เื่เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้หนิงเทียนโอดครวญอย่างบ้าคลั่ง เขาเร่งฝีเท้าไล่ตามไปให้เร็วที่สุดโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น ทว่ามันก็สายเกินไป
ประตูมิติทั้งเก้าแห่งนั้นแปลกประหลาดมาก ซึ่งสอดคล้องกับกุญแจที่พวกเขา
ซูอวิ๋นใช้ภาพพันทิวเขาเหมันต์เป็กุญแจ หลังจากนางเข้าสู่ประตูมิติแล้ว ประตูบานนั้นก็ปิดลงทันที
จิตใจของหนิงเทียนท่วมท้นไปด้วยความโกรธเคือง เขาพยายามใช้พลังของคัมภีร์หลิงฮวงเพื่อพังประตูมิติ ทว่ากลับถูกดีดออกไปและพบเพียงความล้มเหลว
ซิ่งอวี่เจวียนพร่ำบ่นเมื่อเห็นว่าหนิงเทียนมีอารมณ์ผิดปกติ นางรีบดึงเขาเข้ามาและพยายามปลอบเขาอย่างเต็มกำลัง
สตรีชุดม่วงถอนหายใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าซูอวิ๋นจะหนีหายไปในชั่วพริบตาเช่นนี้ ซึ่งทำให้นางไม่มีเวลาขัดขวางอีกฝ่ายและรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
สตรีชุดม่วงหันกลับมาอย่างเศร้าสร้อย นางเดินไปยังประตูมิติแห่งอื่นบนวงล้อมิติลี้ลับ ยามนี้มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่ยังคงเปิดอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับคัมภีร์หลิงฮวงและสมบัติจากหอฉิน
หนิงเทียนกรีดร้องราวกับคนเสียสติ อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความสลดใจและความเกลียดชังก็ยากที่จะกำจัด
ซิ่งอวี่เจวียนพยายามปลอบหนิงเทียนอย่างถึงที่สุด ทว่าสายตาของนางกลับจ้องมองไปทางสตรีชุดม่วง
“นางไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง นางมองอะไรอยู่กันแน่?” ปฏิกิริยาของสตรีชุดม่วงทำให้ซิ่งอวี่เจวียนสับสน ขณะนั้นสติของหนิงเทียนฟื้นกลับมาด้วยเช่นกัน
เมื่อมองดูร่างผอมบางจากด้านหลัง อารมณ์ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในใจของหนิงเทียน แม้เขาจะใช้ม่านตาคู่และดวงตาเสน่ห์พร้อมกัน แต่สตรีชุดม่วงก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาราวกับนางมีสมบัติล้ำค่าที่ปิดกั้นสายตาสอดส่องของทักษะดวงเนตรได้
หนิงเทียนประหลาดใจอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาและเริ่มกระตือรือร้นในทันที
ขณะนั้นดูเหมือนสตรีชุดม่วงจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง นางหันกลับมามองหนิงเทียนด้วยใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมจนหนิงเทียนตกตะลึง เป็ไปไม่ได้ที่นางจะสวยถึงเพียงนี้ ทั้งยังตระการตาจนน่าอัศจรรย์ใจ
ดวงตาของสตรีชุดม่วงสั่นไหวราวกับจับใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของหนิงเทียนได้ เมื่อนางรู้ว่ารูปลักษณ์ของตนถูกเปิดเผย นางก็รีบวิ่งไปยังประตูมิติทันที
“เดี๋ยวก่อน! จะ...เ้ากลับมา!”
ในตอนแรกหนิงเทียนยังสับสน แต่เมื่อสตรีชุดม่วงทะยานขึ้นไปกลางอากาศพร้อมเปิดใช้พลังแห่งดวงดาว ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่งก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป และคำว่า “เ้ากลับมา” ก็เป็เหมือนเสียงคำราม จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าและอยากจะหยุดนางไว้
สตรีชุดม่วงมองย้อนกลับไปทางหนิงเทียน แต่ยามนี้ร่างของนางก็ทะลุเข้าประตูมิติไปแล้ว และหลงเหลือเพียงสายตาอ้างว้างแสนอ่อนแรงจนหนิงเทียนรู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็บ้า แต่เขาก็ทำได้เพียงเก็บมันไว้ในใจ
ซิ่งอวี่เจวียนสับสนอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้หนิงเทียนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเกลียดซูอวิ๋นอย่างสุดซึ้ง แต่อย่างไรเสียทั้งคู่ก็เป็ศัตรูกัน
ทว่าสตรีชุดม่วงนางนี้กำลังทำให้หนิงเทียนคลุ้มคลั่ง นี่มันเื่อะไรกันแน่?
