“ข้าย่อมรู้กฎระเบียบหอหมื่นสมบัติของพวกเ้า รอให้ข้าสังหารคนก่อน ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดย่อมเป็ข้าอยู่ดี นี่คงไม่นับว่าฝ่าฝืนกฎระเบียบกระมัง”
หวังเฉินยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม มองซ่งอี้ด้วยสายตาดูแคลน หากไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีหอหมื่นสมบัติหนุนหลังอยู่ ข้ารับใช้คนหนึ่งจะกล้ามายืนพูดกับตนเองเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ใครให้เ้านายที่อยู่เื้ัหอหมื่นสมบัติลึกลับเสียขนาดนี้เล่า แม้แต่บิดาเขายังเตือนอยู่หลายหน ว่าห้ามก่อเื่ที่นี่เป็อันขาด ทุกครั้งที่ตนเองถามรายละเอียด บิดากลับอธิบายไม่ได้
คนที่สามารถทำให้นายอำเภอยังต้องหวั่นเกรง แน่นอนว่าซ่งอี้ผู้ดูแลอยู่เบื้องหน้าเขาก็ย่อมต้องให้เกียรติอยู่สามส่วน
“ไม่นับ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนโอหังกำเริบเสิบสานอย่างหวังเฉิน ซ่งอี้ก็หมดถ้อยคำจะเอ่ยเช่นกัน
หวังเฉินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างลำพองใจ ตะคอกลงไปด้านล่างเวทีอีกครา “ตกลงเป็ใครกันแน่ ยังไม่ไสหัวมารดามันออกมาให้ข้านายน้อยผู้นี้อีกรึ”
“ข้าเป็คนเรียกราคาเอง”
ชายหนุ่มยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็ฝ่ายที่ต้องเงยหน้า แต่พลังอำนาจกลับเหนือกว่าหนึ่งขั้น
ทันทีที่ชายหนุ่มเอ่ยปาก ก็มีคนสวดภาวนาให้เขาอยู่ในใจ ช่างเป็ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ [1] ขนานแท้ จึงไม่รู้ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร
แม้แต่ของที่บุตรชายนายอำเภอหมายตายังกล้าแย่ง รู้ตัวแล้วก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมาอีก ถึงเวลาไม่รู้ว่าจะมีเื่เลวร้ายแบบไหนรออยู่บ้าง ขั้นเบาก็คงถูกซ้อม
ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายก็น่าจะเป็ลูกคนมีเงิน แต่ถึงจะร่ำรวยปานใด ก็เป็เพียงแค่บุตรชายของวาณิชชั้นต่ำ
เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรขุนนาง ยังเทียบไม่ได้กับผู้ติดตามคนหนึ่งด้วยซ้ำ
ถ้าถูกส่งเข้าคุก ถึงแม้ครอบครัวคิดจะใช้เงินไถ่ตัวก็คงไถ่ตัวออกมาไม่ได้
รอบด้านเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง เสียงของชายหนุ่มจึงดังเป็พิเศษ
พอหวังเฉินมองเห็นชายหนุ่มที่นั่งหลุบเปลือกตาอยู่ด้านล่าง ท่าทางโอหังเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคืองก็มอดดับลงทันควัน เปลี่ยนเป็รอยยิ้ม ะโลงจากเวที
“เหยียนเฟิง! เ้าก็มาเหมือนกันหรือ”
“มารดาข้าสุขภาพอ่อนแอ ตอนนี้กำลังล้มป่วย ท่านหมอบอกว่าต้นตี้สือสามารถรักษาได้ แต่กลับหาได้ยากยิ่ง บังเอิญได้ยินว่าหอหมื่นสมบัติมีต้นตี้สือมาประมูลขายก็เลยแวะมา”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเหยียนเฟิงตอบกลั้วยิ้มบางๆ
“ต้องให้เ้าลำบากมาเองที่ไหนกัน แค่ส่งจดหมายมาบอกคำเดียว ข้าซื้อแล้วก็จะให้คนใช้ม้าเร็วส่งไปให้เ้าทันที”
