ในความเป็จริง หลิวเต้าเซียง้าให้เงินแก่หลิวชิวเซียงเป็รายเดือน เพียงแต่รายรับในบ้านยังไม่ได้มากนักจึงยังไม่กล้าให้มาก หลิวชิวเซียงจะได้ไม่เกิดคำถาม
ั้แ่ปล่อยเช่าบ้าน ไก่ที่หลิวเต้าเซียงเลี้ยงไว้ในบ้านหลี่ชุ่ยฮัวก็ยิ่งส่งเสริมรายได้ วันหนึ่งสามารถขายไข่ไก่ได้หลายสิบอีแปะ พอสะสมเช่นนี้ หนึ่งเดือนก็เก็บได้สามร้อยกว่าอีแปะ นางคิดว่าสิ้นปีจะขายไก่ให้หมด รอจนตรุษจีนแล้วค่อยเลี้ยงใหม่อีกครา
นอกจากนี้การที่นางเอาอาหารหมูของที่บ้านไปเลี้ยง หรือไม่บางทีก็เอามาจากในห้วงมิติ ไก่ที่นางเลี้ยงจึงมีชีวิตชีวา
เมื่อมีเงินในมือ นางเองก็ไม่ใช่คนที่ตระหนี่ ทุกเดือนมักจะช่วยเหลือเงินค่าใช้จ่ายของหลิวชิวเซียงบ้าง
เงินเหล่านี้กลายเป็เงินส่วนตัวของหลิวชิวเซียง นางไม่ได้ใช้จ่ายอะไร จึงเก็บสะสมไว้ ไม่ทันไรก็เก็บได้หลายร้อยอีแปะแล้ว
“ท่านพี่ว่าอย่างไรก็ตามนั้น ท่านพี่ข้าเป็คนรวยแล้ว ข้าว่าท่านไม่ต้องเย็บปักแล้ว มาช่วยข้าเลี้ยงไก่ ทุกเดือนข้าจะให้ท่านเป็เงินเดือน เป็เช่นไร?” หลิวเต้าเซียงหยอกล้อหลิวชิวเซียงเล่น
“อย่าเลย บ้านเราใครกันแน่ที่เป็คนรวย ข้าว่า…” หลิวชิวเซียงดีใจจนเกือบหลุดปาก แต่ก็ยังระมัดระวัง แล้วกลืนคำพูดลงไป
วันนี้สองพี่น้องเดินวนอยู่ที่หลังเชิงเขากว่าสองชั่วยาม เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาทำอาหารเที่ยง ทั้งสองจึงแบกตะกร้าที่มีหญ้าอาหารหมูแล้วกลับบ้าน
หลิวชิวเซียงไปสับหญ้าอาหารหมู ส่วนหลิวเต้าเซียงไปหาจางกุ้ยฮัวที่แปลงผัก แล้วก็บอกกล่าวความคิดเื่ที่ให้หลิวชิวเซียงช่วยเลี้ยงไก่
จางกุ้ยฮัวลังเลเล็กน้อย นางกลัวว่าหลิวซานกุ้ยและหลิวต้าฟู่จะไม่พอใจ
หลิวเต้าเซียงะโว่า “ท่านแม่ จะกลัวอะไรกัน ต่อให้ท่านปู่ท่านย่าไล่ตะเพิดครอบครัวเราออกจากบ้านตัวเปล่า คิดว่าข้าเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้เชียวหรือ?”
จางกุ้ยฮัวโกรธนางและดุว่า “เ้าคิดว่าตนเองเติบใหญ่แล้วหรือ? ยังต้องเลี้ยงพ่อกับแม่ เอาเถิด เื่นี้พ่อกับแม่จะดูแลเอง ขอเพียงพวกเ้าได้เล่นอย่างสนุกสนาน แล้วทำตัวให้สะอาดสะอ้าน แม่ก็ดีใจยิ่งนัก”
ใช่ว่าจางกุ้ยฮัวจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ใช่เด็กน้อยอย่างบุตรสาวที่จะทำตามใจได้ “อีกอย่าง ก็แค่วันสองวัน ข้าต้องทำอาหารอีกสองวันก็พอแล้ว”
“ท่านแม่ ถ้วยชามบ้านเราใครเป็คนล้างหรือ?”
