อักษรลับเก้าตะวันหมุนวนรอบตัวหยวนจุน ทำให้ภายในตะวันทรงกลดที่แผ่ออกมาปรากฏต้นเพลิงอัคคีกลืน์ ต่อมาเปลวไฟอี้เสอได้ลุกโชนบนร่างกายของเขา ก่อนจะถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำสนิทจนหมดสิ้น
การปรากฏของเปลวไฟสีดำสนิทเหล่านี้ ทำให้ปราณดาราที่แผ่ซ่านไปทั่วเจดีย์ชั้นที่เก้าสูญสลายไปในทันที!
หากสังเกต ปราณดาราภายในร่างกายของเจียงย่งก็หายไปอย่างรวดเร็วจนน่าใด้วยเช่นกัน
ปราณดาราที่เขาแผ่ออกมามีพลังน้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายได้สลายหายไปแทบหมดสิ้น
“เป็ไปได้อย่างไร!”
เมื่อเห็นพลังยุทธ์ที่แสดงออกมานั้นสลายไป ม่านตาของเจียงย่งเล็กลงในทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็ความใในเวลาต่อมา
แม้หยวนจุนจะมิได้ใช้พลังยุทธ์ แต่เจียงย่งก็ััได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่มาจากเปลวไฟสีดำสนิทราวกับกำลังอยู่ในขุมนรก ทั้งยังรู้สึกเหมือนถูกูเาโดยรอบกดทับจนทำให้หายใจไม่ออกอีกด้วย!
“ฟ้า์ดังกึกก้อง สรรพสิ่งสิ้นสลาย! ปางมือราชสีห์นอก!”
หยวนจุนแสดงปางมือมรณาท่าที่สามออกมา แม้เขาจะไม่เคยฝึกฝนมาก่อน แต่ก็คุ้นเคยกับการแสดงพลังเป็อย่างดี
เปลวเพลิงอัคคีกลืน์ที่ลุกโชนอยู่บนตัวหยวนจุนแปรเปลี่ยนเป็เปลวเพลิงราชสีห์ที่สง่างาม มันกำลังส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วฟ้า
สิ้นเสียงคำรามนั้น ราชสีห์เพลิงสีดำจ้องไปยังหอกปราณดาราที่เจียงย่งแสดงออกมาในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะกละตะกลามของสัตว์ร้าย
ราวกับมันมีความคิดเป็ของตนเอง และรู้ว่าเป้าหมายของมันคือสิ่งใด
“ไป!”
เจียงย่งควบคุมลำแสงของหอกสีเหลืองในมือ เขารวมพลังปราณทั้งหมดในร่างกายให้เป็พลังยุทธ์ ตั้งใจจะลงมือครั้งนี้เป็ครั้งสุดท้าย!
“ฟ้าว”
ลำแสงนั้นลอยออกมาราวกับะุปืนใหญ่ก่อนที่จะปรากฏอยู่ตรงหน้าหยวนจุนในชั่วพริบตา ยังไม่ทันที่จะได้ัั ลำแสงของหอกก็ถูกราชสีห์เพลิงกัดทำลายจนหมดสิ้น มันกระโจนลงพื้นและพุ่งไปหาเจียงย่งที่ไร้การป้องกันทันที
“อย่า...อย่าเข้ามานะ!”
เมื่อเห็นว่าวิชายุทธ์ของตนเองไม่สามารถสู้ราชสีห์เพลิงที่อยู่ตรงหน้าได้ เจียงย่งที่แสดงสีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งออกมาเมื่อครู่นี้มีอาการสั่นกลัวออกมาในทันที และไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อหยวนจุนแสดงปางมือราชสีห์นอกออกมา ความหยิ่งผยองของเจียงย่งจึงได้มลายหายไป เขาได้ยินเพียงเสียงะโ ก่อนที่พลังปราณของเจียงย่งจะหายไปจากเจดีย์ชั้นที่เก้าในทันที!