ทั้งสองเป็สหายที่รู้จักมักคุ้นกันมาหลายปี หวังเฉินพูดพลางตบบ่าอีกฝ่าย
นอกจากจะไม่มีเหตุการณ์นองเือย่างที่ใครต่อใครจินตนาการไว้ ยังมีแต่เสียงหัวเราะหน้าระรื่น
ทุกคนต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอเห็นทั้งสองคนทำเหมือนรอบกายไร้ผู้คน ก็ไม่กล้ารบกวน เพียงแค่รอดูความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่อไป
“ข้าไหนเลยจะกล้า ไม่รู้ว่าใครกันบอกว่าจะสังหารข้าให้ตาย ต้องให้ข้ากล่าวขอขมาท่านก่อนหรือไม่ นายน้อยหวัง”
เหยียนเฟิงกระเซ้าพลางใช้พัดตีไหล่ของอีกฝ่าย ล้อเลียนถ้อยคำอาฆาตมาดร้ายของหวังเฉินเหมือนเป็เื่ตลกขบขัน
“อย่า...อย่าเลย ข้าจะกล้าให้ท่านเรียกว่านายน้อยได้อย่างไร ท่านต่างหากที่เป็นายน้อย” แม้เหยียนเฟิงจะเพียงล้อเล่น แต่หวังเฉินกลับไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย รีบหัวเราะตอบกลับไปทันควัน
ิเป่าจูหรี่ตา มองดูปฏิกิริยาของสองคนชั้นล่างที่โต้ตอบกันไปมา ก็พอจะคาดเดาคร่าวๆ ได้
เมื่อครู่นี้ได้ยินคนที่อยู่ชั้นสองคุยกัน นางก็รู้ฐานะของหวังเฉินแล้ว เขาเป็บุตรชายของนายอำเภอ มิน่า ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของทุกคนถึงถอดสีกันหมด
แต่คนเช่นนี้กลับยอมค้อมเอวอ่อนข้อให้เมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม แม้ดูเหมือนเป็การพูดคุยปกติ แต่ถ้อยคำแต่ละประโยคล้วนแต่เอาอกเอาใจฝ่ายตรงข้าม
ฐานะของคนผู้นี้คงไม่ต่ำต้อยเป็แน่ อย่างน้อยก็ไม่น่าจะใช่บุตรชายคหบดีธรรมดาทั่วไป น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนขุนนาง
ิเป่าจูคิดได้ ซ่งอี้ก็ย่อมคิดได้เช่นกัน แต่ซ่งอี้มีความรู้เหนือกว่านางหนึ่งขั้นถึงคาดคะเนฐานะของคนผู้นี้ได้
อำเภอติ้งเหลียงอยู่ภายใต้อาณัติของเมืองเล่อชวน เมืองเล่อชวนมีตระกูลเศรษฐีอยู่ครอบครัวหนึ่ง แม้ว่าจะเป็เพียงพ่อค้าวาณิช แต่กลับมีฐานะสูงกว่าผู้อื่นอยู่หนึ่งขั้น เพราะตระกูลของพวกเขาเป็วาณิชหลวง
หากเป็เพียงแค่คหบดีสกุลเหยียนธรรมดา ก็ไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวถึงเพียงนี้ เพราะถึงอย่างไรวาณิชหลวงก็หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายอำเภออยู่แล้ว
แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ภรรยาของนายท่านเหยียนเป็น้องสาวแท้ๆ ของผู้ว่าการเล่อชวน
ทุกคนต่างรู้กันว่า หลังจากซางฮูหยินน้องสาวของท่านผู้ว่าการให้กำเนิดบุตรชาย ร่างกายก็เริ่มอ่อนแอ มีแต่โรครุมเร้าล้มป่วยติดเตียง ต้องอาศัยยาบำรุงร่างกายตลอดทั้งปี
ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน เหยียนเฟิงเอ่ยถึงมารดาที่สุขภาพอ่อนแอ ประกอบกับท่าทีที่หวังเฉินมีต่อเขา ก็คาดเดาสถานะได้ไม่ยากแล้ว
ก็หมายความว่า ชายหนุ่มด้านล่างเวทีที่สามารถทำให้หวังเฉินมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีด้วย ก็น่าจะเป็บุตรชายของคหบดีเหยียนกับซางฮูหยิน หลานชายแท้ๆ ของผู้ว่าการเล่อชวน
“นายน้อยหวัง สมุนไพรนี้...”