“จะเป็ใครอีกเล่า? ท่านย่าเ้าไปด่าที่หน้าต่างใต้ห้องปีกตะวันออกอยู่สักพักใหญ่ ลุงรองเ้าคงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป จึงไล่ป้ารองเ้าออกมาล้าง”
หลิวเต้าเซียงก็เดาว่าเป็เช่นนี้
หลังอาหารค่ำ หลิวจูเอ๋อร์ออกมาตามหานาง
“หยุดเดี๋ยวนี้ นางตัวดี ข้ามีเื่จะถาม!”
หลิวเต้าเซียงแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน นางมีชื่อมีแซ่ คำว่านางตัวดีใครชอบก็ไปเรียกคนนั้น
หลิวจูเอ๋อร์เห็นว่าหลิวเต้าเซียงไม่สนใจ จึงเอื้อมมือออกไปคว้าแขนเสื้อจากด้านหลังของนาง แล้วเอ่ยอย่างโมโห “เ้าหูหนวกหรือเป็ใบ้?”
“อ้อ ที่แท้ก็พี่จูเอ๋อร์นี่เอง มีอะไรเล่า!”
หลิวเต้าเซียงถูกตามตอแยแต่ก็ไม่ได้หงุดหงิด นางที่หน้าหนาอยู่แล้วยังคงยิ้มอย่างเริงร่าเมื่อหันมามองหลิวจูเอ๋อร์
หลิวจื้อไฉซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังเอื้อมมือมาขวางหลิวจูเอ๋อร์ไว้ แล้วส่งสายตาให้นาง “จูเอ๋อร์ อย่าโมโหไป เราก็แค่มาถามความจากน้องเต้าเซียงเล็กน้อย”
หลิวเต้าเซียงเข้าใจทันทีว่าสองคนนี้น่าจะมาหาเื่ จึงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่จื้อไฉกับพี่จูเอ๋อร์มีเื่อันใดก็ถามมาตรงๆ ได้เลย”
หลิวจื้อไฉนั้นอายุน้อยกว่าหลิวจูเอ๋อร์ แต่จิตใจของเขาเป็ผู้ใหญ่มากกว่า ในขณะนี้เขาโค้งลำตัวลงและถามนางด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “น้องเต้าเซียงนี่เื่อะไรกัน พวกพี่จะกลับมาทั้งทีก็ไม่ง่าย เดิมทีพวกข้านั้นกลับมาอย่างมีความสุข และจากไปอย่างมีความสุข เพียงแต่ว่า วันนี้ท่านพี่มาถามเื่บางอย่างกับข้า”
เขาลังเล ไม่รู้ว่าควรจะถามหลิวเต้าเซียงตรงๆ ดีหรือไม่ หากว่าไม่ใช่นางที่เป็คนพูดจะทำเช่นไร?
แต่ถึงอย่างไร สภาพการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้เอื้อต่อครอบครัวฝั่งของเขา
จากนั้นจึงนึกถึงคำสั่งของบิดาตนเองที่บอกว่าให้เขากับหลิวจื้อเซิ่งปรองดองกันไว้ และหาโอกาสยุยงหลิวจื้อเซิ่งให้เกิดความคิดเื่แยกบ้าน
ใครเล่าจะรู้ว่า รุ่งเช้าวันนี้ก็ได้ยินน้องสามบอกกับตนเองว่า พี่เฉี่ยวเอ๋อร์ถามบางอย่างกับเขา แต่เพราะเขายังเด็กนัก จึงไม่ได้ถามอะไรมากนัก เพียงแค่ถามว่าท่านย่าชอบด่าท่านแม่ของตนใช่หรือไม่ แล้วก็ถามว่าอาสี่กลับมาที่บ้านบ่อยหรือไม่?
เหตุการณ์นี้ทำให้หลิวจื้อไฉเกิดความระแวดระวัง หลังจากผ่านพ้นการปะทะกันหลายเดือน เขาพบว่าหลิวเต้าเซียงคือคนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดในครอบครัวสาม
“พี่จื้อไฉ ้าถามอะไรหรือ? ข้าอยากกลับไปดื่มน้ำแล้ว” หลิวเต้าเซียงมองเขาด้วยสีหน้าใสซื่อไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โง่จริงๆ คิดว่ามาถามนางแล้วนางจะตอบตามตรงหรือ?
