จะลองคิดดู หรือว่าไม่ลองคิด
สิ่งนี้กลับไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย
ชวีเสี่ยวปอจึงรีบพลิกตัวลงมาจากบนตัวของเซี่ยเจิงทันที แล้วนอนราบลงไปอย่างเงียบๆ แต่เซี่ยเจิงกลับลุกขึ้นมานั่ง พร้อมทั้งหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของเขา จากนั้นก็เดินออกไป
ห้านาทีถัดมา เซี่ยเจิงก็เดินกลับมา
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติไป จึงถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว : “เร็วขนาดนั้นเลย? ”
“ฉันแค่...ไปสูบบุหรี่” เซี่ยเจิงมองเขาไปทีหนึ่ง ครั้งนี้ไม่ได้กลับไปที่เตียง แต่กลับนั่งลงบนเก้าอี้พลางกดไฟแช็กจนมีเสียงดังก๊อกแก๊ก “ไม่ได้ทำอย่างอื่น”
“อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอตอบรับออกไปอย่างรู้สึกแปลกๆ พูดอะไรไม่คิดเลยจริงๆ “ถ้างั้นก็เร็วมากอยู่ดี”
“นี่นายกำลัง...” เซี่ยเจิงอดไม่ไหวที่จะส่ายศีรษะไปมา “ช่วยฉันจับเวลางั้นเหรอ? ”
“ตอนทำแบบนั้นนายยังจับเวลาด้วยหรือไง? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกดวงตากว้าง “ทำยังไง ฝึกแบบไหน? ทุกครั้งที่ทำต้องเวลาใช้มากกว่าครั้งก่อนถึงจะนับว่าผ่านอย่างนี้เหรอ? ”
เซี่ยเจิงหมดคำพูด ดูท่าแล้วชวีเสี่ยวปอน่าจะยังไม่มีสติสักเท่าไหร่ คำพูดก่อนหน้าไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับคำพูดต่อมาเลยแม้แต่น้อย เซี่ยเจิงจึงเลือกที่จะเงียบไป เขานั่งมองชวีเสี่ยวปอที่อยู่ในท่าทางเช่นนั้นอย่างเงียบๆ ประมาณสิบนาทีได้
ในความเป็จริง
ไม่ว่าภาษาจะทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนเพียงใด ก็ยังต้องใช้จินตนาการของตัวเองเพื่อเป็ส่วนหนึ่งในการเติมแต่งแต้มสีในสิ่งที่บรรยายออกมา ถึงจะสามารถทำให้ดูเหมือนจริงมากยิ่งขึ้น แต่สถานการณ์เมื่อครู่กลับต่างออกไป มันคือความปรารถนาที่ไม่อาจจะปกปิกเอาไว้ได้ทั้งยังเป็ไปตามสภาพความเป็จริงที่แสดงขึ้นมาตรงหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมาและไม่มีท่าทีที่จะคลายลงเลยแม่แต่น้อย
ทำให้ใน่เวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้น เขารู้สึกราวกับโดนแส้หนังฟาดลงมา รู้สึกตัว ชัดเจน ทั้งยังเกิดขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วจนเขาไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้
ในหัวของชวีเสี่ยวปอรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าเป็เพราะดื่มเหล้าเลยทำให้ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหรือเปล่า เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยเจิง นอกเหนือจากความกระอักกระอ่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้แล้ว ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้รู้สึกคาดไม่ถึงอะไร
และมันก็เป็เช่นนั้นจริงๆ หลังจากที่ได้เปิดโลกใหม่แล้ว ระดับการเปิดใจยอมรับสิ่งต่างๆ ก็พัฒนาสูงขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
“เฮ้” ชวีเสี่ยวปอเรียกออกมาเสียงเบา
“ว่าไง” เซี่ยเจิงวางแขนลงไปบนโต๊ะ พร้อมทั้งหันหน้ามามองเขา และรอชวีเสี่ยวปอพูดออกมา
“นายเป็แบบนี้บ่อยไหม? ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอถามออกไปเขาก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มีปัญหาอยู่ไม่น้อยเลย ราวกับเขากำลังนิยามเซี่ยเจิงว่าเป็คนโรคจิต แต่สิ่งที่เขา้าจะสื่อกลับไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนี้สมองของเขายังไม่ตื่นตัวดีสักเท่าไหร่ ไม่อาจหาคำพูดที่เหมาะสมมาสรุปความคิดที่แท้จริงของตัวเองได้
นี่ต้องไม่มีสติขนาดไหนถึงจะถามคำถามแบบนี้ออกไปได้เนี่ย
เซี่ยเจิงรู้สึกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็คนอื่นเขาก็คงจะไม่ให้โอกาสคนคนนั้นได้พูดประโยคที่สองออกมาแล้ว
แต่ตัวเขาเองกลับเข้าใจเป็อย่างดีว่าจริงๆ แล้วชวีเสี่ยวปอ้าที่จะสื่อถึงอะไร
ความรู้ใจเช่นนี้ทำให้เขากลายเป็คนที่เข้าใจคนอื่นขึ้นมาแล้ว
“นายคิดว่าฉันเป็คนยังไงฮะ” เซี่ยเจิงเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่ว่าใครก็จะมาคร่อมอยู่บนขาของฉันได้ซะหน่อย”
“ปู่นายคนนี้นี่ไงเซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะขำออกมา “นายอย่าพูดเหมือนว่าการกระทำแบบนี้มันเป็เกียรติที่สูงส่งอะไรทำนองนี้จะได้ไหม?”
