เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เลยว่ามีคนตามเธออยู่
วิธีการของเธอนั้นกระทันหันมาก แม้แต่ไป๋เจินจูก็ยังไม่ทราบว่าเธอจะลงรถในระหว่างทางที่เยว่หยางต่อให้มีคนตามเธออยู่ก็คงจะรู้สึกตัวไม่ทันแน่
เมื่อออกจากสถานี ลมหนาวได้พัดผ่านกระทบใบหน้าความร้อนรุ่มในใจของเซี่ยเสี่ยวหลานเบาบางลงเล็กน้อย สติค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็ปกติ
เป็ความหุนหันชั่วขณะหรือจะบอกว่าปล่อยเรือไปตามกระแสน้ำดี [1] ?
สถานที่ที่เธออยากมาเยี่ยมเยียนสักครั้งตั้งนานแล้ว ทว่าทุกครั้งเอาแต่หาข้ออ้างหลบเลี่ยงพอโดนเื่ของเคออีสฺยงกระตุ้น กลับทำให้เธอลงรถกลางทางเสียอย่างนั้นในที่สุดได้เหยียบลงสถานที่แห่งนี้ตามร่องรอยของชาติก่อนแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานเดินผ่านเข้าออกถนนตรอกซอกซอยในเยว่หยางด้วยความคุ้นเคย
บางสถานที่เหมือนในความทรงจำ และบางสถานที่ก็ไม่เหมือน
เดิมทีลงจากรถไฟมาก็รู้สึกหิวโหยทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความคิดที่จะรับประทานอะไรแม้แต่น้อยเธอเดินเท้าไปจนถึงเขตที่พักของของโรงกลั่นสุราเยว่หยาง เมื่อชาติก่อนเธอใช้ชีวิตกับครอบครัวของลูกพี่ลูกน้องแม่ที่ทำงานในโรงกลั่นสุรานั่นเอง
หลังบิดามารดาจากโลกไป ญาติคนอื่นไม่มีใครยินดีเลี้ยงดูเธอ แต่ครอบครัวน้ามีฐานะดีหน่อยจึงพาเธอกลับบ้าน
แต่ครอบครัวของน้าเองมีลูกสองคนเช่นกัน แม้จะไม่เคยทารุณเธอ ทว่าการปฏิบัติดูแลต่อเธอก็ไม่ถือว่าเอาใจใส่เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้เพียงพยายามไม่ไปรบกวนคนอื่น อาศัยบ้านน้าไม่กล้าอยู่ดีกินดีลดระดับการดำรงอยู่ของตนให้ต่ำลงที่สุด ั้แ่วัยเยาว์จนกระทั่งวัยสาวเธอรู้สึกต่ำต่อยด้อยค่าเสมอมา
อาศัยอยู่ในบ้านน้าได้ 10 ปีต่อมาผลประกอบการของโรงกลั่นสุราไม่สู้ดีนัก ลูกสองคนของน้าก็ต้องศึกษาเล่าเรียนหากยังเลี้ยงดูเซี่ยเสี่ยวหลานต่อไปภาระจะหนักอึ้งอย่างมาก ทว่าน้าไม่กล่าวอะไรเลยมีเพียงสามีน้าที่ตีหม้อทุบชามในบ้านทั้งวันตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่ง จึงตัดสินใจย้ายกลับบ้านตนเองให้รู้แล้วรู้รอด
บางครั้งน้าจะแอบให้เงินค่าครองชีพเล็กน้อยแก่เธอเซี่ยเสี่ยวหลานก็กำลังมุมานะหาเงินเหมือนกัน เยว่หยางในยุค 90 เป็่เวลาที่สถานการณ์ของการปฏิรูปเศรฐกิจรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดเธอทำงานจุกจิกหาเงินประทังชีวิตไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ผลการจึงตกต่ำมหาวิทยาลัยที่เข้าหลังจากนั้นก็ค่อนข้างธรรมดา อีกทั้งยังเรียนสาขาวิชาที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์หลังจากจบการศึกษามหาวิทยาลัยรัฐก็ยกเลิกนโยบายการจัดสรรอาชีพ—เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าชาติก่อนได้พลาดโอกาสไปไม่น้อยถึงอย่างนั้นความเสียดายที่้าการเติมเต็มกลับไม่มากไม่รู้ว่าทำไมเง็กเซียนฮ่องเต้ถึงเลือกให้เธอมาเกิดใหม่แถมเกิดในร่างของผู้อื่นเสียด้วย
ประสบการณ์แห่งวัยเยาว์ การฝ่าฟันของวัยรุ่นนั้นขมขื่นลำบากยากเข็ญก็จริงแต่เธอก็ได้พบกับความสำเร็จแล้ว
ได้ทั้งบ้านหลังโตและรถคันงาม มีตำแหน่งหน้าที่การงานนอกจากเข้าประตูวิวาห์และให้กำเนิดลูกแล้วเธอยังมีอะไรต้องเสียใจอีกหรือ?
