หินหยกราคา 5 ล้านหยวน?
หลินเยว่อึ้งไปชั่วครู่หลังจากนั้นเขาก็คิดถึงหินหยกก้อนเมื่อวาน เ้าของแผงวัยกลางคนผู้นั้นน่าจะเป็เถ้าแก่หวังที่ฉินจงฮั่นพูดถึง นี่เป็ราคาที่ปรมาจารย์แห่งหยกเป็คนตั้งหรือ?หลินเยว่รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที รอให้เขามีเงินแล้ว เขาจะลองกลับไปดูสักหน่อย
อีกทั้ง......
อิอิ......
ในใจของหลินเยว่หัวเราะ “อิอิ” ขึ้นมา “เขามีสิทธิพิเศษที่จะได้รับราคาต่ำไม่รู้ว่าหินหยกราคา 5 ล้านหยวนก้อนนั้นเถ้าแก่ผู้นั้นจะขายให้กับตนเองราคาเท่าไร?”
หลินเยว่พูดขอบคุณฉินจงฮั่นหลังจากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าไปทางด้านในของถนนหินหยก
มองเื้ัของหลินเยว่ฉินจงฮั่นพลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูสูงส่งจนต้องเงยหน้ามองอย่างชื่นชม
อนาคตของเขาต้องกลายเป็บุคคลที่มีชื่อเสียงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในใจของฉินจงฮั่นเริ่มเกิดอาการคาดหวังหลังจากนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตายุ่งกับธุรกิจของตนเองต่อไป
หลินเยว่เดินไปไม่ไกลนักก็มองเห็นแผงร้านหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงอยู่เขาจึงเกิดอาการอยากรู้ขึ้นมาบ้าง ดังนั้น เขาจึงเดินเข้าไปทางนั้น
เมื่อเดินถึงตรงบริเวณรอบนอกที่พวกเขาล้อมกันอยู่หลินเยว่จึงรู้ว่าด้านในกำลังตัดหินหยก
“เถ้าแก่คนนี้จ่ายไป 1 ล้านหยวนเพื่อพนันหินหยกก้อนนี้มาไม่รู้ว่าจะพนันได้ได้หรือเปล่า” มีคนด้านนอกคนหนึ่งพูดขึ้น
“ในเมื่อกล้าตัดหินหยกต่อหน้าสายตาของทุกคนก็น่าจะมีความมั่นใจล่ะมั้ง”มีอีกคนพูดตามขึ้นมา
“ไม่ว่าจะพนันเจ๊งหรือพนันได้ก็เป็ของคนอื่นทั้งนั้นแหละพวกเราก็แค่เข้ามาดูเท่านั้นเอง อิอิ ดูอย่างเดียวก็ดีเหมือนกันนะ”
“ใช่ ใช่”
……
หลินเยว่ได้ฟังบทสนทนาของคนด้านนอกจึงเข้าใจเื่ราวพอประมาณมีนักธุรกิจชาวกว่างโจวจ่ายเงิน 1 ล้านหยวนเพื่อพนันหินหยกก้อนหนึ่งตอนนี้กำลังจะตัดหินหยกก้อนนี้
1 ล้านหยวน!
หลินเยว่ถอนหายใจ่นี้คนมีเงินมันช่างเยอะจริงๆ เลย เกรงว่าเขาจะเป็คนที่มีทรัพย์สมบัติน้อยที่สุดบนถนนเส้นนี้แล้วล่ะถึงแม้ว่าจะเป็ฉินจงฮั่นคนซื่อคนนั้นก็ตาม เขาก็ต้องมีทรัพย์สินไม่น้อยกว่า 1ล้านหยวนมิฉะนั้นแล้วเขาไม่มีทางทำธุรกิจหินหยกได้หรอก
ถึงปากจะบอกว่าเป็เพียงธุรกิจเล็กๆ ... ธุรกิจเล็กๆที่ไหนล่ะ หึ!
ทางด้านนอกมีคนเบียดอยู่เป็จำนวนมากหลินเยว่ลองอยู่หลายครั้งแต่ก็เบียดเข้าไปด้านในไม่ได้อยู่ดี เขาจึงต้องใช้กลยุทธ์ทางอ้อมโดยการวิ่งไปทางด้านหน้าของแผงถึงจะหาช่องว่างเจอ
ตอนที่เขาหาที่ปักหลักได้ด้านในก็เริ่มตัดหินหยกเสียแล้ว เสียงหมุนของใบเลื่อยดัง “ครืดๆ” อย่างกึกก้อง
หลินเยว่สังเกตเห็นว่ามีหินหยกขนาดเป็สิบกิโลกรัมวางอยู่บนพื้น้ามีประกายสีเขียวอย่างชัดเจน ดอกสนก็มีเยอะอยู่เป็หินหยกที่มีโอกาสพนันได้สูงมาก มิน่า ราคาของมันจึงสูงถึง 1 ล้านหยวน
ด้านข้างของหินหยกมีนักธุรกิจคนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีความสูงมากนักเขามีใบหน้าอิ่มเอิบ การแต่งตัวดูประณีตดูเหมือนจะเป็นักธุรกิจหน้าเือยู่เหมือนกัน ณ เวลานี้เขากำลังเตรียมเปิดหินหยกออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หินหยกไม่ได้ถูกตัดอย่างสิ้นเชิงแต่เป็การเตรียมตัดเปิดส่วนเล็กๆ ออกมาก่อน
เมื่อเห็นการกระทำและวิธีการตัดหินหยกของช่างตัดหินหยกผู้นั้นหลินเยว่จึงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ความเร็วของใบเลื่อยที่ค่อยๆตัดลงมาก็ไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งมือของช่างผู้นั้นก็ยังสั่นอีกด้วย นี่ถือว่าเป็การทำลายหินหยกเลยนะ!
