เว่ยเจียรู้ดีว่าตนเองต้องใช้ความพยายามและจิตใจที่เข้มแข็งมากเพียงใด ถึงจะสามารถแสดงท่าทีโอหังและสงบเยือกเย็นเช่นนี้ออกมาได้!
เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีประคองปลายนิ้วที่สั่นระริกเอาไว้ และโชคดีที่เขาเดิมพันได้ถูกต้อง
ไม่รู้ว่าเป็เพราะเขาแสดงท่าทีหยิ่งทะนงราวกับดอกไม้งามบนยอดเขาออกมาได้ดีเกินไป หรือเป็เพราะชายผู้นี้เป็เพียงเปลือกหมอนปักลาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดอย่างที่เห็นภายนอก โดนข่มขู่ด้วยท่าทางเพียงเท่านี้ เมื่อนายทุนตรงหน้าวางสายไปแล้ว ในที่สุดหัวใจที่เต้นระรัวของเว่ยเจียก็สงบลง ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ผ่อนคลาย สายตาคมกริบ
ของชายหนุ่มรูปงามพลันเลื่อนต่ำลง เว่ยเจียมองตามสายตานั้นลงไป ก็เห็นว่าคอเสื้อของตนเปิดกว้างออกเนื่องจากการโน้มตัวไปข้างหน้า เผยให้เห็นแผงอกแกร่งของเขา ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังจ้องมองยอดอกของเขาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เสื้อผ้า
เขารู้สึกราวกับหนังศีรษะตึงเปรี๊ยะ อับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอับอาย! เขาต้องไม่ให้ใครรู้ว่าตนเองกำลังหวาดหวั่น! เขาจึงต้องแสร้งทำเป็ใจเย็น ยืดตัวขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย ค่อยๆ ติดกระดุมเสื้อทีละเม็ด ท่ามกลางสายตาหื่นกระหายและรอยยิ้มเยาะอย่างร้ายกาจของชายหนุ่ม
ท่านประธานเจี่ยนยังคงรักษารอยยิ้มมีเลศนัยไว้ั้แ่แรก เห็นเขาติดกระดุมเสื้อก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงแต่เอื้อมมือไปหยิบสตรอว์เบอร์รีบนโต๊ะขึ้นมากัดกินอย่างใจเย็น
"นาย้าเงินเท่าไหร่ ก็ไปบอกเลขาฯ ของฉันได้เลย ฉันมีข้อเรียกร้องแค่สองข้อ หนึ่ง พร้อมเสมอเมื่อฉัน้า สอง ปิดปากให้สนิท เข้าใจไหม?"
ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ยื่นผลไม้สีแดงสดที่ถูกกัดกินไปครึ่งหนึ่งมาตรงหน้า จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ร้อนแรง
เว่ยเจียมองไปยังเนื้อผลไม้สีแดงสลับขาวที่ปรากฏรอยฟันเรียงกันอย่างเป็ระเบียบแต่กลับดูยั่วยวน นึกขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือสักเล่ม ที่ว่าสตรอว์เบอร์รีในยุคกลางของเหล่าขุนนางยุโรป คือผลไม้ที่ใช้ในการบอกเป็นัยถึงเื่ทางเพศ
เมื่อเห็นว่าปลายนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสตรอว์เบอร์รี เว่ยเจียที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับใครมาก่อนก็ขมวดคิ้วแน่น ลังเลว่าจะอ้าปากรับดีหรือไม่ ชายหนุ่มก็ยื่นสตรอว์เบอร์รีมาจ่อที่ริมฝีปากของเขาอย่างเอาแต่ใจ อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่เนื้อผลไม้ที่เย็นชื้นกลับย้ำเตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ถึงแม้สิ่งที่ชายผู้นี้จะยัดเข้ามาในปากของเขาตอนนี้จะเป็ไอ้หนูของเขา เขาก็ต้องอ้าปากรับด้วยความสำนึกในบุญคุณ
ดังนั้น เขาจึงอ้าปากอย่างว่าง่าย กลืนกินเนื้อผลไม้ที่เละเป็โจ๊กนั้นลงท้องไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
"เด็กดี" ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามมุมปากของเว่ยเจียเบาๆ ความรู้สึกเสียวซ่านอย่างน่าประหลาดนั้นทำให้หนังศีรษะของเว่ยเจียตึงเปรี๊ยะ เขาใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสามารถทรงตัวไม่ให้เอวสั่นเทาได้ พยายามรักษาท่าทีที่เ็าเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือศักดิ์ศรีเพียงน้อยนิดที่เขาเหลืออยู่