คนใกล้ชิดหนึ่งเดียวก็คือน้า ต่อมาเมื่อเธอมีความเจริญก้าวหน้าแล้วจึงทดแทนบุญคุณหลังโรงกลั่นสุราถูกยึดซื้อไป น้าและสามีก็ตกงานพร้อมกันทั้งคู่เวลาผ่านไปชีวิตครอบครัวยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับรับเงินรายได้ประจำปีแล้วขณะนั้นเธอเป็ผู้จัดการระดับกลางค่อนสูง เงินเดือนรวมเงินพิเศษสิ้นปีหลักแสนหยวน่ปี 2010 ราคาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศยังไม่ดีดขึ้นราคาเฉลี่ยสินค้าอสังหาริมทรัพย์ของเยว่หยางวนเวียนขึ้นลงอยู่ที่ราว 3000 หยวนต่อตารางเมตร เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อบ้านในเยว่หยางทีเดียวสองหลังให้น้าเป็จำนวนเงินรายได้หนึ่งปีของเธอพอดี... ใช่ ตอนนั้นเธอเรียบจบมาแล้ว 14 ปี ถือว่าได้ตั้งหลักมั่นคงเบื้องต้นในเมืองใหญ่แล้ว สองปีผ่านไปการงานที่พรั่งพร้อมยิ่งต้อนรับความก้าวหน้าอันรวดเร็วดุจจรวดของเธอรายได้ต่อไปไม่ใช่เพียงเงินเดือนและเงินพิเศษสิ้นปี แต่ยังมีเงินปันผลจากบริษัทก้าวเข้าสู่การเป็ผู้บริหารระดับสูงโดยสมบูรณ์
ตอนที่เธอควักเงินซื้อบ้าน สีหน้าสามีของน้าแสดงออกว่าประทับใจเหลือเกินทุกวันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังจดจำได้ชัดเจน
ไม่คิดไม่ฝันว่าเด็กกำพร้าที่ครอบครัวเขาเคยเลี้ยงดูถึงสิบปีภายหลังจะยอดเยี่ยมมากกว่าลูกในไส้ของตนทั้งสองคนเสียอีก!
เรียกได้ว่าเคยตอบแทนบุญคุณชุบเลี้ยง ชาติก่อนก็หมดสิ้นความติดค้างกันแล้วเกิดใหม่ชาตินี้เพื่อช่วยเหลือชีวิตบัดซบของ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ หรือ?
ในหัวของเซี่ยเสี่ยวหลานสับสนอลหม่านพอระลึกความทรงจำจนเจออาคารเอื้ออาทรของโรงกลั่นสุราเยว่หยางเซี่ยเสี่ยวหลานจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง เธอสร้างตัวตนให้เธอเองเรียบร้อยเป็ญาติห่างไกลของตระกูลเซี่ย
“พี่สาว ขอถามสักหน่อย บ้านเฝิงต้าหมินอยู่ตึกหมายเลขเจ็ดใช่หรือไม่?”
เฝิงต้าหมินคือนามของสามีน้า
คนถูกถามแสดงอาการสงสัย “เฝิงต้าหมิน?”