หนิงเทียนถูกประตูที่ค่อยๆ ปิดลงกระแทกอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า ก่อนจะเหม่อลอยด้วยความตกตะลึง ซึ่งทำให้ซิ่งอวี่เจวียนเคลือบแคลงใจมากขึ้น
“เ้าเป็อะไรไหม?” นางนั่งยองๆ อยู่ข้างกายหนิงเทียนแล้วอ้าแขนออก จากนั้นก็ดึงให้เขาโน้มเข้ามาในอ้อมกอดอันอบอุ่นของนาง
อารมณ์ของหนิงเทียนยามนี้ไม่ปกติอย่างยิ่ง เขาเกลียดตัวเองที่โง่เขลา โอกาสอันดีอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เขากลับปล่อยให้ซูอวิ๋นหลบหนีไปได้ นอกจากนี้เขายังไม่สามารถละทิ้งตัวตนของสตรีชุดม่วงได้ เขาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับนางอย่างไร
ทหาริญญาเยาเยาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ หนิงเทียนเช่นกัน และยันต์กระดาษว่างเปล่าก็ร่วงลงมาในมือของเขา
นี่คือสมบัติของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา เดิมทีมีหอคอยเจ็ดชั้นอยู่บนยันต์กระดาษ แต่ต่อมามันก็ถูกกวาดล้างด้วยกระบี่ไร้จำนง
ยันต์กระดาษนี้ทำจากวัสดุพิเศษซึ่งทนทานต่อน้ำและไฟ ทั้งยังคงกระพันต่ออาวุธและเป็สิ่งที่มาจาก์
ทว่าอารมณ์ของหนิงเทียนในยามนี้ยังไม่คงที่ เขาจึงเก็บยันต์ไว้ในกำไลหยกหยวนก่อนเป็การชั่วคราว ซึ่งสิ่งที่เขาคิดในขณะนี้มีเพียงเื่ของซูอวิ๋นและสตรีชุดม่วงเท่านั้น
คนหนึ่งเป็ผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้ง อีกคนเป็ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารบิดาของเขา แต่เหตุใดพวกนางต้องเป็พี่น้องกันด้วย?
“ทำไม? ทำไมกัน?” หนิงเทียนคำรามอย่างเดือดดาล เขาทั้งโกรธแค้นและเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
ซิ่งอวี่เจวียนสะดุ้งแล้วโอบไหล่ของหนิงเทียนไว้แน่น ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “หากเ้ามีสิ่งใดที่คิดหาหนทางไม่ออกก็จงบอกพี่สาวของเ้ามาเถิด พี่พร้อมช่วยเ้าหาทางแก้ไข”
หนิงเทียนจ้องมองนางอย่างสับสน นอกจากเยี่ยหลิงหลานผู้เป็อาจารย์แล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เกี่ยวกับอดีตของเขาอีก
ซิ่งอวี่เจวียนรู้สึกถึงความขัดแย้งในใจของเขา นางจึงถอนหายใจเบาๆ “เ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็ไร ถ้าวันหนึ่งเ้าอยากระบายมันออกมาก็แค่บอกให้พี่ฟัง”
หนิงเทียนอายุเพียงสิบเจ็ดปี ทั้งยังมีหลายสิ่งที่เขาไม่สามารถละทิ้งออกจากใจได้ และยามนี้เขาก็แบกรับเื่ราวต่างๆ ไม่ไหวอีกแล้ว
หนิงเทียนค่อยๆ เล่าถึงอดีตด้วยความสบายใจเนื่องจากการรับรู้ถึงััอันอ่อนโยนของซิ่งอวี่เจวียน ส่วนซิ่งอวี่เจวียนก็ตั้งใจฟังเื่ราวของเขาอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ข้าไม่คาดคิดว่าเ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้ ตอนนี้คนที่กวนใจเ้ามากที่สุดคือซูิเยวี่ยใช่ไหม?”
หนิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่น นี่เป็สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเขาและทำให้เขาสับสนจนไม่ทราบว่าควรเผชิญหน้าอย่างไร
ซิ่งอวี่เจวียนพึมพำ “เ้าเกลียดซูอวิ๋นและ้าสังหารนาง นั่นเป็เื่ปกติ แต่ปฏิกิริยาของซูิเยวี่ยนั้นแปลกมาก นางช่วยเ้ามากกว่าหนึ่งครั้งและเ้า้าทราบเหตุผลของเื่นี้ หากเ้าเชื่อพี่ ก่อนจะถามความตั้งใจที่แท้จริงเ้าก็ไม่ควรลงมือกับนาง นั่นเพราะหากความจริงปรากฏขึ้น มันอาจจะสายเกินไปและเ้าจะเป็คนที่เสียใจ”
หนิงเทียนพูดอย่างลำบากใจ “แล้วเหตุใดนางถึงไม่บอกข้าให้ชัดเจนไปเลยเล่า?”
“ตอนนั้นเ้าเกลียดตระกูลซูมาก แล้วเ้าจะฟังนางหรือ? พฤติกรรมของนางในวันนี้ก็แปลกเหลือเกิน เ้าเคยคิดอย่างรอบคอบบ้างหรือไม่?”
หนิงเทียนยังคงถามด้วยความสงสัย “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ซิ่งอวี่เจวียนถอนหายใจเบาๆ “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยมีคนที่แอบชอบเช่นกันแต่ต่อมาเขาก็ถูกฆ่าตาย หากสตรีชุดม่วงคือซูิเยวี่ย เหตุใดนางไม่ช่วยซูอวิ๋นจัดการเ้า ทั้งยังช่วยเ้ากำจัดซูอวิ๋นด้วยเล่า?”
“แต่อย่างไรนางก็มาจากตระกูลซู นางจึงตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
ซิ่งอวี่เจวียนส่ายหัวแล้วพูดว่า “เ้าคิดผิดแล้ว ซูิเยวี่ยสามารถหนีออกจากที่นี่ได้โดยไม่คำนึงถึงความแค้นใจระหว่างเ้ากับซูอวิ๋น เมื่อตาไม่เห็นใจย่อมไม่ว้าวุ่น[1] แต่ทำไมนางถึงอยู่ต่อเล่า? นั่นก็เพราะนางกังวลว่าเ้าจะสู้ซูอวิ๋นและชิวซานอวิ๋นไม่ได้ แต่เช่นนั้นทำไมนางถึงไม่ลงมือ? นั่นก็เพราะนางรู้ว่าเ้าอยากสังหารซูอวิ๋นด้วยตนเองเพื่อล้างแค้นให้กับพ่อของเ้า ถ้านางลงมือ ไม่เพียงเ้าจะไม่รู้สึกขอบคุณนาง แต่เ้าอาจจะเข้าใจนางผิดด้วยซ้ำ นางจึงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบจนกระทั่งซูอวิ๋นหนีไป และเมื่อนางเห็นว่าเ้าปลอดภัยดี นางจึงจากไปอย่างเงียบๆ”
หนิงเทียนโต้แย้ง “บางทีนางอาจกังวลว่าข้าจะสังหารซูอวิ๋น นางจึงอยู่เพื่อรอช่วยเหลือพี่ของนางก็เป็ได้”
ซิ่งอวี่เจวียนดุ “เ้าน้องโง่! หากนาง้าทำเช่นนั้นจริงนางจะช่วยเ้าในจัตุรัสทำไม? ยามที่เ้าสู้กับชิวซานอวิ๋นเ้าไม่เห็นหรือว่าชิวซานอวิ๋นได้รับาเ็? หากซูิเยวี่ย้าช่วยซูอวิ๋นจริงๆ นางคงลงมือไปนานแล้ว อีกทั้งเ้าและข้าก็คงตายไปนานแล้วเช่นกัน นางไม่้าให้เ้ารู้ตัวตนของนางและไม่อยากให้เ้าเดือดร้อน นางจึงไม่กล้าเผยตัวตนต่อหน้าเ้า นางไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยตัวตนของซูอวิ๋นด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าเ้าจะสงสัยนาง”
หนิงเทียนตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่ได้โง่เขลา และคำพูดของซิ่งอวี่เจวียนก็ชัดเจนมาก แต่เขาไม่กล้าคิดไปในทิศทางนั้น
