออกไปรักษาไม่ใช่น้อยครั้งเป็แน่ พวกท่านล้วนผลัดกันไปได้จนครบทุกคนเ้าค่ะ” พูดจบนางก็ไปปรุงยาในห้องยาที่จัดไว้ให้นางโดยเฉพาะ
จ้าวซื่อต้องดูแลเด็กทารกสองคนและยังมีคนมาไหว้ปีใหม่ด้วย วันนี้ทั้งวันวุ่นวายั้แ่เช้าจรดค่ำกว่าจะได้อยู่ตามลำพังกับหลี่ซาน เวลานี้จึงถามเขาว่า “วันนี้เ้าได้พบกับท่านชายแล้วหรือ”
“ได้พบแล้ว หน้าตาดีเหมือนกับชิงอวิ๋น มีสง่าราศีจนน่าสะท้านใจ”
จ้าวซื่อเพียงอยากรู้เื่ของท่านชายเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดอื่นใดจึงได้ถามไปเช่นนั้น เพราะคนที่นางเป็ห่วงที่สุดก็ยังคงเป็บุตรสาวของตน จึงถามว่า “วันพรุ่งชิงอวิ๋นยังจะไปกับพวกท่านด้วยหรือไม่”
“เขาบอกไว้เช่นนั้น”
“ถ้าเขาไปด้วยได้ก็จะดียิ่ง อย่างไรใจของข้าก็เป็ห่วงหรูอี้ยิ่งนัก” จ้าวซื่อเอ่ยเบาๆ ว่า “จะอย่างไร หรูอี้ก็ยังเป็เด็กหญิงเล็กๆ และยังต้องไปที่จวนขุนนางด้วย”
หลี่ซานบอกว่า “เ้าไม่ต้องคิดมาก ทั้งสองจวนที่พวกเราไปในวันนี้ ล้วนเป็เรือนที่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัด และมีจรรยามารยาทดีงาม”
“เ้ามองออกจากที่ใดว่ามีกฎเกณฑ์เคร่งครัด มีจรรยามารยาทดีงาม”
“เ้าบ้านไม่ได้ดูคนจากภายนอกและดูแคลนพวกเราพ่อลูก พวกบ่าวสำรวมสายตาไม่ลอกแลก ไม่พูดกับพวกเราและไม่วิพากษ์วิจารณ์พวกเราด้วย”
“แค่นี้น่ะหรือ”
“ครั้งที่ข้าไปขายของในตัวอำเภอ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินคนบอกว่า ทั้งสองจวนมีชื่อเสียงดีงามนัก นอกจากนี้ทั้งในคำพูดและท่าทางของชิงอวิ๋นในวันนี้ ก็หมายความดังนั้นด้วย”
“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะดีหรือไม่ พวกเรามีลูกสาวเพียงคนเดียว ระวังเรือแล่นมาหมื่นปี[2] อย่างไรเสียคอยระวังไว้ทุกเื่ไม่มีผิดไปได้หรอก”
หลี่ซานตอบว่า “เ้าพูดถูกต้อง”
จ้าวซื่อบอกว่า “พี่ซาน ห้ามไม่ระแวงและไม่ระวังเด็ดขาด”
หลี่ซานเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะคอยดูแลลูกสาวของเราให้ดี”
ยามราตรีที่ดึกดื่น เรือนของสกุลหลี่ยังคงมีโคมไฟจุดสว่างอยู่ เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คนกำลังอ่านหนังสือ ส่วนหลี่หรูอี้ก็กำลังปรุงยาอยู่ในห้องยา
จะว่าไปแล้วการที่หลี่หรูอี้ทั้งทำการค้า ทั้งทำงานบ้าน และยังปรุงยาได้ในเวลาเดียวกันนั้น เกี่ยวเนื่องกับที่นางมีประสบการณ์ที่ได้เคยอยู่มาในโลกก่อน และเพราะนางทำงานได้อย่างเรียบร้อย รวดเร็ว ทั้งยังมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
ในเวลาเท่าๆ กัน ผู้อื่นทำเสร็จได้เพียงแค่เื่เดียว แต่นางสามารถทำเสร็จได้หลายเื่ ซ้ำยังได้ทั้งคุณภาพและปริมาณอีกด้วย
สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นางเคยอยู่มาสิบกว่าปีในโลกก่อนก็คือสังคมขนาดย่อม หากอยากกินอิ่มและได้รับความสนใจจากคนดูแล ก็ต้องพยายามให้มากๆ
ตอนนั้นเองที่นางเพิ่มความเร็วในการทำงานขึ้นมาได้ และยังสามารถฝึกฝนจิตใจให้ละเอียดอ่อนได้อีกด้วย
ทั้งสามจวนที่ต้องไปในวันพรุ่งนั้น นางได้รู้อาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยทั้งสามคนจากโจวโม่เสวียนและบ่าวจากทั้งสามจวนมาก่อนหน้าแล้ว ยาที่ปรุงในคืนนี้ก็คือ ยาที่ใช้สำหรับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยทั้งสามคนโดยเฉพาะ
ภายในหีบยา นอกจากเข็มเงินแล้วก็ยังมียารักษาอาการทั่วไปอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
หลี่หรูอี้เอายาที่ปรุงใหม่เก็บใส่หีบยา พลางรำพึงกับตนเองว่า “วันหน้าต้องทำเหล้าที่ใช้ในการแพทย์ไว้สักหน่อย จะได้เอาไว้ทำความสะอาดเข็มเงิน”