“ครั้งแรก” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา พลางตบเบาๆ ไปบนต้นขา “คงจะเป็เพราะดื่มเหล้าเลยทำให้ตื่นเต้นแหละมั้ง”
“แล้วถ้าไม่ได้ดื่มเหล้าล่ะ? ” ชวีเสี่ยวปอถามต่อออกไปทันที
“นายคิดว่าไงล่ะ? ” เซี่ยเจิงถามกลับ
ทั้งสองคนเงียบไป คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว
สถานการณ์เช่นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการดื่มเหล้า หรือไม่ก็อาจจะเป็เพราะบรรยากาศในตอนนั้น ทั้งยังอาจจะเกี่ยวเนื่องกับความดีใจที่วันนี้ชนะการแข่งขัน
แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้เงื่อนไขหลักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คือมีความเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย
มีความเกี่ยวข้องกับใครบางคนที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น ทั้งยังเงียบอยู่พักใหญ่ เซี่ยเจิงจึงล้มตัวนอนลงไปบนเตียงเช่นเดิม ในตอนที่ไฟถูกปิดลง ชวีเสี่ยวปอเองก็หลับตาลงไปด้วยเช่นกัน
สุดท้ายก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเนื่องจากในห้องรับแขกมีอะไรบางอย่างตกลงมาที่พื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
“ให้ตายสิ? ” ชวีเสี่ยวปออยากที่จะลืมตาขึ้นมา แต่หัวสมองของเขากลับตอบสนองไม่ทันกับเปลือกตา ถึงขนาดที่ทำให้เขาต้องใช้แรงในเบิกตาขึ้นมาอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะสามารถลืมตาขึ้นมาได้อย่างเต็มที่เพื่อปรับม่านตาให้ชินกับแสงแดดในยามเช้า การกระทำทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูอัมพาตบนใบหน้าอย่างไรอย่างนั้นเลย “เสียงอะไร? ”
ชวีเสี่ยวปอมองไปยังเซี่ยเจิง เขายังคงหลับตาอยู่ ดูเหมือนว่าจะยังไม่ตื่น
ชวีเสี่ยวปอตัดสินใจก้าวลงไปบนพื้นเพื่อไปดูสักหน่อย แต่ในตอนที่กำลังจะดึงผ้าห่มที่มุมหนึ่งออกก็ได้ยินเสียงคนข้างๆ พูดขึ้นมาซะก่อน : “ไม่ต้องไปดูหรอก เดี๋ยวอีกแป๊บนึงก็เข้ามาแล้ว”
“นายตื่นแล้วเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหดเท้าเขาเข้าไปอย่างเดิม
ทันทีที่พูดจบ ประตูก็ถูกใครบางคนผลักเข้ามา แล้วซือจวิ้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงจึงเดินเข้ามา “ฉันฝันว่ากำลังมารุมมาตุ้มกับหมาวูลฟ์ด็อกของบ้านยายฉันตัวนั้น แต่พอะโเตะออกไปทำไมถึงได้เตะตัวเองลงมาที่พื้นแล้วก็ไม่รู้”
“เมื่อกี้นายตกลงมาที่พื้นงั้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เจ็บหัวอยู่เลยเนี่ย” ซือจวิ้นขยี้ศีรษะไปสองที “นายสองคนนี่ใจดำจริงๆ นายสองคนนอนบนเตียงส่วนฉันนอนบนโซฟา”
“น่าจะปล่อยให้นายนอนบนพื้น เมื่อกี้นายจะได้มีพื้นที่เตะได้เต็มที่” ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอพูดออกมาเขาก็แอบเหลือบไปมองเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง เซี่ยเจิงก็ยังคงหลับตาสนิทไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด จึงทำให้ดูไม่ออกว่าเขามีความคิดเช่นไร แต่ในใจของชวีเสี่ยวปอกลับพูดพึมพำขึ้นมาว่า เป็อย่างนั้นจริงๆ ด้วย เมื่อวานเขาสองคนปล่อยซือจวิ้นตากลมอยู่ด้านนอก โดยไม่ได้มีความคิดที่จะให้เขาขึ้นมานอนเบียดบนเตียงเลยแม้แต่นิด
ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว
“แต่ว่าเตียงนี้ก็เบียดกันสามคนไม่ได้อยู่ดี” คิดไม่ถึงว่าซือจวิ้นจะพูดเสริมออกมา “ทำไมฉันเหมือนจะจำได้ว่าเมื่อวานเราสองคนอ้วกออกมาด้วย? ”