แต่หลินเยว่ก็ไม่คิดจะหาเื่ใส่ตัว เขาไม่คิดจะเสนอตัวตัดหินหยกให้กับคนอื่นเขาคิดว่าเขาเป็เพียงผู้ชมน่าจะดีกว่า
เพียงไม่นาน รอยตัดส่วนเล็กๆ ก็ถูกตัดออกมานักธุรกิจชาวกว่างโจวเช็ดฝุ่นหิน้าออกไปเขาหยิบไฟฉายกำลังสูงขึ้นมาส่องเข้าไปด้านในประกายสีเขียวสดใสพลันปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน
ตัดได้แล้ว!
คนรอบๆ ตัวต่างอุทานออกมาส่วนนักธุรกิจชาวกว่างโจวก็ดูเหมือนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมองจากรอยตัดเล็กๆ ส่วนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าสีและการทะลุของแสงของตัวหยกไม่เลวทีเดียว1 ล้านหยวนนี้น่าจะพนันได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าเป็การตัดได้ นักธุรกิจคนอื่นๆ ที่กำลังล้อมดูอยู่จึงเริ่มเกิดความสนใจขึ้นบ้างพวกเขาเดินก้าวเข้าไปด้านในแล้วก็เริ่มเสนอราคาขึ้น
“1.5 ล้านหยวนขายต่อให้ผม เป็อย่างไรล่ะ?”
“1.7 ล้านหยวนขายต่อผม......”
……
เมื่อฟังเสียงเสนอราคาเหล่านี้นักธุรกิจชาวกว่างโจวก็มีสีหน้าดื่มด่ำอย่างมีความสุข ราวกับว่าการเสนอราคาของคนอื่นๆเป็คำพูดชมเชยในตัวเขา แต่ดูเหมือนว่าราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆไม่ได้ส่งผลกับความคิดและสีหน้าของเขาเลย
หลินเยว่มองการกระทำของนักธุรกิจชาวกว่างโจวผู้นี้เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะ เขาคิดว่าคนแบบนี้ทำตัวโอ้อวดมากเกินไปหรือเปล่า ทำสีหน้าดื่มด่ำมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้เลยแต่หลินเยว่คิดว่าการทำตัวเงียบๆ น่าจะเป็สิ่งที่ดีกว่า
แต่ทว่าคนที่มุงอยู่รอบๆกลับไม่ได้คิดเหมือนหลินเยว่ พวกเขารู้สึกว่ามันเป็เื่ธรรมดามากเนื่องจากพวกเขาจะเคารพเลื่อมใสผู้ที่เหนือกว่า คนที่เก่งมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อนักธุรกิจชาวกว่างโจวรู้สึกมีความสุขเสียงพอแล้วเขาจึงกุมมือคารวะและแสดงการขอโทษต่อทุกๆ คนพร้อมพูดขึ้น “ขอโทษด้วย ผมไม่ได้คิดจะขายหินหยกก้อนนี้”
เมื่อคนรอบๆ ได้ยิน ใบหน้าจึงมีแต่ความเสียดายแต่ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วแวบเดียวหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็สีหน้าราบเรียบตามปกติ
“ตัดต่อเถอะ ครั้งนี้ตัดลงไปจริงๆ แล้วล่ะ”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนักธุรกิจชาวกว่างโจวไม่ได้ดังมากนักแต่ทุกคนที่มุงอยู่ตรงนั้นต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน ทุกคนพลันเงียบสนิททันที ผ่านไปชั่วครู่จึงเกิดเป็เสียงอุทานว่า“ดี” ดังขึ้นอย่างกึกก้อง
“กล้าจริงๆ!”