“ใช่ค่ะ คุณรู้จักไหม ภรรยาเขาชื่อเจิงลี่ ทำงานในโรงกลั่นเหยวหยางเช่นกันฉันเป็ญาติเขาน่ะค่ะ”
เฝิงต้าหมินและเจิงลี่?
สตรีวัยกลางคนผู้โดนเซี่ยเสี่ยวหลานรั้งไว้มีสีหน้างุนงง “ไม่รู้จักสองคนนี้เลย เธอตามหาผิดที่หรือเปล่า?”
“เช่นนั้นคุณพาฉันเข้าไปหาได้หรือไม่?”
อาจเพราะความกระวนกระวายบนหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานะเือารมณ์คนยิ่งนักบวกกับผู้คนในเวลานี้อัธยาศัยดีอยู่แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานได้เปลี่ยนกลับมาพูดสำเนียงถิ่นเยว่หยางอีกพี่สาวจึงไม่ระแวงเท่าไร พาเธอไปยังอาคารหมายเลขเจ็ดทันที
เป็อาคารนี้นี่แหละ!
เซี่ยเสี่ยวหลานเคาะประตูบ้านที่เหมือนในความทรงจำหญิงชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งเปิดประตูออก
“เธอมาหาใครหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จักคนผู้นี้ หัวใจเธอกระตุกไปชั่วครู่ “คุณป้า ฉันมาหาเฝิงต้าหมิน...”
หญิงชรามองหน้ากับหญิงวัยกลางคน ทั้งสองไม่รู้จักเฝิงต้าหมิน
ไม่มีคนรู้จักเฝิงต้าหมิน และไม่มีคนรู้จักเจิงลี่เช่นกัน
ครอบครัวน้าสูญหายไปโดยสิ้นเชิงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงกำพร้าที่อาศัยบ้านพวกเขาอย่าง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’
เซี่ยเสี่ยวหลานออกจากโรงกลั่นเยว่หยาง ราวกับจิติญญาได้ร่วงหายไปจากกายเนื้อ
เพื่อค้นหา ‘เฝิงต้าหมิน’ และ ‘เจิงลี่’ เธอถึงขนาดรบกวนสถานีตำรวจเปลืองแรงกายมากมายถึงจะขอให้โรงกลั่นช่วยค้นเอกสารได้โรงกลั่นสุราเยว่หยางมีคนชื่อเจิงลี่คนหนึ่งจริง อายุเพิ่ง 20 ต้นๆ โตกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่กี่ปี จะเป็ลูกพี่ลูกน้องมารดาเธอจากชาติก่อนได้อย่างไร
ในหมู่พนักงานโรงกลั่นสุราเยว่หยางไร้ตัวตนของน้าและสามี
‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ที่เธอ้าค้นหายิ่งไม่มีทางเจอแน่
“คุณ คุณไม่เป็ไรใช่ไหม?”
เ้าหน้าที่ผู้ตามมาด้วยตลอดทางยังฝืนทนดูไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานพริ้มเพรานักเห็นคนสวยขนาดนี้กำลังเ็ป คนธรรมดาล้วนอดปลอบโยนเสียหน่อยไม่ได้
ไร้ซึ่งคุณน้าและครอบครัวไร้ร่องรอยการมีชีวิตอยู่ของบิดามารดาบังเกิดเกล้าผู้จากโลกไปก่อนวัยอันควรเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ซึ้งว่าเธอได้กล่าวอำลาทุกสิ่งในชาติก่อนจนหมดสิ้นแล้ว—แม้เตรียมใจไว้ก่อนตั้งนานความผิดหวังและเคว้งคว้างนั่นยังคงทำให้เธอยากที่จะรับได้
“ฉันไม่เป็ไรค่ะ...”
