ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น
''ตรงด้านหน้าจะเป็ตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว
''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้าุโที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็การเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเอง
นับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็อย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็อย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่มุ่งเข้าสู่ใจกลางของมหานครของแคว้นถูกปูด้วยก้อนอิฐที่มีขนาดใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายซื้อของอย่างคึกคักแน่นขนัด ซึ่งแตกต่างจากทุกเมืองที่เขาได้ผ่านมา
''ช่างดูคึกคักเสียจริง!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น
''แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็เมืองหลวงของแคว้นเหมือนกัน เเต่หากพินิจดี ๆ เเล้วแคว้นเต่าดำนั้นจะเจริญมากกว่าแคว้นหงส์แดงไปถึงหนึ่งขั้นเลยทีเดียว...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังพื้นที่โดยรอบ แม้ว่าก่อนหน้าตนจะเป็ขอทานในกลางเมืองของแคว้นหงส์เเดงมาก่อนเเต่กลิ่นอายความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
''หากซื้อผลไม้สดไปฝากท่านตากับท่านยาย ลู่เกอว่าเป็อย่างไรขอรับ เพราะหากเป็สิ่งของเครื่องประดับและของมีค่าต่าง ๆ ข้าว่าท่านทั้งสองคงจะมีมากมายแล้วเป็แน่...'' หนิงอ่ายถามลู่ซีเพื่อตัดสินใจอีกครั้ง
''ตามที่เ้า้าได้เลย'' ลู่ซีเห็นด้วยกับหนิงอ้ายจึงเอ่ยตอบตกลงไป
''ขอรับลู่เกอ''
'หลีกไป หลีกไป อย่าขวางทาง!!'
'หลีกไปให้พ้น!!! หากไม่อยากเจ็บตัวให้ถอยไปให้ห่างรถม้าเสีย...' เสียงของรถม้าและฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับชายผู้ขี่ม้านำขบวนได้ตระโกนไล่ผู้คนให้หลีกทางดังกล่าว
''รีบไปที่ไหนกัน?'' หนิงอ้ายบ่นออกมาด้วยความรำคานใจ ในโลกเดิมของเขาก็มีเื่ราวเช่นนี้ให้พบเห็นพวกที่ไร้วินัยขาดความรับผิดชอบในการพื้นที่ส่วนรวมเช่นนี้
'นี่เป็เส้นทางหลักใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำ คนกลุ่มนี้ช่างไม่มีมารยาทเสียจริง!! '
'มีใครเห็นบุตรีข้าหรือไม่? นางพลัดหลงกับข้าไปด้วยเหตุการณ์เมื่อครู่…'
'ดูจากตราสัญลักษณ์บนรถม้าแล้วคงเป็เหล่าบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาอี๋หลิง ข้าได้ยินมาว่าศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกหลายคนของสำนักศึกษา ได้ล่วงหน้ามาก่อนที่งานประลองแคว้นจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า... '
เหตุการณ์ความวุ่นวายได้จบลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงก่นด่าสาบแช่งคนกลุ่มนั้นตามหลัง หนิงอ้ายได้ยินสิ่งที่ผู้คนรอบตัวกล่าวมาทั้งสิ้น ฟังว่าขบวนรถม้าเมื่อครู่คงเป็คณะเดินทางของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาอี๋หลิงอันเป็สำนักศึกษาอันเลื่องชื่อเช่นกัน หนิงอ้ายตั้งใจว่า่เวลาที่เหลืออีกเพียงไม่กี่วันนี้เขาคงต้องหาข้อมูลสุดยอดฝีมือที่คาดว่าจะเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด
เนตรแห่ง์ได้ผนึกขึ้นเป็วิหคโปร่งแสงนับร้อยตัวกระจายไปทั่วในรัศมีสองลี้ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของมหานครเต่าดำ สิ่งนี้หนิงอ้ายเรียกว่า วิหคสอดแนม ทักษะนี้หนิงอ้ายได้พลิกแพลงจากความสามารถของเนตรแห่ง์ หมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการรับรู้ของวิหคสอดแนมแต่ละตัวหนิงอ้ายล้วนรับรู้และได้ยินด้วยเช่นกัน ความเป็จริงแล้ววิหคสอดแนมนี้ไร้ซึ่งรูปร่าง หาได้มีรูปลักษณ์เป็วิหคแต่อย่างใด อีกทั้งยังโปร่งแสง ไร้สี ไร้กลิ่น ไม่ทิ้งััใดให้ตรวจจับได้ หากไม่พบเจอกับสมบัติวิเศษสายตรวจจับหรือผู้ฝึกตนที่มีญาณลึกล้ำย่อมไม่อาจััถึงได้โดยง่าย แน่นอนว่าข้อจำกัดเหล่านี้ล้วนถูกทลายไปสิ้นหากวันหนึ่งหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยพลังิญญาที่แข็งแกร่งนั่นเอง
มหานครแคว้นเต่าดำนับว่ามีการวางรากฐานตั้งรกรากมาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว มีคำกล่าวไว้ว่าท่านผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ในตอนนั้นล้วนเป็บุคคลสำคัญมีชื่อเสียงที่พร้อมไปด้วยฝีมือโดดเด่นได้ร่วมมือก่อตั้งแคว้นปกครองนี้ขึ้น โดยให้พี่ใหญ่ที่พวกเขาทั้งสามคนให้ความนับถือขึ้นเป็ผู้ปกครองแคว้นในฐานะของราชวงศ์เเรกของแคว้นเต่าดำ อีกทั้งพวกเขายังได้ร่วมมือต่อสู่กับชนเผ่าพื้นเมืองต่อต้าน รวมไปถึงการปกป้องแคว้นจากการบุกโจมตีแย่งชิงอาณาจักรใกล้เคียง
กว่าจะรวบรวมเมืองน้อยใหญ่โดยรอบเพื่อสร้างเสริมความเป็ปึกแผ่นจนเป็มหานครแคว้นเต่าดำเฉกเช่นวันนี้ เเต่ละตระกูลล้วนมีความเเข็งแกร่งที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาลับของตระกูลที่แตกต่างกันออกไป ว่ากันว่าแม้เเต่ราชวงศ์าาผู้ปกครองแคว้นเต่าดำนี้ ยังต้องเกรงใจทั้งสี่ตระกูลใหญ่นี้หลายส่วนเลยทีเดียว สำหรับสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยดังนี้
ตระกูลิเป็ตระกูลใหญ่ที่ขึ้นชื่อในด้านบู๊และการต่อสู้ต่าง ๆ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเป็เเม่ทัพใหญ่ของแคว้นเต่าดำที่มีชื่อเสียงน่าเกรงขามไปทั่วทุกแคว้น ท่านผู้นำตระกูลคนก่อนหน้าจากรุ่นสู่รุ่นล้วนต่างใช้ฝีมือความสามารถที่เเท้จริงโดยไม่พึ่งอำนาจของตระกูลในการขึ้นเป็เเม่ทัพใหญ่ของแคว้น อีกทั้งยังถือครองกิจการเกี่ยวกับพวกการทำอาวุธ รวมไปถึงตำราการต่อสู้ตำรายุทธศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็ที่ยอมรับอันดับต้น ๆ ในยุทธภพ ในส่วนของปราณธาตุของคนในตระกูลิโดยส่วนมากแล้วคือปราณธาตุน้ำและปราณธาตุดินเสียเป็ส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นเป็อัตลักษณ์ของลูกหลานตระกูลิในลักษณะของความมั่นคงหนักเเน่นไม่เอนเอียงต่อสิ่งอยุติธรรมทั้งสิ้น อีกทั้งปราณธาตุน้ำกับปราณธาตุดินที่ดูเหมือนว่าจะเป็อริธาตุนั้น กลับส่งเสริมกันเสียมากกว่า นอกจากนั้นแล้วเคล็ดวิชาประจำตระกูลนอกจากจะมีความเเข็งแกร่งเน้นการป้องกันแล้ว การโจมตีตอบโต้ก็รวดเร็ว พลิ้วไหว รุนแรงเฉกเช่นสายน้ำ...