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยกนิ้วโป้งชูให้กับนักธุรกิจชาวกว่างโจวผู้นี้ในสถานการณ์ที่ตัดได้ แต่ยังคิดที่จะตัดต่อไป... ความกล้าหาญที่จะทำเช่นนี้ไม่ได้มีกันทุกคนหากเป็คนทั่วๆ ไปก็จะรู้สึกว่าหากได้รับผลดีพอประมาณแล้วก็จะขอเก็บส่วนนี้ไว้ก่อนดีกว่า นั่นเป็เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าสภาพภายในของหินหยกที่แท้จริงเป็อย่างไรกันแน่หากตัดเจ๊งขึ้นมาแม้กระทั่งเงินก้อนแรกก็ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว
นักธุรกิจชาวกว่างโจวก็มีใบหน้าดื่มด่ำมีความสุขอีกครั้งเขาก็กุมมือคารวะคนรอบๆ ตัวหลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปหาก้อนหินหยกแล้วเริ่มสำรวจอย่างละเอียด
ต่อไปนี้จะเป็การตัดด้วยมีดเดียว ดังนั้นจึงจำเป็ต้องระมัดระวังเป็อย่างมาก หากบังเอิญตัดหินหยกจนทำให้หยกด้านในพังมันก็จะทำให้ต้นทุนหายวับไปกับตา
ขณะที่นักธุรกิจชาวกว่างโจวกำลังสังเกตผิวนอกของหินหยกเขาก็ไม่ได้บอกให้คนที่กำลังมุงอยู่ถอยออกไป แต่ทว่าคนที่ล้อมอยู่รอบๆกลับกลั้นลมหายใจโดยไม่กล้าหายใจออกมาแรงๆ
5 นาทีผ่านไป นักธุรกิจชาวกว่างโจวลุกขึ้นยืนเขาหยิบปากกาด้านข้างที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นมา และลากเส้นเล็กๆ บางๆเส้นหนึ่งขึ้นบนก้อนหินหยก เมื่อการกระทำนี้เสร็จแล้ว คนที่มุงอยู่รอบๆพลันถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันดูท่าแล้วแต่ละคนคงกลั้นเอาไว้มานานแล้วนะเนี่ย!
เมื่อหลินเยว่ยืนอยู่ในกลุ่มผู้คนเช่นนี้เขาก็ััได้ถึงบรรยากาศในการพนันหินหยกที่เต็มไปด้วยความอึดอัด...มิน่า วงการนี้จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “คนบ้าเป็คนซื้อ คนบ้าเป็คนขายแล้วยังมีคนบ้ากำลังรอคอยอยู่” ประโยคนี้ก็กล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ
นักธุรกิจชาวกว่างโจวลุกขึ้นยืนเขากวาดตามองคนรอบๆ ตัวและพูดขึ้นพร้อมยิ้มน้อยๆ “มีสหายท่านไหนสามารถช่วยผมตัดหินหยกก้อนนี้ได้บ้าง?”
เมื่อประโยคนี้ถูกถามออกมาผู้คนทั้งหลายจึงนิ่งเงียบทันที
ถึงแม้ว่าจะใกับความใจกล้าของอีกฝ่ายแต่ทว่าเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่มีใครอยากเสนอตัวออกมาช่วยหรอกหากตัดเจ๊งแล้วใครจะเป็คนรับผิดชอบเื่นี้ล่ะ ดังนั้น ทุกคนจึงนิ่งเงียบนั่นเอง
นักธุรกิจชาวกว่างโจวเห็นสีหน้าของคนที่มุงอยู่จึงเข้าใจทันทีว่าทุกคนคิดอย่างไรดังนั้น เขาจึงพูดต่อ “ทุกท่านวางใจได้เลย ถึงจะตัดเจ๊งผมก็ไม่โทษพวกท่านหรอกที่นี่มีคนเยอะขนาดนี้ ขอให้เป็พยานได้เลย หากตัดได้ก็จะได้ประโยชน์ร่วมกันแต่หากตัดเจ๊งผมขอรับผิดชอบเพียงคนเดียว”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา คนที่มุงอยู่รอบๆต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน สีหน้าของพวกเขาเริ่มรู้สึกสนใจกับข้อเสนอนี้แต่ทว่าก็ยังไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อเสนอตัวเอง
หลินเยว่เกิดความรู้สึกไม่อยากให้หินหยกดีๆสักก้อนต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนอื่นถึงแม้ว่าฝีมือการตัดหินหยกของเขาอาจจะไม่ได้ดีที่สุดแต่ทว่าเขามีความมั่นใจว่าเขาสามารถตัดหินหยกก้อนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก้าวออกมาหลินเยว่จึงคิดจะก้าวออกไปด้านหน้า แต่ทว่าเขากลับถูกใครคนหนึ่งคว้ามือไว้แน่น
หลินเยว่รู้สึกใ เขาหันศีรษะกลับมาจึงพบว่าคนผู้นี้คือเฮ่อโย่วจ้างเขาไม่รู้ว่าเฮ่อโย่วจ้างมายืนด้านหลังของเขาั้แ่เมื่อไร
“อย่าไป”เฮ่อโย่วจ้างพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากนั้นจึงปล่อยมือของหลินเยว่ลง
“ทำไมล่ะ?” หลินเยว่ถามเสียงเบาอย่างสงสัย
“ดูเองสิ”
เฮ่อโย่วจ้างพูดจบก็ไม่ได้สนใจหลินเยว่เขามองไปยังตรงกลางที่เป็ศูนย์รวมความสนใจของทุกๆ คนต่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้