เ้าหน้าที่เมียงมองเธอ ปากคุณบอกไม่เป็ไรน้ำตาบนใบหน้ามันคืออะไรกันเล่า
แจ้งว่ามาตามหาญาติมิตร ปรากฏหาคนไม่พบ เ้าหน้าที่จึงต้องพาเธอไปส่งยังบ้านพักรับรอง
เซี่ยเสี่ยวหลานเอนกายบนเตียงด้วยความโง่งมสับสน เธอนึกว่าจะนอนไม่หลับเสียอีกแต่ความจริงก็หลับใหลไปอยู่ดี เธอฝันถึงเื่ต่างๆ มากมายความทรงจำของชาติก่อนแสนเลือนราง ในความฝันเธอแยกแยะไม่ได้ว่าความจริงแล้วตนคือ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ คนไหนกันแน่
เซี่ยเสี่ยวหลานแห่งหมู่บ้านต้าเหอ?
เซี่ยเสี่ยวหลานแห่งเยว่หยาง?
ฝันผีเสื้อของจวงโจว [2] พอรู้สึกตัวจากการหลับใหลอันล้ำลึกเธอคงไม่พบเื่ราวในอดีตอีกต่อไปราวกับทำได้เพียงกอบกุมชีวิตปัจจุบันไว้ให้มั่นที่สุด
หลังตื่นขึ้นในตอนเช้า เหมือน้าพิสูจน์ว่าตนเองมีชีวิตอยู่จริงๆในปัจจุบัน เธออยากคุยกับใครสักคนเหลือเกิน และเนื่องจากเธอมาพักโดยการแนะนำของเ้าหน้าที่คนของบ้านพักจึงยินยอมให้เธอใช้โทรศัพท์ โทรศัพท์ทางไกลโอนสายแล้วต่อสายอีกไม่หยุดรอนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอถึงได้ยินสุ้มเสียงของโจวเฉิงส่งผ่านออกมาจากหูโทรศัพท์
“เสี่ยวหลาน?!”
โจวเฉิงทั้งร้อนรนทั้งโกรธเคือง เมื่อวานน้องสาวของไป๋จื้อหย่งต่อสายมายังหน่วยงานไป๋จื้อหย่งจึงมาแจ้งเขา เล่าเื่ราวอันธพาล ‘เคออีสฺยง’ ที่หยางเฉิง โจวเฉิงกังวลในความปลอดภัยของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อย่างมากเมื่อทราบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานนั่งรถไฟเที่ยวกลับซางตูแล้วคาดการณ์ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานถึงบ้านก็จะติดต่อเขา—ยึดจากเวลาเมื่อวานก็ควรถึงซางตูเรียบร้อย กลับกลายเป็ไร้ข่าวคราว
เธอถึงบ้านโดยสวัสดิภาพหรือไม่?
ไหว้วานเสี่ยวกวงญาติของเขาที่เคยช่วยเหลือครั้งก่อน ให้ส่งคนไปสังเกตการณ์ถึงบ้านย่าอวี๋
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้กลับซางตูด้วยซ้ำ!
สมองของโจวเฉิงขาวโพลนไปชั่วขณะหนึ่งทันที
เชิงอรรถ
[1]顺水推舟 ปล่อยเรือไปตามกระแสน้ำ หมายถึง หาผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
[2]庄周蝶梦 ฝันผีเสื้อของจวงโจวมีที่มาจากนักปรัชญาลัทธิเต๋า จวงจื่อ โดยนามเดิมของเขาคือจวงโจวฝันผีเสื้อของจวงโจวเป็เื่เล่าซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาวันหนึ่งเขาฝันว่าตนกลายเป็ผีเสื้อ โบยบินอย่างอิสระสบายใจยิ่งนักไม่รู้ตัวเลยว่าผีเสื้อนั้นคือจวงโจว เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าเป็เพียงความฝันและตัวเขาคือจวงโจว หลังจากนั้นเขาก็ครุ่นคิดแท้จริงแล้วจวงโจวฝันว่ากลายเป็ผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันว่ากลายเป็จวงโจวปรัชญานี้สามารถเข้าใจได้หลายแบบมาก แต่ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังสับสนในตัวตนของเธอ แยกแยะไม่ได้ว่าตนเองเป็ใครกันแน่