ตระกูลซูเป็อีกหนึ่งตระกูลที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าหากหาผู้ที่มีทรัพย์สมบัติร่ำรวยกว่าราชวงศ์ประจำแคว้น คงหนีไม่พ้นตระกูลซูหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำนั่นเอง ด้วยเพราะผู้นำตระกูลซูเเต่ละรุ่นจะมีแนวความคิดก้าวหน้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการค้าขายเป็หลัก มักจะเดินทางไปยังแคว้นต่าง ๆ โดยรอบเพื่อหาเเลกเปลี่ยนสินค้าและนำเข้ามาจำหน่ายในแคว้นให้ผู้คนได้หาซื้อได้โดยง่าย กิจการเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็อันดับหนึ่งของแคว้น ล้วนมีสาขาหลักอยู่ทุกเมืองใหญ่ของเเต่ละแคว้นปกครองเช่นกัน มากไปกว่านั้นตระกูลซูยังเป็ผู้สนับสนุนหลักเื่ของเงินท้องพระคลังราชวงศ์แคว้นเต่าดำอีกด้วย สำหรับปราณธาตุประจำตระกูลซูคือปราณธาตุน้ำเพียงปราณธาตุเดียว แม้อาจดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่หากเทียบกับตระกูลที่มีผู้สามารถใช้ปราณธาตุได้สองสาย เเต่ก็นับได้ว่าเป็อีกหนึ่งตระกูลที่มากด้วยผู้ที่มีฝีมือที่มีชื่อเสียงไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถยืนหยัดเป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเฉกเช่นทุกวันนี้มาอย่างยาวนาน
ตระกูลเหวินเป็ตระกูลใหญ่อีกหนึ่งตระกูลที่มีความสำคัญมากเช่นกัน ด้วยเพราะผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนั้นขึ้นชื่อในด้านของบุ๋น ได้รับตำแหน่งเป็ที่ปรึกษาสูงสุดของราชวงศ์ปกครองแคว้นเต่าดำสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็ที่ปรึกษาในตำแหน่งในราชสำนัก ตำแหน่งกุนซือในกองทัพทหารรวมไปถึงบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังในความเฉลียวฉลาดส่วนใหญ่มักจะเป็ลูกหลานตระกูลเหวินทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็ตระกูลที่บ่มเพาะหมอรักษาไม่น้อยเช่นกัน สำหรับปราณธาตุประจำตระกูลเหวินนั้นจะเป็ปราณธาตุน้ำและปราณธาตุไม้นับว่าส่งเสริมกันยิ่ง ด้วยเพราะความพิเศษของปราณธาตุไม้ นั้นย่อมสามารถควบคุมพฤกษาได้เกือบทั้งหมด สามารถเร่งการเติบโตของต้นไม้สมุนไพรหายาก ยิ่งตระกูลเหวินมีการเปิดร้านขายโอสถ สมุนไพรด้วยเเล้วนั้นความบริสุทธิ์ของพลังธาตุน้ำจะประสานรวมกับพลังธาตุพฤกษาจึงทำให้ผลผลิตเกี่ยวกับสมุนไพร โอสถต่างๆ ของตระกูลเหวินนั้นจะมีประสิทธิภาพดียิ่ง
ตระกูลหวังหรือตระกูลของท่านตาของหนิงอ้ายนั้น กล่าวกันว่าตระกูลหวังเป็ตระกูลใหญ่ที่ก้าวเข้าสู่ทำเนียบของแคว้นเต่าดำได้เพียงเเค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ประวัติความเป็มาอาจน้อยกว่าทั้งสามตระกูลที่กล่าวมาทั้งสิ้น เเต่ถึงอย่างไรแล้วตระกูลหวังหาว่าเป็ตระกูลที่สามารถดูเเคลนได้โดยง่าย บรรพบุรุษต้นตระกูลหวังเป็ผู้ใช้ปราณสุริยะธาตุนับว่าเป็ธาตุต้นกำเนิดบริสุทธิ์ของปราณธาตุไฟที่ยังไม่ปรากฎผู้สืบทอดพร์ดังกล่าวมาหลายร้อยปีแล้ว