“น้องรอง ให้ข้าถามดีกว่า” หลิวจูเอ๋อร์ดึงหลิวจื้อไฉไปอีกทาง แล้วเอื้อมมือมาจับบ่าของหลิวเต้าเซียงไว้ เอ่ยถามเสียงขรึม “เ้าบอกอะไรกับเฉี่ยวเอ๋อร์หรือไม่?”
“พี่เฉี่ยวเอ๋อร์หรือ? พี่จูเอ๋อร์ กำลังพูดอะไร?” หลิวเต้าเซียงไม่อยากสนใจนางจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลิวจูเอ๋อร์ถามอีกครั้งว่า “ข้าเห็นเฉี่ยวเอ๋อร์ไปที่ห้องของเ้า”
หลิวเต้าเซียงถามกลับว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เห็นพี่จูเอ๋อร์ไปเล่นกับพี่เฉี่ยวเอ๋อร์เช่นกัน”
หลิวจูเอ๋อร์ชะงักไป และหงุดหงิดที่หลิวเต้าเซียงยังคงเฉไฉได้
“เ้าได้พูดอะไรกับเฉี่ยวเอ๋อร์รึเปล่า? ไม่สิ น้องเต้าเซียง บอกพี่จูเอ๋อร์มาว่า เฉี่ยวเอ๋อร์ไปหาเ้าด้วยเหตุใด?”
หลิวเต้าเซียงแอบดูแคลนนาง เห็นตนเองเป็คนโง่หรือไร?
นางยกมือมาขบนิ้วก้อย แล้วเอียงศีรษะเล็ก อ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ย “อ้อ นางเอาขนมไข่แดงไปให้ข้า จากนั้นก็เป็ห่วงว่าป้ารองไม่ค่อยอยากอาหาร แล้วก็ถามว่าท่านย่ากับป้ารองเหตุใดจึงไม่ดีกัน เื่เหล่านี้ทุกคนก็รู้ไม่ใช่หรือ?”
หลังจากสองพี่น้องได้ยินก็จุกจนพูดไม่ออก
แน่นอนว่า เื่นี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้
หลังจากปล่อยหลิวเต้าเซียงแล้ว หลิวจูเอ๋อร์ก็ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้น นางเริ่มตัดสินใจไม่ถูก
“น้องรอง เ้าว่าครอบครัวคนโตกำลังมีแผนการอะไร?”
“อืม ข้าได้ยินเป่าเอ๋อร์บอกว่า พี่เซิ่งเอ๋อร์ถามเขาว่า อาสี่ขอเงินกับท่านย่าบ่อยหรือไม่ด้วย!”
หลิวจื้อไฉยิ้มและพูดชี้นำหลิวจูเอ๋อร์อีกว่า “นึกว่ามีเพียงครอบครัวฝั่งเราที่มีความคิดนี้ ที่แท้ ครอบครัวคนโตเองก็ทนไม่ไหวแล้ว”
ส่วนหลิวเต้าเซียงเมื่อกลับเข้าห้องแล้ว ก็ถูกหลิวชิวเซียงดึงตัวไป ถามนางว่าถูกรังแกหรือไม่
หลิวเต้าเซียงส่ายหัวอย่างต่อเนื่อง นางปลอบโยนหลิวชิวเซียงและบอกให้ช่วยดูแลหลิวชุนเซียง
“เฮอะ ท่านพี่ ท่านรอดูเถิด ข้าว่าบ้านหลังใหญ่นี้ทุกคนต่างก็มีความคิดกระจัดกระจายและมีแผนของตนเอง ท่านย่าคงนึกว่าลุงใหญ่กับลุงรองยังคงเชื่อฟังนางเหมือนตอนเด็กๆ”
นางพิงขอบคั่งแล้วเงยศีรษะขึ้นมองหลังคาที่ดำสนิท คิดในใจว่าควรจะเติมไฟสักหน่อยดีหรือไม่
ครอบครัวใหญ่นี้ดูเหมือนจะยังคึกคักไม่พอ
บางที์คงได้ยินเสียงในใจของนาง
