“คุณแม่ยายครับ แอร์นำเข้าแพงเกินไปไหม? ตั้งแปดพันกว่าหยวนเชียวนะ นี่... ยังต้องซื้อเครื่องบันทึกวิดีโอกับทีวีสีอีกไม่ใช่เหรอ? เมื่อกี้เพิ่งซื้อตู้เย็นมา เราก็ซื้อของนำเข้าตามที่พวกคุณบอก ตู้เย็นก็ปาเข้าไปเจ็ดพันกว่าหยวนแล้ว ตอนนี้แอร์เปลี่ยนเป็ของที่ผลิตในประเทศได้หรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบกว่าปีเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง ขณะปรึกษาหารือกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ
ข้างกายชายวัยกลางคนมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ อายุไล่เลี่ยกับหญิงสาวข้างๆ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้เดินมาด้วยกันแต่ก็มองตากันเป็ระยะๆ แถมยังลอบยิ้มให้กันอีกด้วย ดูก็รู้ว่าเป็หนุ่มสาวที่กำลังมีความรัก
คังอิงได้ฟังก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขาน่าจะเป็ครอบครัวของทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิงที่กำลังจะแต่งงานกัน และพากันมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เธอเคยอ่านข้อมูลมาก่อน การจะแต่งงานกันจะต้องมีของสำคัญสามอย่าง
ในยุค 70 คือ นาฬิกาข้อมือ จักรยาน และจักรเย็บผ้า ส่วนยุค 80 คือ ตู้เย็น โทรทัศน์สี และเครื่องซักผ้า ส่วนในยุค 90 คือ เครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียง และเครื่องบันทึกวิดีโอ ส่วนในยุคของคังอิงคือรถยนต์ บ้าน และเงินทอง ตามการพัฒนาของยุคสมัย สิ่งของเหล่านี้ก็พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ฟังคำพูดของชายวัยกลางคนก็แสดงท่าทีไม่พอใจ เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“ฉันไม่ได้ขอให้พวกเธอใช้ของนำเข้าทุกอย่างเสียหน่อย แต่เพราะตอนนี้แอร์กำลังเป็ที่นิยม ถ้าในบ้านใหม่ไม่มีแอร์นำเข้า แล้วแต่งงานกันใน่หน้าร้อนแบบนี้ เครื่องสำอางของเ้าสาวกับเพื่อนเ้าสาวจะไม่เลอะเทอะกันหมดหรือไง?
ลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวโฉงที่แต่งงานกับเ้าหน้าที่สำนักงานยาสูบ บ้านเขาน่ะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าครบหมดแล้ว ทั้งเครื่องบันทึกวิดีโอ ตู้เย็น แอร์ ทีวีสีล้วนแต่ยี่ห้อซงเซี่ย ของนำเข้าทั้งนั้น พวกเราก็ไม่ได้ขอใช้ยี่ห้อซงเซี่ยทุกอย่างนี่นา แค่ขอให้แอร์เป็ยี่ห้อซงเซี่ยก็พอแล้ว มันมากเกินไปรึไง?”
ชายวัยกลางคนเม้มริมฝีปากเข้าหากัน คิ้วขมวดเป็ปม ส่วนคู่รักชายหญิงทั้งสองก็มีสีหน้ามืดครึ้มลง หญิงสาวคนนั้นเดินเข้าไปดึงชายเสื้อมารดาตนเอง...
คังอิงฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างเงียบๆ ก่อนจะอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็ยุคสมัยไหน การแต่งงานของคนทั่วไปก็ไม่ใช่เื่ง่ายจริงๆ!