เส้นทางการเข้าสู่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำคือ องค์าาผู้ปกครองของแคว้นได้ถูกพิษจากการเข้าร่วมสนามรบต่อสู้กับชนเผ่าเร่ร่อนที่เข้ามาบุกประชิดรอยต่อของแคว้นจนทำให้แทบจะสิ้นชีวิตในสนามรบเเต่ได้ท่านบรรพบุรุษของตระกูลหวังที่เป็ผู้ใช้พลังสุริยะธาตุดูดซับพิษช่วยเหลือไว้ได้ทัน ครั้นเมื่อองค์าาทรงหายดีเป็ปกติจึงได้ออกราชโองการให้ตระกูลหวังขึ้นเป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำั้แ่นั้นมา ตระกูลหวังจะไม่ค่อยมีบทบาทที่โดดเด่นเทียบเท่าอีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือ แต่อย่างไรใน่หนึ่งถึงกับมีข่าวลืออย่างหนาหูในยุทธภพว่าตระกูลหวังนั้นมีผู้ฝึกตนระดับมหาพรหมยุทธ์ิญญาหลายคนนั่งประจำการอยู่ ด้วยข่าวลือเช่นนี้จึงทำให้ตระกูลหวังเป็หนึ่งในสี่ของตระกูลใหญ่ของแคว้นได้อย่างมั่นคงมาอย่างยาวนาน
''ข้าขอตรวจสอบป้ายหยกประจำตัวด้วยขอรับ...'' บุรุษวัยกลางคนผู้เฝ้าหน้าประตูของจวนตระกูลหวังเอ่ยขึ้น หลังจากที่มีรถม้าหยุดตรงหน้าจวน
''ลุงิจำข้าไม่ได้หรือเ้าคะ?'' เยว่ซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นป้ายหยกประจำตัวของนางส่งให้ชายวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนที่จะปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเห็นเป็ใบหน้างามที่ทุกคนในตระกูลหวังล้วนคุ้นเคยและจดจำได้เป็อย่างดี
''คุณหนูเยว่ซิน! ยินดีต้อนรับกลับตระกูลหวัง การเดินทางราบรื่นใช่หรือไม่ขอรับ?'' ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกขานว่าลุงิเมื่อเห็นมือเรียวขาวยื่นป้ายหยกประจำตัวให้ตรวจสอบ แม้จะไม่ได้เห็นนานเเล้วเเต่ย่อมชัดเจนในความทรงจำยิ่งนักว่าเป็ป้ายหยกของผู้ใดเพราะตนทำหน้าที่ตรงนี้มานานเเล้ว
''มีข้าร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วยเ้ายังต้องเป็กังวลอยู่อย่างนั้นรึ?'' หวังฮุ่ยที่ตามาด้านหลังเอ่ยหยอกล้อกับหวังิสหายของตน พร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
''ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจ แล้วนี่คือนายน้อยทั้งสองใช่หรือไม่ขอรับ?''
''เด็กหนุ่มคนนี้มีนามว่าหวังหนิงอ้าย ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันมีนามว่าหวังลู่ซีเป็บุตรบุตรธรรมของข้า…''
''สองสามีภรรยาตรงด้านหลังมีนามว่าท่านจางปินกับหรันหรู ทั้งสองจะพักอยู่ในจวนตระกูลหวังระหว่างนี้ รบกวนท่านลุงิเป็ธุระจัดการเื่เรือนรับรองให้ด้วยนะเ้าคะ''
''คุณหนูไม่ต้องกังวล ในส่วนของเรือนพักรับรองอูหยินเหมยฮวาให้บ่าวรับใช้จัดการตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรือนพักของคุณชายน้อยทั้งสองเป็เรือนที่อยู่ติดกันกับเรือนของคุณหนูเลยขอรับ...'' หวังิตอบกลับเยว่ซินไป
''ตอนนี้นายท่านและฮูหยินอยู่ที่เรือนหลัก ข้าได้ให้บ่าวไปแจ้งว่าคุณหนูกลับมาเเล้ว เชิญทุกท่านตามข้ามาได้เลยขอรับ...'' หวังิกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ก่อนที่จะเดินนำทุกคนเข้าสู่เขตพื้นที่ในจวนตระกูลหวัง