“ฮู่”
หยวนจุนเหนื่อยล้าเล็กน้อยเมื่อใช้ปราณดาราและปางมือราชสีห์นอกต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่เขาใช้ต้นเพลิงอัคคีกลืน์เพิ่มพลังให้ปางมือเช่นนี้ถือเป็การกระทำที่อันตรายมาก
โชคดีที่เขาทำสำเร็จ
สำหรับหยวนจุนแล้ว การต่อสู้กับเจียงย่งที่อยู่ในระดับวงแหวนเล็กขั้นเจ็ดนั้นไม่ถือว่าเสียเปรียบ เพราะการที่เขาผลาญพลังปราณดาราออกไปแล้ว เขายอมเสี่ยงลงมือก่อน ดีกว่ารอเวลาแล้วถูกจัดการเหมือนดั่งปลารอเชือด!
หยวนจุนสะบัดแขนเพื่อไล่อาการเหน็บชา ก่อนจะรีบตรงไปที่แท่นสูงสุดของเจดีย์ชั้นที่เก้า บนบัลลังก์ที่ทำจากทองคำและหยกทั้งชิ้นนั้นเต็มไปด้วยศพที่กลายสภาพเป็โครงกระดูกขาว
การตายของคนผู้นี้ค่อนข้างแปลก สังเกตได้จากซี่โครงทั้งสองข้างที่หักละเอียดจนกลายเป็ผุยผง เหลือเพียงแต่กระดูกคอที่คอยรองรับกะโหลกศีรษะเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมิได้ถูกผู้อื่นฆ่าอย่างแน่นอน
ก่อนที่คนผู้นี้จะตายเขาคงได้รับาเ็สาหัส ซึ่งวิธีที่ใช้นั้นเหมือนกับการทำร้ายตนเองเสียมากกว่า
“สามารถนั่งบนบัลลังก์กลางเจดีย์ชั้นที่เก้าได้ คนผู้นี้น่าจะเป็ประมุขนู่ชี่!”
เมื่อละจากเื่ไม่สำคัญเ่าั้แล้ว หยวนจุนได้มองเห็นสร้อยสีทองที่อยู่บนข้อมือของกระดูกขาวนั้น
สร้อยเส้นนี้ดูประหลาดเล็กน้อย เพราะในเมื่อมันสามารถอยู่บนข้อมือของคนผู้นี้ได้ แสดงว่าต้องเป็สิ่งที่มีค่าที่สุดของสำนักศาสตราพิโรธ แต่เหตุใดเขากลับไม่รู้สึกถึงพลังปราณที่แตกต่างจากของสิ่งอื่นเลย
ดูจากกลุ่มพลังแล้ว สร้อยเส้นนี้คงไม่ต่างไปจากแหวนมิติที่เป็เพียงเครื่องประดับเท่านั้น
เพื่อป้องกันตนเองจากกับดักที่เ้าของสุสานทิ้งไว้ หยวนจุนจึงชักกระบี่ยาวออกมา คมกระบี่สีขาวตัดไปที่โครงกระดูก ก่อนที่เขาจะนำกระดูกแขนท่อนหนึ่งที่มีสร้อยสีทองขึ้นมา
หยวนจุนโยนกระดูกแขนสีขาวทิ้งไป เขาวางสร้อยสีทองไว้บนฝ่ามือและกะน้ำหนัก ดูแล้วไม่ต่างจากสร้อยข้อมือธรรมดา
แต่ไม่นานเขาก็มองเห็นอักขระสองตัวที่สลักอยู่บนสร้อย
“สร้อยเอกภพ?”
“สรรพสิ่งกำหนดเอกภพ สร้อยหนึ่งเส้นเสมือนโลกหนึ่งใบ”
หยวนจุนรีบถ่ายพลังปราณดาราเข้าไปในสร้อยเอกภพ ทำให้มีแสงดาวส่องประกายอยู่้า ก่อนที่จิติญญาของหยวนจุนจะเข้าไปในนั้นทันที
ที่นี่เป็พื้นที่เก็บของเช่นเดียวกับแหวนมิติ แม้คำกล่าวที่ว่าสร้อยหนึ่งเส้นเสมือนโลกหนึ่งใบจะเกินจริงไปเล็กน้อย แต่ภายในก็มีพื้นที่กว้างหลายเมตร รวมถึงบริเวณโดยรอบยังมีสีขาวสว่างอีกด้วย
มีเฉพาะดินสีแดงด้านล่างเท่านั้นที่แตกต่างจากแหวนมิติ นอกนั้นก็เป็เหมือนกับแหวนมิติที่เป็ห้วงมิติที่ปิดสนิท
“ดิน? ภายในสร้อยเอกภพนี้เป็ดิน! ดูแล้วมิใช่ดินที่เพิ่งเติมเข้ามาทีหลังด้วย!”
หยวนจุนรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก เขานึกไม่ถึงว่าสร้อยเอกภพที่มีพื้นที่เล็กกว่าแหวนมิติจะมีลักษณะเช่นนี้!
แต่สิ่งที่ทำให้หยวนจุนแปลกใจมากที่สุดคือ เขาพบพืชพรรณที่เหี่ยวเฉาอยู่ที่มุมหนึ่งของสร้อยเอกภพ
อย่างที่รู้ว่าพื้นที่ภายในแหวนมิติคือห้วงมิติที่แยกออกมาเดี่ยวๆ ทำให้ไม่มีอากาศ ไม่มีดิน และไม่มีน้ำอยู่ในนั้น ดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิต!
นักยุทธ์ที่สามารถสร้างห้วงมิติเดี่ยวเป็ของตนเองได้จะต้องบรรลุถึงระดับตะวัน ซึ่งต้องใช้ปราณดารามากมายเพื่อสร้างแกนหลักของห้วงมิติขึ้นมา เช่นนั้นแล้วภายในห้วงมิติที่มีพื้นที่เก็บของเช่นนี้จะมีสิ่งมีชีวิตเติบโตได้อย่างไร?
“ที่นี่เป็พื้นที่ขนาดเล็กจริงๆ หรือ?”
หยวนจุนเก็บคำถามนี้ไว้ก่อนจะดึงจิติญญาออกมาจากสร้อยเอกภพ เมื่อออกมาแล้ว เขาจึงค่อยๆ สวมสร้อยเส้นนั้นบนข้อมืออย่างระมัดระวัง
“แม้เป็เพียงสร้อยข้อมือ แต่ใส่แล้วก็มิได้น่าเกลียดอะไร ทั้งยังดูเหมาะสมกับข้าอีกด้วย”
เมื่อไม่เห็นกับดักต้องห้ามบนชั้นเก้าแล้ว หยวนจุนจึงฟาดลำแสงกระบี่ออกไป ทำให้รอยปราณกระบี่ไขว้ปรากฏอยู่บนผนัง เขากระแทกกำแพงเพื่อที่จะหาทางออก อากาศเย็นจากด้านนอกจึงปะทะเข้ากับใบหน้าของเขาในทันที
“ตูม โครม”
ทันทีที่หยวนจุนะโออกมา เจดีย์ดำเก้าชั้นก็สั่นะเือย่างรุนแรง ส่งผลให้เศษไม้ลอยกระเด็นออกมา และเกิดฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่
หยวนจุนใช้กระบี่ฟันไม้ที่กำลังจะตกลงมาใส่เขา ก่อนจะก้าวไปเหยียบกำแพงไม้ที่ขวางไว้ แล้วะโลอยท่ามกลางอากาศลงสู่พื้นดิน
“ฟิ้ว ฟิ้ว”
เงารางๆ ปรากฏอยู่กลางอากาศ หลายคนเห็นว่านั้นคือร่างของหยวนจุน แต่เมื่อเหลือบไปเห็นพลังของกับดักต้องห้ามที่ลอยอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
สร้อยเอกภพที่อยู่บนข้อมือของหยวนจุนเปล่งประกายออกมาแวบหนึ่ง ทำให้กับดักต้องห้ามที่อยู่กลางอากาศสลายไปพร้อมกับเจดีย์เก้าชั้นที่กำลังพังทลายทันที
หากมิใช่เพราะกับดักต้องห้ามนี้ถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของนักยุทธ์ระดับจันทรา กับดักคงไม่สามารถสกัดปราณดาราของนักยุทธ์ได้
“สุสานโบราณกำลังจะพังลงมาแล้ว!”
เมื่อกับดักต้องห้ามพลังทลายลง หยวนจุนจึงรีบทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที ซึ่งหลังจากที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ในป่า ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้