“เช่นนั้นหนิงซิ่วหลันจะถูกลงโทษไหมเ้าคะ?”
“ย่อมต้องถูกลงโทษ อาจจะโดนโบยหรือส่งเข้าอารามวัดอย่างหนักก็เข้าคุก”
ในคุกนั้นเป็สถานที่ปิดบังความผิดอันน่าอัปยศอดสูข้างในล้วนเป็กลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคมนอกจากคนใกล้ชิดแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างข้างในนั้น
แต่หนิงซิ่วหลันได้ทำลายทั้งชื่อเสียงและชีวิตของคุณหนูฟู่เกรงว่าหลังจากออกมาแล้วชีวิตคงไม่ดีเท่าไรนัก “ท่านคิดว่านางจะถูกลงโทษแบบไหนเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนคิดอย่างจริงจัง “นั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณหนูตระกูลฟู่แล้ว”
“หมายความว่ายังไงเ้าคะ?” กู้เจิงอึ้ง “เื่นี้คุณหนูตระกูลฟู่ยังจะตัดสินใจได้อีกหรือ?”
“ตอนนั้นเ้าเผลอดึงกระโปรงของคุณหนูฟู่ นางจึงให้ทหารไปจับตัวเ้าอย่างไรเสียตอนนั้นพระสนมซูก็ระงับเื่นี้ไว้ นางจึงไม่ได้ตามหาเื่เ้าอีกแต่นางยังคงแค้นคุณหนูหนิงอยู่”
กู้เจิงนิ่งงัน “เื่ลักพาตัวข้าฟู่ผิงเซียงเป็คนทำจริงๆ หรือเ้าคะ?”
“ไม่ผิด นางใช้ให้คนสนิทของแม่ทัพเยี่ยนมาจับตัวเ้าไป”
คิดถึงเื่ในวันนั้นที่ถูกจับตัวไปกู้เจิงก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง นางถอนหายใจ “การมีอำนาจนี่ช่างดีจริงๆ” นางเหลือบมองเสิ่นเยี่ยน มุมปากยกยิ้มน้อยๆ “ท่านพี่ ท่านต้องตั้งใจอ่านหนังสือนะเ้าคะพยายามสอบให้ได้ตำแหน่งที่ดี ทั้งครอบครัวล้วนคาดหวังให้ท่านได้ดิบได้ดีทั้งนั้น”
เสิ่นเยี่ยน “...”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ รู้สึกกระดากอายขึ้นมานางเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างอึดอัด “ลานบ้านสกปรกแล้ว ข้าจะไปทำความสะอาดท่านพี่รีบไปอ่านหนังสือเถอะเ้าค่ะ”
หลังมื้ออาหารกลางวัน กู้เจิงช่วยชุนหงเก็บล้างจาน
การล้างจานเป็งานง่ายมากกู้เจิงหลังจากดูอยู่หลายครั้งถึงได้เข้าใจและทำถูกตามขั้นตอนทว่าการล้างจานให้สะอาดจนส่องประกายระยิบระยับเหมือนนายหญิงเสิ่นนั้นกลับไม่ใช่เื่ง่าย
ชุนหงที่เห็นนายหญิงเสิ่นออกไปแล้ว ไม่ยอมให้กู้เจิงล้างอีกนางใช้ผ้าขนหนูสะอาดเช็ดมือของกู้เจิงให้สะอาด “คุณหนู ตอนที่ท่านป้าเสิ่นอยู่ ท่านก็แสร้งทำไป แต่พอท่านป้าเสิ่นไปแล้วบ่าวจะทำให้เองเ้าค่ะ”
ชุนหงก็เหมือนกับหวังซู่เหนียง ทำดีต่อนางอย่างไม่มีเงื่อนไขนางรู้ว่าต่อให้พูดอะไรไป ชุนหงก็จะไม่ยอมให้นางทำงาน นางจึงหยิบผ้าฝ้ายไปเช็ดโต๊ะจากนั้นก็กวาดพื้น ช่วยทำงานอย่างอื่นที่นางพอจะทำได้
นายบ่าวสองคนพูดคุยหัวเราะช่วยกันทำงานไม่นานห้องครัวก็สะอาดเรียบร้อยเมื่อเดินออกมาก็เห็นนายหญิงเสิ่นกำลังนำหญ้าแห้งและต้นสมุนไพรออกมาตากแดด
“ท่านแม่ พวกนี้คือสมุนไพรหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเห็นหญ้าที่ดูสะอาดสะอ้าน
“ใช่แล้ว พวกนี้ล้วนเป็สมุนไพร ถ้าเ้าเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆก็สามารถใช้สมุนไพรพวกนี้รักษาได้ อย่างสิ่งนี้เรียกว่าหญ้าเชอเฉียน*” ฮูหยินเสิ่นหยิบหญ้าแห้งออกมา “มีประโยชน์มากทีเดียว”
(*เชอเฉียน แปลว่า หน้ารถ)
“ชื่อแปลกมากเลยเ้าค่ะ” ชุนหงหล่าว
กู้เจิงย่อตัวลงหยิบหญ้าเชอเฉียนขึ้นมาดู “ดูจากชื่อแล้วคงไม่ใช่ว่าหญ้านี้ขึ้นอยู่ที่หน้ารถม้าเลยเรียกว่าหญ้าเชอเฉียนกระมังเ้าคะ?”