“เอาคำว่าเหมือนจะออก” ในที่สุดเซี่ยเจิงก็ลืมตาขึ้นมา “เรียกได้ว่านายทั้งสองคนแข่งกันพุ่งเลยละ”
“ดุเดือดขนาดนั้นเลย? ” ซือจวิ้นเอามือปิดหน้าแล้วถูแรงๆ สองครั้ง “ถ้างั้นฉันกับปอเอ๋อร์ใครชนะ? ”
“เขา” เซี่ยเจิงทำท่าฮึดฮัดลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นจึงะโลงจากเตียงไป “นับจากวันนี้ไปให้เรียกเขาว่าชวีฟ็อกกี้ [1] ”
“เซี่ยเจิงนายยังเป็คนอยู่ไหมฮะ? ” ชวีเสี่ยวปอตบหลังเขาไปหนึ่งที “ใครเป็ฟ็อกกี้ ถ้าฉันเป็ฟ็อกกี้ ซือจวิ้นก็ต้องเป็รถพ่นน้ำแล้วแหละ”
ความงัวเงียจากการตื่นนอนในตอนเช้าหายไปจนหมดสิ้นท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอกำลังล้างหน้า เขาก็มองใบหน้าของตัวเองที่บวมขึ้นมาในกระจกเนื่องจากการเมาค้างไปครั้งหนึ่ง แล้วจึงรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาชั่วครู่
“หน้าฉันบวมจนเหมือนแป้งหมั่นโถวที่ฟูขึ้นมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอพูด
“พอใจกับมันซะเถอะ” ซือจวิ้นเดินเข้ามาชนไหล่ของเขาไปทีหนึ่ง “ถ้านายเป็แป้งหมั่นโถวที่ฟูขึ้นมา ฉันก็คงจะเป็ปลาทองลูกโป่ง [2] แล้วละ ทำไมฉันรู้สึกว่าตาก็ลืมไม่ขึ้นแล้วด้วย”
ชวีเสี่ยวปอมองไปยังซือจวิ้น และก็เป็เช่นนั้นจริงๆ ลูกตาของเขาที่เดิมทีก็เล็กอยู่แล้วกลับถูกบีบให้ลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งเนื่องจากการบวมน้ำ
“แล้วทำไมหน้านายถึงไม่บวมเลยอะ !” ชวีเสี่ยวปอส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ เซี่ยเจิงที่เดินออกจากห้องน้ำมาหลังจากเขา บนหน้าผากยังคงมีหยดน้ำที่เช็ดไม่หมดอยู่ ทำให้ดูสดชื่นราวกับเพิ่งจะถ่ายโฆษณาโทนเนอร์สำหรับผู้ชายเสร็จอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันเหรอ? ” เซี่ยเจิงหยุดเดิน แล้วจู่ๆ สีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา แต่กลับใช้น้ำเสียงที่ยั่วยวนสุดๆ : “นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็ความงามจาก์ที่ติดตัวลงมาละมั้ง”
ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางออกมา : “วีรบุรุษท่านนี้ท่านช่างป่วยหนักเอาการเสียจริงๆ ”
เซี่ยเจิงทำท่าคารวะ : “ท่านชวีฟ็อกกี้ท่านนี้ ยอมรับ ยอมรับ”
หลังจากทางข้าวเช้าเสร็จ เซี่ยเจิงก็ไปสอนพิเศษตามปกติ ส่วนชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นหลังจากที่บอกลากันตรงทางแยกแล้ว จึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองไป
ทว่าเื่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ในตอนที่มาถึงบ้าน กลับกลายเป็ว่าเขาเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกับชวีอี้เจี๋ยพอดิบพอดี
ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะก้าวขาลงรถแท็กซี่มาได้เพียงครึ่งตัวก็เห็นพ่อของเขากำลังเดินออกมาจากโรงจอดรถ ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะหดขาที่ก้าวออกไปกลับเข้ามา จังหวะนั้นก็เห็นชวีอี้เจี๋ยโบกมือให้เขาซะก่อนแล้ว
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนเห็นปากของพ่อเขาขยับพูดว่า “จะหนีไปไหน” อยู่ตลอดเวลา
.............................
เชิงอรรถ
[1] ฟ็อกกี้ คือกระบอกฉีดน้ำ หรือกระบอกฉีดน้ำแรงดันที่อัดลมด้วยมือ
[2] ปลาทองลูกโป่ง มีลักษณะเด่นคือมีถุงใต้ตาที่ปูดออกมาทั้งสองข้างแลดูคล้ายลูกโป่ง