ซิ่งอวี่เจวียนจึงพูดต่อ “จากสัญชาตญาณของผู้หญิง นางใส่ใจเ้ามากกว่าใส่ใจตัวเองเสียอีก นางยอมสละความบริสุทธิ์เพื่อเ้าได้ เื่นี้มันต้องมีเหตุผลเพียงแต่เ้ายังไม่รู้ ในวันหน้าเ้าต้องตามหานางและค้นหาสิ่งที่อยู่ในใจของนาง ไม่เช่นนั้นชีวิตของเ้าจะไม่มีวันสงบสุข”
“พี่สาวพูดถูก ข้าเคยเกลียดนางเพียงเพราะนางมาจากตระกูลซู ยามนี้ข้าจะละทิ้งความเกลียดไปก่อนจนกว่าข้าจะรู้เหตุผลที่แท้จริง”
หนิงเทียนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และความหดหู่ในใจของเขาก็หายไปในทันที
แม้จะเสียดายที่เขาพลาดการสังหารซูอวิ๋น แต่โอกาสในการแก้แค้นยังคงมีอีกมาก ซึ่งสิ่งที่หนิงเทียนใส่ใจมากที่สุดในขณะนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูิเยวี่ย
หนิงเทียนมองไปรอบๆ ยามนี้เขาและซิ่งอวี่เจวียนเป็เพียงคนกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่บนวงล้อมิติลี้ลับขนาดใหญ่
“เยาเยา ที่นี่มีเขตเคลื่อนย้ายมวลสารกาลอวกาศจริงหรือ?”
“มีจริง แต่มันซับซ้อนมาก” ทหาริญญาเยาเยาสามารถสื่อสารกับหนิงเทียนและแบ่งปันข้อมูลกับเขาได้
หลังจากหนิงเทียนเดินสำรวจสามรอบภายใต้การนำทางของเยาเยา เขาก็ต้องตกตะลึง
วงล้อมิติลี้ลับมีประตูมิติเก้าแห่งที่เชื่อมต่อถึง์ มันถูกจารึกด้วยแผนภาพเขตเคลื่อนย้ายมวลสารกาลอวกาศที่เก่าแก่ที่สุดและมีรูปแบบซับซ้อนอย่างยิ่ง
หลังจากหนิงเทียนใช้เลขเก้าหลักเพื่ออนุมานสิ่งต่างๆ เขาก็สรุปได้ว่าระดับของเขายังต่ำเกินไป เว้นแต่เขาจะเข้าใจเนื้อหาบทต่อไปของเลขเก้าหลัก
ซิ่งอวี่เจวียนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ในใจของนางกลับมีความคิดบางอย่างขึ้นมา “เ้าไม่ใช่จิตรกรจิติญญาหรือ? เ้าสามารถวาดเขตเคลื่อนย้ายมวลสารกาลอวกาศได้หรือไม่?”
หนิงเทียนเอ่ยชมอย่างดีใจ “พี่สาวปลุกคนด้วยคำพูดจริงๆ! เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึงกันนะ?”
จากนั้นหนิงเทียนก็เริ่มค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูล ในที่สุดเขาก็หยิบวัตถุแปลกปลอมจากนอกโลกขึ้นมา นั่นก็คือยันต์กระดาษ
ยันต์กระดาษนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง มันสร้างขึ้นจากวัสดุประหลาดซึ่งสามารถวาดภาพอันลึกซึ้งลงไปได้ วาดได้แม้กระทั่งเหล่าพฤกษาและสัตว์อสูรนานาชนิด
หนิงเทียนกำลังศึกษาภาพเขียนและอักขระโบราณบนวงล้อ ทันใดนั้นเยาเยาก็ยืดลำต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งช่วยให้หนิงเทียนสามารถมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้เมื่อยืนอยู่บนยอดไม้
แผนที่จิติญญาทั้งหกในร่างของหนิงเทียนตื่นขึ้นพร้อมกันจากการใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ ม่านตาคู่ที่ผสานกับดวงตาเสน่ห์และทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ก็ช่วยให้เขาวาดเขตเคลื่อนย้ายมวลสารกาลอวกาศออกมาได้อย่างสมบูรณ์
“มีทั้งหมดหกชั้นหรือ? นี่มันแปลกมาก”
ช่างน่าสับสนเหลือเกิน มันไม่ใช่เก้าชั้นหรือห้าชั้น แต่กลับเป็หกชั้น สิ่งนี้มีความหมายพิเศษหรือไม่?