จวนตระกูลหวังนี้ที่มีขนาดใหญ่กว่าจวนตระกูลจางจนเห็นได้ชัด พื้นที่โดยรอบได้มีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ประดับทั่วทั้งจวนที่ต่างส่งกลิ่นหอมอ่อน นอกจากนั้นยังมีลมปราณฟ้าดินที่บริสุทธิ์ไหลเวียนหนาแน่น หากสังเกตดี ๆ เเล้วจะพบว่าตรงใจกลางจวนของตระกูลหวังมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เเผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาปกคลุมไปเกือบครึ่งจวน มหาพฤกษาต้นนี้ได้เเผ่ลมปราณอันบริสุทธิ์ลึกล้ำออกมาอย่างสม่ำเสมอชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่หนิงอ้ายก็ได้พบกับชายหญิงที่มีอายุราว ๆ ห้าสิบปีหน้าตาหล่อเหลาหมดจดงดงามสมวัย เมื่อนั่งเคียงคู่กันช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ดูเหมือนว่ามารดาของเขาจะรับเอาความโดดเด่นทางหน้าตาของทั้งคู่มาไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเยว่ซินถึงกับส่งต่อความงดงามดังกล่าวนี้มายังใบหน้าที่งดงามเกินชายของหนิงอ้ายผู้นี้นั่นเอง
''ซินเอ๋อร์ มารดาดีใจนักที่เ้ากลับมา แล้วการเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?'' ท่านยายเหมยฮวาเอ่ยถามพร้อมกับดึงมารดาของเขาเข้ากอดพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่น
''การเดินทางราบรื่นเ้าค่ะ''
''ข้า...ข้าต้องอภัยท่านพ่อและท่านเเม่ที่ทำให้เสียชื่อเสียงของตระกูลหวังนะเ้าคะ'' เยว่ซินเมื่อเห็นบิดามารดาของตนคล้ายกับว่าความเเข็งแกร่งที่เคยมีนั้นสลายไปสิ้น
ข่าวที่นางได้หย่าขาดจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงผู้คนใกล้เคียงต่างรับรู้กันถ้วนหน้าทั้งสิ้น ด้วยเพราะตระกูลหวังและตระกูลจางล้วนเป็ตระกูลใหญ่ของแคว้นทั้งคู่ ดังนั้นเยว่ซินจึงละอายอยู่ในใจไม่น้อย ที่นางทำให้ตระกูลหวังต้องมาเสียหาย และมากไปกว่านั้นนางยังเป็ต้นเหตุที่ทำให้บิดามารดาต้องทุกข์ใจเช่นนี้
''บิดาและมารดาของเ้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยสักครั้งเ้าอย่ากังวลไปเลยลูกรัก ตระกูลหวังของเราร่ำรวยถึงเพียงใดเ้าย่อมรู้ดีแก่ใจมิใช่อย่างนั้นหรือ? เพียงเเค่บุตรสาวและหลานข้าไม่กี่คนเช่นนี้ข้าจะไม่สามารถเลี้ยงดูตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน!''
''ที่นี่เป็บ้านของเ้านะซินเอ๋อร์...'' หวังจิ่งหลงผู้เป็บิดาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรวบตัวเยว่ซินและภรรยาของตนเข้าไปกอดอย่างแแ่
ภาพตรงหน้าของหนิงอ้ายนับว่าเป็ความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบเจอมาตลอดทั้งชีวิต คำว่าครอบครัว คำว่าบ้านแม้จะเป็เพียงคำสั้น ๆ เเต่เมื่อได้ฟังและได้ััเช่นนี้เเล้วมันช่างอบอุ่นไปทั้งหัวใจยิ่งนัก
หลังจากที่หวังจิ่งหลงกับหวังเหมยฮวาได้กอดบุตรสาวของตนที่ไม่ได้พบเจอกันมานานนับสิบกว่าปีพอให้ได้คลายความคิดถึงเเล้ว ทั้งสองจึงปล่อยให้นางนั่งยังที่ว่างข้างตนที่มีการจัดเตรียมไว้
''คารวะท่านตา ท่านยายขอรับ!!'' หนิงอ้ายกับลู่ซียกมือประสานขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
''หนิงอ้าย ตาดีใจมากที่ได้รู้ว่าเ้าสามารถปลุกพลังิญญาเป็ผู้ฝึกตนได้สำเร็จและปราณธาตุมากว่าหนึ่งเช่นนี้ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็ปราณธาตุเดียวกันกับท่านบรรพบุรุษตระกูลหวัง นับว่าเป็เื่ราวที่น่ายินดีแก่ตระกูลหวังของเรายิ่ง!!"