เว่ยเจียก้าวเท้าออกจากห้องรับรอง แต่ละย่างก้าวของเขาปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง เลขาฯ ที่ยืนรออยู่หน้าประตูก้าวเข้ามาส่งมอบเช็คเงินสดสองล้านหยวน พร้อมกับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดให้แก่เขา
เว่ยเจียเปิดดูรายชื่อผู้ติดต่อ ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์เพียงเบอร์เดียว คาดว่าคงเป็ของท่านประธานเจี่ยน
เขาเม้มปากแน่น ความรู้สึกหลากหลายกำลังถาโถมเข้ามา ท้ายที่สุดเขาก็เพียงตอบกลับไปเบาๆ ว่า "...ขอบคุณครับ"
เลขาฯ หนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย คงเป็เพราะไม่เคยเห็นคนที่ขายตัวเองได้ในราคาดีเช่นนี้แล้วไม่มีท่าทีดีใจ เว่ยเจียไม่อยากพูดอะไรมาก จึงยัดเช็คเงินสดใบนั้นเข้าไปในอกเสื้อ และเร่งฝีเท้าออกจากโรงแรมหรูที่เขาคงไม่มีโอกาสได้เหยียบเข้ามาในชีวิตนี้อีก โดยไม่มีการหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว
เช้าวันต่อมา เว่ยเจียไปขึ้นเงินเช็คใบนั้น และนำเงินจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนหยวนไปใช้หนี้ ส่วนเงินที่เหลืออีกห้าแสนหยวน เขาได้วางแผนเอาไว้แล้ว หากประหยัดให้มากที่สุด ประกอบกับที่เขาพักการเรียนเพื่อไปทำงาน ค่าเลี้ยงดู่กลางคืนของเสี่ยวถิง หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของพวกเขา สองน้าหลานจะมีเงินสำรองเพียงพอให้ใช้ได้อีกหลายปีต่อจากนี้
เว่ยเจียออกมาจากธนาคาร มองจำนวนเงินที่ไม่มากมาย แต่ก็เพียงพอที่จะสนับสนุนให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับอนาคตได้ เขานับเลขศูนย์ที่อยู่บนนั้นราวกับคนโง่ พลันรู้สึกว่าแสงแดดช่างสดใสเหลือเกิน
เขาติดต่อหาพี่เลี้ยงเด็ก่กลางคืนผ่านนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อหาคนที่มีประวัติที่ดี และนัดหมายว่าจะมาดูแลเด็กในคืนนี้ ด้วยความรู้สึกดีใจเป็พิเศษ เขาจึงซื้อชุดไก่ทอดที่เสี่ยวถิงชอบกินมาเป็กรณีพิเศษ
มองไปยังเด็กชายที่กำลังกินไก่ทอดอย่างเอร็ดอร่อย เว่ยเจียยิ้มออกมา เอื้อมมือไปลูบผมที่ชี้โด่เด่ของเสี่ยวถิงที่อยู่หลังใบหู
เด็กชายกินจนปากเปื้อนน้ำมัน แถมยังไม่ลืมที่จะยื่นน่องไก่ที่ถูกกัดกินจนแหว่งวิ่นในมือให้เขา ดวงตาโตเป็ประกายระยิบระยับ ราวกับบอกให้เขาได้ลองกัดดูบ้าง เว่ยเจียยิ้มพลางส่ายหน้า "น้าไม่กิน นี่ของเสี่ยวถิงทั้งหมดเลย"
ทันทีที่พูดจบ โทรศัพท์มือถือเครื่องพิเศษที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาพลันดังขึ้น เสี่ยวถิงดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงปลายนิ้วที่แข็งทื่อของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้าจอมือถือของเขาอย่างเฉลียวฉลาด
เว่ยเจียแสร้งทำเป็ใจเย็น ยิ้มออกมา และกล่าวกับหลานชายอย่างแ่เบา "เสี่ยวถิง คืนนี้น้าต้องไป...เอ่อ ไปโรงเรียนเพื่อฝึกเต้น เดี๋ยวจะมีพี่เลี้ยงมาดูแล หนูต้องเชื่อฟัง อย่าดื้อนะรู้ไหม"
เสี่ยวถิงพลันกำชายเสื้อของเขาแน่น ราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์มองมาที่เว่ยเจียจนเขารู้สึกผิด จึงฝืนยิ้มและจูบลงบนหน้าผากของเสี่ยวถิงเบาๆ ปลอบโยนราวกับจะบอกว่า "เด็กดีของน้า รอน้าอยู่ที่บ้านนะ โอเคไหม?"