หลังอาหารค่ำ หลิวเหรินกุ้ยบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะพาภรรยาและลูกๆ กลับตำบล ความหมายของเขาคือ งานการไม่อาจทิ้งได้ ทั้งครอบครัวยังรอเขาหาเงินเลี้ยงดู แล้วก็บอกเล่าความลำบากของตนว่าเด็กสองคนเล่าเรียนก็ไม่ง่าย
หลิวฉีซื่อคิดดูแล้วจึงบอกกับจางกุ้ยฮัว “ครอบครัวพี่ใหญ่กับพี่รองเ้าลำบากจริงๆ ข้าว่าเ้ายอมลำบากหน่อย ไปเกี่ยวหญ้าอาหารหมูให้มาก รอผ่าน่เวลาที่ลำบากนี้ไปก่อน หลังจากฤดูใบไม้ร่วงอากาศเริ่มเย็น ข้าจะไปซื้อลูกหมูกลับมาอีกไม่กี่ตัว รอจนไหว้บะจ่างปีหน้าคงขายได้ราคาดีหน่อย”
“ท่านย่า ท่านแม่ข้าเลี้ยงหมูมากมายเช่นนี้ มีเงินแบ่งให้ครอบครัวข้าหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงสมองแล่นไวที่สุด
ที่หลิวฉีซื่อเอ่ยมาทั้งหมด นางจับใจความได้ว่าการเลี้ยงหมูเหล่านี้ก็เพื่อส่งเสียให้ครอบครัวคนโต ครอบครัวคนรองแล้วก็อาสี่ได้เล่าเรียน
“ท่านแม่ เหตุใดถึงได้สอนหลานสาวเป็คนเช่นนี้?” หลิววั่งกุ้ยวางตะเกียบลงบนโต๊ะ เริ่มโมโหเล็กน้อย
เขาในฐานะผู้มีการศึกษา จึงไม่ชื่นชอบเวลาคนในบ้านไม่มีมารยาท
“น้องสี่เ้าว่าใคร!” จางกุ้ยฮัวเป็คนแรกที่ไม่ยอม “ในเมื่อเ้าบอกว่าหลานสาวไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี เช่นนั้นก็ได้ เ้าบอกกับท่านแม่หน่อยว่า หมูที่อยู่ในคอกด้านหลังบ้าน พวกเ้าไปเลี้ยงเอง อยากเลี้ยงเท่าไรก็เลี้ยง ถึงอย่างไรครอบครัวข้าก็ไม่มีลูกชาย ไม่จำเป็ต้องส่งเสียเล่าเรียน”
“ไร้สาระสิ้นดี แม่หญิงไร้การศึกษา” หลิววั่งกุ้ยเมื่อปะทะฝีปากย่อมสู้จางกุ้ยฮัวไม่ได้
“ข้าไม่รู้ตำรา แล้วอย่างไรเล่า? อ้อ อย่ามาบอกข้าเื่กินที่บ้าน อาศัยที่บ้านอีก หากพวกเ้าจะพูดเช่นนี้ เราก็มาแลกเปลี่ยนกัน ข้ากับซานกุ้ยจะพาลูกๆ ไปทำงานข้างนอก พวกเ้ากลับมาทำสวน ส่วนเื่เล่าเรียน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับครอบครัวฝั่งเรา ก็แค่ลูกสาวสามคน ต่อไปก็มีเพียงเื่สินเ้าสาว คงไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากผู้มีการศึกษาอย่างพวกเ้าหรอก”
จางกุ้ยฮัวะเิความโมโหเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ทำเอาหลิววั่งกุ้ยโมโหและได้แต่ด่านางว่าหญิงโง่เขลาเบาปัญญา
หลิวซานกุ้ยไม่พอใจ เพราะคนที่หลิววั่งกุ้ยด่าคือภรรยาของตน “น้องสี่ เ้าเล่าเรียนมาอย่างไรกัน ข้าคงต้องไปถามที่สถาบันสักครา เหตุใดจึงสอนให้เ้าเคารพพี่สะใภ้เยี่ยงนี้? คำพูดเหล่านี้เป็สิ่งที่ผู้เป็น้องชายควรพูดหรือ?”