ตอนนี้เครื่องใช้ไฟฟ้ายังเป็แค่เงื่อนไขเบื้องต้นในชีวิตของพวกเขา ส่วนในอนาคตนั้นอย่าได้พูดถึงเลย แค่บ้านหลังเดียวก็ต้องทนทุกข์กับการถูกธนาคารกดขี่ขูดรีดไปทั้งชีวิต
แต่อย่างไรเสีย แม้ว่าทั้งสองครอบครัวจะมีบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย ทว่าพนักงานขายของห้างสรรพสินค้ากลับไม่เคยมองพวกเขาแม้แต่น้อย ไม่มีใครเดินเข้ามาแนะนำสินค้าเลยสักคน
ก็ไม่แปลกหรอก เพราะพนักงานขายล้วนเป็พนักงานของรัฐวิสาหกิจ พวกเขาได้รับเงินเดือนประจำ ไม่ว่าจะขายเครื่องใช้ไฟฟ้าได้มากน้อยขนาดไหน พวกเธอก็ไม่ได้เงินเพิ่มแม้แต่เหมาเดียว ในสายตาของลูกค้า พวกเธอมักจะทำตัวหยิ่งยโสอยู่เสมอ
คังอิงพลันฉุกคิดขึ้นมา แม้ว่าตอนนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ล้วนเป็ของนำเข้า แต่บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศอย่างไห่โซงตี้ [1] หรือฉางหง [2] เริ่มขยายกิจการจนมีชื่อเสียง และเริ่มมีความตระหนักในเื่แบรนด์ดิงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น คังอิงยังรู้อีกด้วยว่าพวกเขาสามารถเอาชนะแบรนด์ต่างชาติในตลาดด้วยสินค้าคุณภาพดีและราคาถูก จนกลายเป็ความภาคภูมิใจในแบรนด์ของประเทศด้วย
หากเธอได้รับสิทธิ์เป็ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ เช่นนั้นคงทำเงินได้อย่างมหาศาลใช่หรือไม่? เพราะหากเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าจากต่างประเทศแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศนั้นมีข้อได้เปรียบทางด้านราคา มันถูกกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าจากต่างประเทศราวพันถึงสองพันหยวน หรืออาจจะมากกว่านั้น
อย่าดูถูกเงินพันหรือสองพันหยวนนะ สำหรับคนทั่วไปมันเป็สิ่งล่อใจที่มากมายเหลือเกิน
คังอิงครุ่นคิดในใจ หากจะเปิดร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองแบบถาวร ตอนนี้น่าจะเป็่เวลาที่ดี
ปัจจุบันสายลมแห่งการปฏิรูปและการเปิดประเทศได้พัดโชยมายังดินแดนแห่งนี้ กระเป๋าเงินของคนจำนวนมากต่างก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ความ้าซื้อของประชาชนกำลังจะล้นทะลักออกมา
คังอิงจำได้ว่าชาติก่อนเธอเคยมีญาติห่างๆ คนหนึ่งที่เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองเล็กๆ ที่บ้านเกิดของเธอ เขากลายเป็เศรษฐีคนแรกในเมืองนั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลกำไรจากการเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นมีมากมายมหาศาลขนาดไหน
อีกทั้งหากเธอสามารถได้สิทธิ์เป็ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของแบรนด์ใหญ่ๆ อย่างไห่โซงตี้แล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะขายแบบไหนก็คงทำเงินได้เป็กอบเป็กำแน่ๆ
แม้ว่าเวลาผ่านไป ต่อให้เธอออกจากร้านนี้ไป และจ้างคนมาช่วย เธอก็ยังทำให้ร้านดำเนินกิจการต่อไปได้
ยิ่งคิดคังอิงก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็ความคิดที่ดี เพราะในเวลานี้ที่อำเภอเล็กๆ ยังไม่มีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนบุคคลแม้แต่ร้านเดียว
คังอิงพลันมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมาในหัว เธอตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ หากจะทำก็ต้องทำให้มันยิ่งใหญ่ไปเลย เช่าร้านใหญ่ๆ ในย่านธุรกิจ ตกแต่งให้ดูหรูหราอลังการ จากนั้นก็จ้างพนักงานที่มีคารมคมคาย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน และมีทัศนคติในการบริการที่ดี... อีกทั้งการบริการหลังการขายก็ต้องไม่น้อยหน้าเช่นกัน…
คังอิงใช้สมองคิดอย่างหนัก สิ่งที่น่าเสียดายก็คือตอนนี้เธอยังไม่มีสมาร์ตโฟน มิเช่นนั้นเธอก็บันทึกความคิดพวกนี้ด้วยเสียงระหว่างเดินทางได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะลืมมันไป
คังอิงคิดจะหาที่สักแห่งเพื่อบันทึกแรงบันดาลใจของตัวเองเอาไว้ ร้านกาแฟเธอก็ไม่อยากไปแล้ว กาแฟแก้วละ 15 หยวน แถมยังใช้กาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อเนสกาแฟอีก แบบนั้นมันขี้โกงชัดๆ
เธอเดินออกจากห้างสรรพสินค้า และเห็นร้านขายน้ำแข็งตั้งอยู่ข้างร้านขายของชำ หน้าประตูร้านมีร่มกันแดดตั้งอยู่ ใต้ร่มนั้นมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่หลายตัว มันเป็ที่นั่งสำหรับลูกค้าที่เดินผ่านมาซื้อไอศกรีมแท่งกับน้ำแข็งก้อน
หน้าร้อนแบบนี้ได้กินไอศกรีมแท่งเย็นๆ ชื่นใจสักแท่งก็นับว่าเป็ความสุข เพราะอย่างนั้นตอนนี้ร้านขายน้ำแข็งจึงขายดีเป็เทน้ำเทท่า
คังอิงเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วถามว่า “ไอศกรีมแท่งราคาเท่าไหร่?”