แววตาขำขันปรากฏในดวงตาของนายหญิงเสิ่น นางมองลูกสะใภ้ “เ้าเดาถูกแล้ว เมื่อก่อนมีแม่ทัพพาทหารไปทำศึกแล้วแพ้าคนกับม้าถูกขังอยู่ในที่รกร้างไร้ผู้คน ไม่มีเสบียงไม่มีน้ำ หลายวันต่อมาคนกับม้าล้วนถ่ายออกมาเป็เื ผ่านไปอีกหลายวันเข้า อาการป่วยของทหารย่ำแย่ลงแต่ม้ากลับหายดี แม่ทัพสังเกตเห็นว่าม้ากินหญ้าชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่หน้ารถเขาจึงเก็บกลับไปให้ทั้งตัวเองและพลทหารลองกินดู คิดไม่ถึงว่าอาการป่วยจะหายดีเนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้โตขึ้นอยู่หน้ารถ จึงได้ตั้งชื่อว่าเชอเฉียน”
“ชื่อของสมุนไพรชนิดนี้จำง่ายนักยิ่งได้ท่านแม่เล่าเื่ให้ฟังเช่นนี้ ยิ่งชัดเจนขึ้นอีกเ้าค่ะ” กู้เจิงฟังอย่างเพลิดเพลิน
“ชาวบ้านอย่างเราใช้ชีวิตไปวันๆ จึงต้องเก็บหาสมุนไพรพวกนี้ไว้บ้างต้องจดจำว่าสมุนไพรแต่ละอย่างก็มีสรรพคุณแตกต่างกันอย่างรากหญ้าเหม็นก็มีสรรพคุณช่วยกระจายความร้อน”
กู้เจิงฟังด้วยความตั้งใจ
“กระจับมาแล้ว” เสียงของพ่อสามีดังขึ้นเขามาพร้อมกับตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่กระจับร้อนๆ มีเสิ่นเยี่ยนเดินตามหลังมาติดๆ
“ทำไมท่านถึงต้มกระจับตอนนี้ล่ะเ้าคะ? เพิ่งกินข้าวกันเสร็จแล้วจะกินไหวได้ยังไง?” ฮูหยินเสิ่นพร่ำบ่นก่อนจะรีบเข้าไปหยิบโต๊ะสี่เหลี่ยมออกมาวางไว้ในลานบ้าน
กู้เจิงกับชุนหงรีบเดินเข้าไปช่วยแล้วทั้งห้าคนก็พากันนั่งล้อมวงกินกระจับกัน
อยู่ๆ กู้เจิงก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ได้เลวร้ายต่อนางนัก นางนึกถึงความรักของซู่เหนียงที่มีต่อนางนึกถึงชุนหงที่คอยติดตามดูแลปรนนิบัติรับใช้นาง และยังมีคนในตระกูลเสิ่นอีกที่ดีต่อนางถึงแม้จะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแต่นางกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
ยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมไปร่วมงานที่จวนตวนอ๋องเสิ่นเยี่ยนสวมชุดคลุมยาวสีเขียวที่ขับให้เขาดูสูงโปร่งยิ่งขึ้นส่วนกู้เจิงสวมชุดใหม่อีกชุดหนึ่งที่น้าเฝิงส่งมา ฝีมือของท่านน้าไร้ที่ติผ้าที่ตัดเย็บมาดูงดงามประณีตยิ่งนัก น่าจะตั้งใจเลือกให้นางด้วยใจจริง
ตวนอ๋องได้ส่งรถม้ามารับนางกับเสิ่นเยี่ยนถึงที่บ้านแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ตวนอ๋องมีให้กับเสิ่นเยี่ยนมาก
เมื่อพวกเขามาถึงจวนตวนอ๋อง พ่อบ้านเมื่อเห็นว่าเป็เสิ่นเยี่ยนก็รีบเข้ามาต้อนรับ“คุณชายเสิ่นมาแล้ว ท่านนี้คือฮูหยินน้อยกระมัง? เชิญเข้ามาขอรับ”
กู้เจิงยิ้มรับ
บ่าวรับใช้ของจวนอ๋องที่ได้เห็นกู้เจิงหันไปคุยกับพ่อบ้าน “ท่านพ่อบ้าน ฮูหยินน้อยเป็พี่สาวแท้ๆ ของว่าที่ภรรยาท่านอ๋องถ้าพี่สาวงดงามถึงเพียงนี้ พระชายาของท่านอ๋องย่อมต้องเป็สตรีที่งดงามไม่แพ้พี่สาวแน่ขอรับ”