“โชคดีที่มีเพียงหกชั้น ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถวาดมันได้” ด้วยระดับของหนิงเทียน ถ้าเขาไม่ได้ฝึกฝนเก้าเนตร์ เขาก็คงไม่สามารถมองเห็นเขตเคลื่อนย้ายมวลสารกาลอวกาศทั้งหกชั้นได้อย่างชัดเจน
“อย่าลืมว่ามีประตูมิติเก้าแห่ง” ซิ่งอวี่เจวียนเตือนจากด้านข้าง
หนิงเทียนจดจ่ออยู่กับงานของตน หินิญญาข้างกายลอยหมุนวนและมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เขาใช้เวลาไปสามวันเต็มๆ พร้อมใช้หินิญญามากถึงหนึ่งพันแปดร้อยก้อนไปกับการเลียนแบบวงล้อมิติลี้ลับ
ทันใดนั้นปรากฏการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นบนวงล้อมิติลี้ลับ โดยมีรูปปั้นหินปรากฏขึ้นมาจากห้วงอากาศ
“ผู้ใดบังอาจขโมยเขตเคลื่อนย้ายมวลสารกาลอวกาศ?”
เสียงทุ้มลึกราวกับกำลังกล่าวโทษเผยให้เห็นความไม่พอใจเล็กน้อย
แผนภาพแตกต่างจากภาพเขตเคลื่อนย้ายอย่างสิ้นเชิง และหนิงเทียนก็มีร่องรอยของความกังวลฉายขึ้นในดวงตาเนื่องจากความไม่เข้าใจ
“เ้าคือใคร?”
รูปปั้นหินค่อยๆ เปิดดวงตาอันสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นมา การจ้องมองของมันช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง ซึ่งส่งผลให้ซิ่งอวี่เจวียนเข่าทรุดในทันที
ทางด้านหนิงเทียนก็ขู่คำรามอย่างดุเดือด ดวงตาสีทองของเขาต่อต้านการคุกคามทางจิตใจ และกระแสน้ำวนก็สะท้อนอยู่ในดวงตาเสน่ห์ของเขาก่อนจะถอยหลังไปหลายก้าว
คัมภีร์หลิงฮวงสั่นไหวไปทั้งเล่ม จากนั้นหน้าแรกก็เปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ตัวอักษรทั้งสิบจะเปล่งแสงประหลาดออกมา
เมื่อรูปปั้นหินเห็นอักษรทั้งสิบตัวในคัมภีร์หลิงฮวง ความประหลาดใจก็ฉายแววขึ้นในดวงตาของมัน “คาดไม่ถึงว่าตำนานถานฮวาบานชั่วข้ามคืน[2]จะปรากฏขึ้นที่นี่ ข้าคือผู้พิทักษ์วงล้อมิติลี้ลับนี้ เห็นแก่ประโยชน์ของท่านผู้นั้นข้าจะไม่ถือสาเื่ไร้สาระที่เ้ากระทำ พวกเ้าจงไปเสีย”
สิ้นเสียงสุดท้าย รูปปั้นหินก็อันตรธานหายไปราวกับทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ซิ่งอวี่เจวียนหวาดกลัวมาก นางดึงแขนของหนิงเทียนแล้วพูดว่า “เรารีบไปกันเถอะ”
หนิงเทียนเก็บยันต์กระดาษลงไปและเปิดใช้คัมภีร์หลิงฮวง แล้วเข้าสู่ประตูมิติแห่งสุดท้ายพร้อมกับซิ่งอวี่เจวียน
สิ่งที่รอพวกเขาอยู่จะเป็อะไรกันแน่นะ?
---------------------------------------
[1] เมื่อตาไม่เห็นใจย่อมไม่ว้าวุ่น (眼不见心不烦) หมายถึง สิ่งใดที่พ้นสายตาไปแล้ว เรามักจะลืมมันไป
[2] ถานฮวาบานชั่วข้ามคืน (昙花一现) หมายถึง ่เวลาที่มีความสุขมักไม่ยั่งยืน ซึ่งสามารถใช้เปรียบเปรยกับความรักหรือความรู้สึกได้