หลี่ฝูคังเคาะประตูสองครั้ง และค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป แล้วเอามือเท้าสะเอวข้างหนึ่ง “น้องสาว รีบเข้านอนเสีย ถ้ายังไม่นอนอีกจะมีริ้วรอยไม่สวยนะ”
ปกติแล้วเวลานี้หลี่หรูอี้จะไปนัดพบกับท่านโจวกง[3]เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ยกเว้นเป็กรณีพิเศษ แสงเหลืองนวลจากโคมไฟจับที่ใบหน้าแสนหมดจดและมีความเป็เด็กอยู่บางส่วนของพี่ชายคนรอง ช่างมองเพลินตายิ่งนัก และไม่ได้ด้อยไปกว่านายน้อยทั้งสองคนในจวนแม่ทัพเลย ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยบ้านใดจะมีวาสนาได้แต่งกับพี่รอง เมื่อนั้นนางจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เ้าค่ะ ข้าจะเข้านอนเดี๋ยวนี้ พวกท่านก็รีบนอนด้วยนะเ้าคะ”
หลี่ฝูคังอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “วันพรุ่ง ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และข้าจะไปกับเ้า”
“พี่สามกับพี่สี่เห็นด้วยแล้วหรือเ้าคะ”
“ใช่แล้ว ก็ผู้ใดให้พวกเราเป็พี่ชายพวกเขาเล่า”
หลี่หรูอี้จินตนาการได้เลยว่า วันพรุ่งพี่สามและพี่สี่ของนางจะต้องเซื่องซึมไปทั้งวัน ว่าแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เ้าค่ะ พบกันวันพรุ่ง”
เหมันตฤดูฟ้าสว่างช้า เกือบจะถึงยามเฉินอยู่แล้ว (เวลาเจ็ดนาฬิกา) ฟ้าเพิ่งมีแสงสว่างรำไรเท่านั้น แต่คนสกุลหลี่ก็ตื่นนอนและกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว
หลี่หรูอี้อายุน้อยที่สุด แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนดึกนัก แต่พอได้นอนไปสามชั่วยามก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นแล้ว
หลี่ซาน หลี่เจี้ยนอัน และหลี่ฝูคัง พาหลี่หรูอี้นั่งเกวียนลามุ่งหน้าไปที่จวนเจียง
ลุงฝูมารออยู่ที่หน้าประตูใหญ่แล้ว เมื่อเห็นว่าหลี่หรูอี้ยังคงแต่งตัวเป็ชายจึงยิ้มบอกว่า “เชิญทั้งสี่ท่านเข้ามาข้างในโดยเร็วเถิด ท่านชายมาถึงครู่หนึ่งแล้ว และกำลังเสวยสำรับเช้ากับนายท่านบ้านข้าอยู่ขอรับ”
หลี่หรูอี้ค่อนข้างแปลกใจเอ่ยว่า “ท่านชายมาถึงแต่เช้าเพียงนี้เชียวหรือเ้าคะ”
ลุงฝูอธิบายว่า “ท่านชายทรงฝึกยุทธ์มาแต่เล็ก จึงตื่นบรรทมแต่เช้า และเข้าบรรทมดึกมานานปีแล้วขอรับ”
หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ท่านชายมีทั้งชาติตระกูล มีทั้งฐานะ แต่ก็ยังขยันขันแข็งเพียงนี้ ลำพังมองจากภายนอกกลับมองไม่ออกจริงๆ
ลุงฝูกล่าวด้วยท่าทีค่อนข้างตื่นเต้นว่า “คืนวาน ทั้งจวนจาง จวนหม่า จวนหู และจวนสวี่ล้วนส่งคนมา จวนจาง จวนหม่า และจวนหูนั้นมาสอบถามว่า ท่านหมอเทวดาน้อยจะไปที่จวนพวกเขายามใด พวกเขาได้ยินว่า ตอนที่ท่านหมอเทวดาน้อยไปตรวจรักษาท่านแม่ทัพสวี่ และท่านแม่ทัพติง พอยามาถึงโรคภัยก็หายสิ้น พวกเขาจึงตั้งตารอและร้อนอกร้อนใจนัก ส่วนจวนสวี่นั้นมาแจ้งข่าวดีขอรับ บอกว่าหลังจากท่านแม่ทัพสวี่นอนหลับไปตื่นใหญ่ก็ตื่นขึ้นมาเมื่อคืน พอลืมตาขึ้นก็จำบ่าวทั้งสี่คนที่คอยดูแลเขาได้ และเมื่อนายผู้เฒ่าสวี่ไปเยี่ยมเขา เขาก็เรียกว่าท่านพ่อแล้ว ทำเอานายผู้เฒ่าสวี่ปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาไหลทีเดียวขอรับ”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] กระจกสะท้อน หมายถึง ใช้เป็ต้นแบบ ดูข้อดีข้อเสีย
[2] ระวังเรือแล่นมาหมื่นปี หมายถึง ให้ระวังสิ่งที่ดูเหมือนมั่นคงแน่นอน เพราะอาจเกิดเื่ที่ผิดคาดขึ้นได้เสมอ
[3] โจวกง ชาวจีนถือว่าโจวกงคือเทพแห่งความฝัน เป็ผู้นำสารมาบอกผ่านทางความฝัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้