''ส่วนเ้าลู่ซี สำหรับข้าแล้วย่อมไม่สนใจว่าเ้าจะมีชาติกำเนิดหรือความเป็มาเช่นไร ในเมื่อซินเอ๋อร์รับเ้าเป็บุตรบุญธรรมแล้วฐานะของเ้าย่อมไปต่างไปจากหลานของข้าคนหนึ่งเช่นกัน"
หนิงอ้ายรู้มาจากเยว่ซินมารดาของตนว่า หวังจิ่งหลงมีใจรักเดียวให้แก่เหมยฮวาเป็อย่างยิ่ง เขาไม่ยอมรับธรรมเนียมตบแต่งสตรีเข้าจวนมากกว่าหนึ่งดังเช่นทั่วไป แม้ว่าจะมีตระกูลใหญ่หรือองค์หญิงในราชวงศ์้าที่จะตบแต่งเข้ามาในตระกูลหวังเเต่ท่านตาของเขาก็ปฏิเสธไปทั้งสิ้น โดยบอกเหตุผลนั่นคือไม่อยากทำให้คนรักต้องเสียใจ ทั้งสองต่างมีความรักเเท้ที่มั่นคงให้แก่กันอย่างเเท้จริง อีกทั้งยังร่วมต่อสู้ฝันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาด้วยไม่น้อยกว่าที่จะได้รับการยอมรับเฉกเช่นทุกวันนี้ พวกท่านทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันในเรือนใหญ่โดยไม่ได้มีการเเยกเรือนเฉพาะของสามีหรือฮูหยินคนละเรือน เหมือนกับจวนของตระกูลอื่นๆ เเต่อย่างใด เื่ราวความรักมั่นคงของท่านตาของเขาที่มีต่อท่านยายเป็ที่กล่าวเลื่องลือขึ้นชื่อไปทั่วทุกแคว้น
''ลู่ซี หนิงอ้ายพวกเ้าทั้งสองมาให้ยายเห็นหน้าใกล้ ๆ หน่อยสิเ้า'' หวังเหมยฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น
''ขอรับ'' หนิงอ้ายกับลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
''หนิงอ้ายกับลู่ซีใครอายุมากกว่ารึ?''
''ลู่เกอตอนนี้อายุสิบหกปี ส่วนข้าอายุสิบห้าปีขอรับท่านยาย...''
''เช่นนั้นรึ ต่อจากนี้ข้าฝากดูเเลน้องของเ้าด้วยเล่า'' เหมยฮวาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันหน้าคุยกับลู่ซีโดยตรง
''ข้าสาบานว่าจะคอยดูเเลปกป้องหนิงอ้ายให้ดีที่สุดขอรับ...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักเเน่นมั่นคง
''ใครจะให้ท่านคอยดูเเลข้าฝ่ายเดียวกัน พวกเราเป็พี่น้อง เป็ครอบครัวเดียวกัน อย่างไรต้องคอยดูเเลช่วยเหลือกันอยู่เเล้วไม่สมควรเป็หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งทั้งสิ้น...'' หนิงอ้ายแย่งออกไป
''ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องอย่างนี้สิหลานของตาเ้าทั้งสอง จงจำไว้ให้มั่นเล่าในคำพูดของตนวันนี้และยึดถือปฏิบัติตามด้วยเล่า?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยินดีเเละถูกใจยิ่งนัก
''หนิงอ้าย ให้ตากับยายดูหน้าของเ้าสักหน่อยเถิด...''
''ได้เลยขอรับ'' หนิงอ้ายรับคำขอนั้น พร้อมกับทำการถอดผ้าคลุมที่ตนสวมอยู่ออกทันที...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้