“นั่นมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว รีบมาช่วยข้ารับแขกเร็วเข้า” พ่อบ้านเห็นแขกเดินเข้าประตูมา จึงรีบออกไปต้อนรับ
องค์ชายห้าเป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไม่น้อยเขาผู้นี้เริ่มมีอำนาจในราชสำนักั้แ่อายุสิบสองปี พออายุครบสิบห้าก็ได้รับตำแหน่งสำคัญเนื่องจากทำผลงานเป็ที่โดดเด่น ฮ่องเต้จึงมอบจวนหลังนี้เป็รางวัลให้แก่บุตรชาย
อักษร ‘ตวน’ ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้องค์ชายนั้นย่อมแสดงได้ว่าฝ่าาต้องคาดหวังให้องค์ชายสร้างผลงานให้เป็ที่ประจักษ์ฝ่าาต้องทรงโปรดปรานบุตรชายคนนี้อย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
กู้เจิงเดินตามเสิ่นเยี่ยน มองดูเขาวางตัวทักทายคนรอบข้างไม่แข็งกร้าวและไม่อ่อนน้อมจนเกินไปใบหน้าเ็าเคร่งขรึมเข้ากับบุคลิกของเขาได้ดีจนทำให้นางประหลาดใจนางเคยสงสัยว่าท่านอ๋องโปรดปรานเขาที่ตรงไหน วันนี้ดูเหมือนจะพอเข้าใจอยู่บ้าง
จวนตวนอ๋องใหญ่มากในห้องโถงใหญ่สามารถวางโต๊ะจัดเลี้ยงได้ถึงหลายสิบตัว
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาคารวะพวกเขา “คุณชายเสิ่นท่านพ่อบ้านสั่งให้บ่าวมาพาฮูหยินน้อยไปยังที่นั่งเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า พูดกับกู้เจิงว่า “เ้าตามนางไป ส่วนข้าจะนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่หากมีเื่อะไรเกิดขึ้น เ้าก็ส่งคนมาแจ้งข้า”
กู้เจิงเดินตามสาวใช้คนนั้นไป
ที่นั่งของนางในห้องโถงเล็ก ห่างจากห้องโถงใหญ่เพียงกำแพงกั้นด้านหน้าห้องโถงมีโต๊ะห้าโต๊ะ มีสตรีนั่งกันอยู่แน่นขนัดแต่ละคนสวมชุดหรูหราสง่างาม
พอกู้เจิงมาถึงก็ได้รับความสนใจจากทุกคน ด้วยหน้าตาที่งดงามโดดเด่นทุกคนล้วนอยากรู้ว่านางเป็ใคร
“เรียนฮูหยินทุกท่าน ฮูหยินน้อยเป็ภรรยาของคุณชายเสิ่นเยี่ยนเ้าค่ะ” บ่าวที่พานางมากล่าวแนะนำนางให้กับทุกคน
“ท่านเป็ภรรยาของพี่ใหญ่เสิ่นหรือเ้าคะ?” หญิงสาวตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกายกู้เจิงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ท่านคือ?” สตรีผู้นี้ดูจะอายุน้อยกว่านาง อีกฝ่ายเกล้ามวยผมปักด้วยปิ่นเงินใบหน้าดูธรรมดา สวมชุดผ้าฝ้ายโคร่งๆ เรียบง่าย ส่งสายตามองนางด้วยความเขินอาย
นิ้วทั้งสิบของนางบีบเข้าหาด้วยกันด้วยความประหม่ายังคงกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ “ข้าเป็สะใภ้ของตระกูลจางหลี่หนานนามว่า ‘ปาเม่ย’ เ้าค่ะ”
“จางหลี่หนาน?”
“เ้าค่ะ ท่านช่างหน้าตางดงามนัก” ปาเม่ยชมกู้เจิงด้วยความจริงใจนางจากชนบทมาอยู่ในเมืองระยะหนึ่งแล้วยังไม่เคยเห็นสตรีคนไหนหน้าตางดงามกว่าฮูหยินน้อยตระกูลเสิ่นมาก่อนอีกฝ่ายดูราวกับเป็นางฟ้านาง์ เหมาะสมกับเสิ่นเยี่ยนอย่างยิ่ง