แต่เสี่ยวถิงผู้เฉลียวฉลาดก็เข้าใจดีว่า แม้ว่าน้าจะตามใจเขาในเื่อื่นๆ แต่เมื่อใดที่พูดซ้ำเป็ครั้งที่สอง นั่นหมายความว่าไม่มีอะไรให้ต่อรองได้อีกแล้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงจำใจต้องพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เป็สัญญาณว่าเขาเข้าใจแล้ว
เว่ยเจียเดินทางมาถึงสถานที่ที่ระบุเอาไว้ ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้องเป็โรงแรมหรูสักแห่ง แต่ใครจะรู้ว่ากลับเป็อาคารที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง แต่ด้านหน้ามีเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกำลังลาดตระเวน ดูจากจำนวนตู้จดหมายแล้ว เหมือนว่าจะเป็ห้องชุดหนึ่งห้องต่อหนึ่งชั้น ซึ่งเว่ยเจียที่แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับคนรวยมาก่อนก็ยังรู้ดีว่าห้องชุดสุดหรูแบบนี้หายากเพียงใดในใจกลางเมืองที่ที่ดินมีราคาแพงระยับ เขาอาจจะไม่สามารถจ่ายแม้แต่ค่าส่วนกลางด้วยซ้ำ… เขากำลังคิดว่าจะบอกชื่อกับเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างไรดี แต่ใครจะรู้ว่าเ้าหน้าที่หนุ่มเพียงแค่เหลือบมองเขาเล็กน้อย จากนั้นจึงโค้งคำนับให้เขา และเดินนำเขาไปยังลิฟต์ พร้อมกดปุ่มไปยังชั้นบนสุดทันที
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้เื่ราวทั้งหมด เว่ยเจียก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ท่าทางที่คุ้นเคยของเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคงจะเข้าใจดีว่าเขามาทำอะไร แต่กลับยังคงแสดงท่าทีสงบนิ่งเป็ปกติ สมกับที่เป็คนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี คงจะเก็บความลับได้ดี… เฮ้อ เว่ยเจียเอ๋ย นี่มันถึงขั้นไหนแล้ว ยังต้องรักษาหน้าอะไรอีก… เขาคิดกับตัวเองอย่างประชดประชัน จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มให้เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเป็มิตร และหันหลังเดินเข้าไปในลิฟต์
เนื่องจากเป็หนึ่งห้องชุดต่อหนึ่งชั้น ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เว่ยเจียก็ตรงไปยังประตูเพียงบานเดียวตรงหน้า
เขากดกริ่งประตู เสียงนกร้องอันไพเราะดังกังวานขึ้น และในวินาทีต่อมา กลอนประตูอิเล็กทรอนิกส์ก็เปิดออก
เขาผลักประตูเข้าไป การตกแต่งภายในห้องงดงามราวกับบ้านพักสุดหรูที่มักจะเห็นในละครโทรทัศน์ มีห้องนั่งเล่นที่ปูพรมขนยาวอย่างประณีต พื้นที่สะอาดจนสามารถส่องเงาได้ เฟอร์นิเจอร์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดแต่ก็ยังคงความหรูหราเอาไว้ แสงไฟจากโคมไฟคริสตัลที่นุ่มนวล… เว่ยเจียมองไปยังพื้นกระเบื้องที่สะท้อนให้เห็นเสื้อผ้าที่ดูเก่าคร่ำคร่าของตนเอง แม้แต่รองเท้าผ้าใบที่สีซีดจางจากการซักหลายครั้งก็ทำให้เขารู้สึกเคอะเขินเมื่อเหยียบลงบนพื้นกระเบื้องที่สวยงามนี้ เขาจึงขัดรองเท้ากับพื้นเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า
"นายมาตรงเวลาดีนี่"
ในเวลานั้นเอง เขาได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่ดังมาจากด้านหลัง จึงรีบหันกลับไป และเห็นชายหนุ่มรูปงามแม้แต่์ยังต้องพิโรธนั่งอยู่ข้างเคาน์เตอร์บาร์ในห้องครัว เอนกายพิงเก้าอี้ทรงสูงอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางที่ผ่อนคลาย คอเสื้อที่เปิดกว้าง และสุราสีอำพันในมือ ทำให้ร่างชายหนุ่มเปล่งประกายเสน่ห์อันเย้ายวนออกมา
วันนี้ เจี่ยนซีเมิ่งสวมเสื้อเชิ้ตลำลองผ้าลินินและกางเกงขายาวสีเดียวกัน นานๆ ทีจะไม่หวีผมทรงเสย ผมหน้าม้าปรกหน้าผาก ยิ่งขับให้ดวงตาคู่สวยเป็ประกายระยิบระยับ เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน พลางกระดิกนิ้วเรียกเว่ยเจียเป็สัญญาณให้เดินเข้าไปใกล้ๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้