ซ่งอี้รู้แน่นอนแล้วว่าวันนี้จะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น จึงเอ่ยตัดบทการสนทนาของทั้งสองคนอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่กลัวว่าจะถูกตำหนิ
“เจ็บสิบตำลึงข้าจ่ายเอง ของช่วยห่อแล้วนำไปส่งที่รถม้าของสหายข้าได้เลย” หวังเฉินกล่าวอย่างฉะฉาน
“โธ่ เงินเล็กน้อยแค่นี้ข้าจ่ายเองได้” ของที่มอบให้แก่มารดา เขาไม่ปรารถนาที่จะต้องยืมมือของผู้อื่น
หวังเฉินรู้ เขาก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง บุตรชายเพียงคนเดียวของเศรษฐีอันดับหนึ่งจะไม่มีปัญญาจ่ายเงินแค่เจ็ดสิบตำลึงได้อย่างไร
แต่เขาเข้าใจเหตุผลที่เหยียนเฟิงทำเช่นนี้ จึงมิได้ยืนกรานจะควักเงินให้ได้ เพียงแต่เอ่ยปนยิ้มเสียงดังว่า “ได้ เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวอย่าแย่งจ่ายค่าสุราอาหารที่หออวี้เซวียนกับข้าก็แล้วกัน”
หออวี้เซวียนคือหอสุราที่แพงที่สุดของเมืองนี้ ราคาอาหารต่อมื้อไม่ต่ำกว่าราคาที่ประมูลตี้สือวันนี้เลย แสดงให้เห็นว่าหวังเฉินให้ความสำคัญต่อเหยียนเฟิงมากเพียงใด
“ขอบคุณในความหวังดีของสหายหวัง แต่พอดีมารดากำลังรอตี้สือไปใส่ในยา เอาไว้วันหน้าข้าจะมาเพื่อกินดื่มกับท่านโดยเฉพาะ” ไม่น่าเชื่อว่าเหยียนเฟิงยังคงปฏิเสธ
แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ หวังเฉินก็ยังอารมณ์ดี ไม่แสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด ทั้งยังถามไถ่ถึงสุขภาพของซางฮูหยินอีกสองสามประโยค ก่อนที่ทั้งสองจะนัดวันพบกันใหม่อีกครั้ง
ซ่งอี้สั่งให้คนนำต้นตี้สือไปส่งที่รถม้าของเหยียนเฟิง และแวะไปรับเงินที่ประมูลจากผู้ติดตามของเหยียนเฟิง
ส่วนคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าเื่ยุติลงแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง
เถ้าแก่ลู่เดินคอตกออกจากประตูใหญ่ของหอหมื่นสมบัติ ใครใช้ให้ผู้อื่นเป็บุตรชายของนายอำเภอ ยิ่งเปิดกิจการหรงฮุยถังก็ยิ่งเหิมเกริมอย่างหนัก
ต้นเกล็ดัคราก่อนก็เหมือนกัน ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาแม้มีเื่คับข้องก็ไม่กล้าร้องเรียน
แต่ใครจะคาดคิดว่าเฉิงเหย่าจินจะโผล่ออกมาโจมตีระหว่างทาง คนที่ดูเหมือนเป็เพียงชายหนุ่ม แต่เพียงเอ่ยปากก็โขกราคาสูงถึงเจ็ดสิบตำลึง เรียกได้ว่าะโข้ามขั้นไปถึงสองระดับ
เงินเจ็ดสิบตำลึงเกินงบประมาณของเขาไปไกล ประกอบกับคนผู้นั้นยังรู้จักกับนายน้อยหวัง เถ้าแก่ลู่จึงไม่กล้าดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก จำต้องกลับบ้านมือเปล่าอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสองกำลังคุยกันเพลิน ย่อมไม่อาจคาดเดาความคิดของคนรอบข้าง แต่ถึงจะรู้ บรรพบุรุษรุ่นสองอย่างพวกเขาสองคนก็ทำอะไรตามใจจนเคยตัว มิคิดแยแสแม้แต่กระผีก
ิเป่าจูอยู่ชั้นบนเห็นคนแยกย้ายกันไปพอสมควรแล้ว ทั้งยังเห็นซ่งอี้นำต้นตี้สือออกไปข้างนอก ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ รีบวิ่งไปที่บันได
คนที่กำลังลงบันไดเหมือนกันยังมีหญิงคณิกาจากหอนางโลมที่ถูกหวังเฉินโอบกอดก่อนหน้านี้ เมื่อนางเห็นรูปโฉมหล่อเหลาของเหยียนเฟิงก็คันยุบยิบในหัวใจจนมิอาจสะกดกลั้น จึงชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เดินเยื้องกรายนวยนาดอย่างมีจริตจะก้าน
ิเป่าจูเห็นนางใกล้จะถึงบันไดสองขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว ตามที่ประมาณการ เมื่อตนเองวิ่งไปถึง นางก็น่าจะลงไปแล้ว ดังนั้นิเป่าจูจึงวิ่งลงไปโดยไม่หลีกเลี่ยง
แต่นางประเมินความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแสดงตัวของสตรีนางนี้ต่ำเกินไป
เมื่อใกล้จะถึงหัวบันไดชั้นล่างนางกลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน บิดเอวเอนกายไปด้านข้างเกาะราวบันไดคล้ายกับโฉมงามขี้โรค แล้วหันไปหาเหยียนเฟิงกับหวังเฉิน ใช้นิ้วพันเส้นผมพลางแอ่นเรือนร่างอย่างยั่วยวน
ส่วนิเป่าจูแม้เวลานี้อยากจะหลบเลี่ยงปานใดก็สายไปเสียแล้ว นางไม่สามารถควบคุมแรงเฉื่อยได้ จึงชนแผ่นหลังของสตรีนางนั้นเต็มเปา ทั้งสองต่างล้มทับกันบนพื้น
เชิงอรรถ
[1] ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ เป็สำนวนหมายถึงคนหนุ่มสาวที่ยังด้อยประสบการณ์ ไม่รู้จักความหนักเบาของสถานการณ์ จึงกล้าคิดกล้าทำ ไม่กลัวอันตราย พร้อมที่จะโถมเข้าใส่ทุกสิ่ง เหมือนลูกวัวแรกเกิดที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้จักความร้ายกาจของเสือ จึงไม่มีความกลัว