“รสถั่วลิสงกับนมสดราคาห้าเฟิน รสน้ำเชื่อมราคาสองเฟิน” คนขายไอศกรีมแท่งเป็เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดปี ผิวของเขาดูคล้ำแดด แต่ก็มีท่าทางที่คล่องแคล่วมาก
คังอิงเห็นว่าที่ร้านยังขายน้ำแข็งก้อนด้วยจึงถามว่า “แล้วน้ำแข็งก้อนราคาเท่าไหร่?”
“ถุงละสองเหมา”
สิ่งที่เรียกว่าน้ำแข็งก้อนก็คือก้อนน้ำแข็งที่ถูกแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น คนที่บ้านไม่มีตู้เย็นแต่อยากกินน้ำแข็งมักจะมาซื้อที่นี่ ตอนซื้อพวกเขามักจะใส่น้ำแข็งลงในถุงพลาสติกแล้วนำกลับบ้าน
สาเหตุที่น้ำแข็งก้อนขายดีในยุคนี้ก็เป็เพราะตู้เย็นยังไม่แพร่หลาย พอซื้อน้ำแข็งกลับไปก็ใส่มันลงในน้ำผึ้ง หรือใส่ลงในชาน้ำแข็งเพื่อดับกระหาย นับว่าเป็หนึ่งในวิธีการคลายร้อนของประชาชนคนทั่วไป
คังอิงที่เห็นว่ามีคนที่ซื้อน้ำแข็งก้อนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เธอนึกขึ้นมาได้ว่าครอบครัวที่ซื้อตู้เย็นกลับมีไม่มากเท่าที่ควร ในตลาดขาดอะไร ก็มักจะพิสูจน์ได้ว่าสิ่งของนั้นๆ มีศักยภาพทางการตลาดมากไม่ใช่หรือไง?
คังอิงซื้อไอศกรีมรสถั่วลิสงมาหนึ่งแท่ง แล้วหาที่นั่งว่างๆ ใต้ร่มกันแดด จากนั้นก็หยิบสมุดโน้ตกับปากกาออกมาจากกระเป๋าผ้า ขณะกินไอศกรีมแท่งไปพลาง เธอก็บันทึกโน้ตไปพลาง
ไอศกรีมแท่งถั่วลิสงทำจากผงถั่วลิสงบด มันมีกลิ่นหอมของถั่วลิสงเข้มข้น รสชาติก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว
การกระทำอย่างการกินไอศกรีมแท่งริมถนนโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองเช่นนี้ เป็สิ่งที่คังอิงทำโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากที่ได้สติกลับมาแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกขัดเขินแต่อย่างใด อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ไม่ได้เป็ประธานบริษัทใหญ่โตที่มีผู้คนมากมายคอยยกย่องบูชา เธอจึงไม่จำเป็ต้องรักษาภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมต่อหน้าพนักงานอีกต่อไป
วันเวลาที่ไร้พันธนาการแบบนี้ให้ความรู้สึกดีเหมือนกัน ขณะที่คังอิงมีความสุข พลางกินไอศกรีมแท่งไป ความคิดก็พลุ่งพล่านเหมือนน้ำพุ มือก็เขียนบันทึกแผนธุรกิจที่เธอคิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเขียนเต็มสองหน้ากระดาษ ความคิดของเธอถึงได้หยุดลง จากนั้นคังอิงก็เก็บสมุดโน้ตและปากกากลับเข้าไปในกระเป๋าผ้าที่เธอพกติดตัวไว้
ไอศกรีมแท่งถูกเลียจนเหลือเพียงแต่ไม้ไผ่ คังอิงมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นถังขยะ เธอมองดูบนพื้นก็พบว่ามีกระดาษห่อไอศกรีมกับไม้ไอศกรีมทิ้งเกลื่อนกลาด เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบไม้ไอศกรีมขึ้นมาแล้วเดินไปทิ้งในถังขยะที่อยู่ไกลๆ
เชิงอรรถ
[1] Haier Group เป็ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ในสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 ในเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ประเทศจีน
[2] บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคของจีน ก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็ผู้ผลิตนำด้านนวัตกรรมการผลิตโทรทัศน์ ในปี พ.ศ.2565 ฉางหงได้รับเลือกให้เป็ 1 ใน 50 สุดยอดองค์กรการผลิตอัจฉริยะชั้นนำของจีน (China’s Top 50 Intelligent Manufacturing Enterprises)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้