ฮึ คิดว่าเขายังคงมีนิสัยอ่อนปวกเปียกเช่นแต่ก่อนหรือ หากไม่ใช่ว่าได้ศึกษาเื่ราวมากมายจากกัวซิวฝาน เขาหรือจะสามารถพูดจาเช่นนี้ออกมาได้
หลิววั่งกุ้ยหน้าบาง เมื่อถูกหลิวซานกุ้ยต่อว่าสั่งสอน หัวใจที่บอบบางจึงทนรับไม่ได้
เขาทิ้งชามข้าวและเดินกลับห้องปีกทิศตะวันตกด้านทิศเหนือไปด้วยความโมโห ห้องทางด้านทิศเหนือเ่าั้เป็ห้องของเขา ซึ่งใหญ่กว่าทั้งครอบครัวของหลิวซานกุ้ยเบียดกันเสียอีก
หลิวฉีซื่อโกรธมากจนต้องดุหลิวซานกุ้ยไปว่า เขาไม่ควรทำให้น้องชายโมโหเพียงเพราะภรรยาที่ไร้ค่าคนนี้
หลิวซานกุ้ยฟังไม่ได้ เมื่อมองดูอาหารบนโต๊ะ แล้วมองดูชามข้าวของภรรยาที่มีเพียงโจ๊กมันเทศ จึงวางถ้วยไว้อีกทาง แล้วเรียกทั้งครอบครัวกลับเข้าห้องไป
“ท่านพ่อ ท่านย่าของเราไม่ชอบครอบครัวเราจริงๆ” นับั้แ่หลิวเต้าเซียงหาเงินได้ด้วยตัวเองก็ไม่เคยปล่อยให้ตนเองต้องทรมาน การกินนับวันก็ยิ่งดีขึ้น
เช่นเดียวกับอาหารค่ำวันนี้ เดิมทีจางกุ้ยฮัวนั้นหุงข้าวให้คนทั้งครอบครัว แต่ต่อมาหลิวฉีซื่อเข้ามาบอกว่า สองพี่น้องหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กับหลิวจื้อเซิ่งนานทีปีหนจะได้กลับมา จะให้กินโจ๊กมันเทศไม่ได้ และบอกว่าสามพี่น้องหลิวจื้อไฉอายุยังน้อย ทนหิวไม่ได้!
พูดไปพูดมาจนถึงท้ายที่สุด ก็บอกให้จางกุ้ยฮัวต้มโจ๊กมันเทศ แล้วบอกว่าสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงร่างกายแข็งแรง กินของเหล่านี้ไม่เป็ไร
หลิวซานกุ้ยถอนหายใจ ในใจของเขามีเพียงความ้าอยากแยกบ้าน
“เอาเถิด เ้าสองคนรีบไปล้างเนื้อล้างตัว วันนี้พี่สาวเ้าใจกว้าง ขอให้พี่หูจื่อของพวกเ้าช่วยไปซื้อหูหมูเผ็ดมาสองชั่ง จะได้กินกับข้าวต้มและหมั่นโถว”
เพราะว่าอาหารในครอบครัวดีกว่า จางกุ้ยฮัวถึงได้มีแรงเช่นนี้
หลังจากทานมื้อค่ำกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันที่เรือนใหญ่ หลิวซานกุ้ยนั่งไม่ติด จึงอยากลุกออกไปดู
ปรากฏว่าจางกุ้ยฮัวยื่นมือมาขวางเขาไว้ แล้วเอ่ย “เ้าปล่อยไปบ้างเถิด เ้าคิดว่าพวกเขาคือคนในครอบครัว แต่จากที่ข้าดู พวกเขาเพียงแค่หาวิธีมาทรมานเ้ากับลูกสาวทั้งสอง เ้าดูสิ ลูกๆ แก้มซูบตอบจนคางแหลมแค่ไหน? พวกเขาเพิ่งจะมาถึงเพียงไม่กี่วันเองนะ”
-----
