มู่เฟิงจ้องมองยาอายุวัฒนะที่ถูกบรรจุอยู่ภายในขวดหยก เวลานี้หัวใจของเขากำลังสั่นไหวอย่างถึงที่สุด
แม้โลกนี้จะโหดร้ายและเพิกเฉยต่อเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มู่เฟิงก็ไม่เคยต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยสักครั้ง เขายังมีคนที่รักเขาอยู่
ครอบครัวสำหรับเขาแล้วไม่สามารถขาดใครคนใดคนหนึ่งไปได้เด็ดขาด คนในครอบครัวนั้นมักจะนำพาความรู้สึกซาบซึ้งมาให้มากมาย เพียงแต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็มักจะถูกมองข้ามไปได้โดยง่ายเช่นกัน เพราะยิ่งเราได้รับมันมามากเท่าไร มันก็ยิ่งกลายเป็ความเคยชินจนท้ายที่สุดก็เผลอมองข้ามการมีอยู่ของมันไป
“ยาครอบจักรวาลขั้นหก ยาล้ำค่าเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถพบเห็นได้ง่ายๆ พี่สาวของเ้ามีมันได้อย่างไร”
ซีเยว่กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
มู่เฟิงส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้ว่ามู่หลิงเอ๋อร์มีของล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร
สำหรับของล้ำค่าเช่นยาครอบจักรวาลขั้นหกนั้น ต่อให้เป็ตระกูลมู่สายหลักก็ไม่อาจหามันมาได้ แม้มู่เฟิงจะไม่รู้ที่มาที่ไปของยาเม็ดนี้ แต่เขาก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่ามู่หลิงเอ๋อร์คงใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมาอย่างแน่นอน
มู่เฟิงวางขวดยาและจดหมายลงในกล่องไม้ตามเดิม จากนั้นเขาได้เก็บมันเข้าไปในแหวนเฉียนคุน
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่จำเป็ต้องใช้ยาอายุวัฒนะนี้แล้ว แต่สิ่งนี้คือความห่วงใยจากใจของมู่หลิงเอ๋อร์ที่มีต่อเขา
“พี่หญิง... ท่านไม่ต้องกังวล เสี่ยวเฟิงไม่มีทางล้มแน่ น้องชายของท่านยังคงเป็อัจฉริยะเหมือนเดิม เมื่อถึงเวลาข้าจะไปยังสำนึกศึกษาราชวงศ์ และท่านจะต้องภูมิใจในตัวข้าอย่างแน่นอน!”
มู่เฟิงกำหมัดแน่น เขาแหงนหน้ามองฟ้าขณะครุ่นคิดภายในใจ
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็รีบเขียนจดหมายขึ้นมาสองฉบับ ก่อนจะนำยาโลหิตขั้นสามออกมาสองเม็ด และยาโลหิตขั้นสองออกมาอีกหกเม็ด เขาได้บรรจุเม็ดยาลงไปในขวดหยกสองขวดแล้วส่งมอบมันให้กับศิษย์ตระกูลมู่คนเดิม เพื่อนำไปส่งยังสำนักศึกษาราชวงศ์
ในจดหมายสองฉบับนั้น ฉบับหนึ่งเขียนถึงอวิ๋นว่านเอ๋อร์ และอีกฉบับหนึ่งเขียนถึงมู่หลิงเอ๋อร์ ส่วนยาอายุวัฒนะเ่าั้เขาก็มอบให้คนทั้งคู่ในปริมาณที่เท่ากัน
หลังจากสะสางธุระทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว มู่เฟิงก็เดินไปยังลานบ้านด้านข้าง ซึ่งเป็เขตเรือนพักของมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่
กลางลานบ้าน ร่างสองร่างกำลังต่อสู้กันด้วยดาบและกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ เสียงโลหะกระทบกันดังออกมาไม่หยุด การต่อสู้กำลังเป็ไปอย่างดุเดือด
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมใส่ชุดคลุมสีดำ รูปร่างกำยำ ผมสั้นและสวมผ้าโพกหัวสีเดียวกันไว้บนหน้าผาก เขาถือดาบสีขาวกระจ่างราวกับหยาดย้ำฟ้าเอาไว้ในมือ ดาบนั้นฟาดฟันเข้าใส่คู่ต่อสู้ดุจดังเกลียวคลื่นที่ถาโถมไม่หยุดยั้ง
ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนสวมใส่ชุดสีขาวราวหิมะ รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นกำลังถือกระบี่เล่มยาวเอาไว้ในมือ เงากระบี่พลิ้วไหวดุจสายลม ว่องไวราวกับภูตผีปีศาจ เขากำลังต่อสู้กับเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำอย่างดุเดือด
ห่างออกไปมีเด็กสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งหิน เฝ้าชมการต่อสู้ของเด็กหนุ่มทั้งสอง
บุคคลทั้งสามนี้คือมู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และมู่หลาน
สิ่งที่ทำให้มู่เฟิงรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือวรยุทธ์ของไป๋จื่อเยว่ได้พัฒนาขึ้นเป็ระดับจื่อฝู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็เพียงขั้นหนึ่งก็ตาม แต่พัฒนาการของเด็กหนุ่มก็ถือได้ว่าก้าวะโอย่างรวดเร็วจนน่าใ
ส่วนวรยุทธ์ของมู่ขวงนั้นยังคงอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นหนึ่ง แต่ด้วยอานุภาพพลังของการฝึกฝนร่างกาย ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาน่าทึ่งเช่นกัน
เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังปะทะกันด้วยคมดาบและคมกระบี่ การต่อสู้ระหว่างพวกเขายังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด กระทั่งหิมะที่ปกคลุมอยู่บนพื้นยังเกิดการสั่นะเืขึ้นมา
มู่เฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาได้ยกดาบขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะทะยานร่างเข้าไปร่วมวงต่อสู้ในทันที
“พยัคฆ์ทำลาย!”
ดาบของมู่เฟิงถูกเหวี่ยงไปทางดาบของมู่ขวงอย่างดุดัน แรงมหาศาลที่ปะทุออกมาจากตัวดาบทำให้มู่ขวงต้องถอยออกไปสองก้าว
“ดรรชนีทองคำตัดสะบั้น!”
จากนั้นตามมาด้ายดรรชนีสีทองที่สะบัดเข้าใส่กระบี่ของไป๋จื่อเยว่ ทำให้เด็กหนุ่มต้องก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวเช่นกัน
“เยี่ยม”
มู่หลานที่เฝ้ามองอยู่ในระยะไกลปรบมือขึ้น
ไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงต่างหันมาสบตากัน จากนั้นคนทั้งสองก็พุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิงพร้อมกันในทันที การต่อสู้ถูกเปลี่ยนเป็สองต่อหนึ่ง เมื่อคนทั้งสามเริ่มต่อสู้พัวพันกัน มันก็ยิ่งดุเดือดมากกว่าเดิม
หลังจากผ่านไปห้าสิบกระบวนท่า มู่เฟิงก็ใช้ดรรชนีปัดกระบี่ของไป๋จื่อเยว่ออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะใช้แข้งเตะลงไปบนลำตัวของอีกฝ่าย จนร่างของเด็กหนุ่มลอยกระเด็นออกไปไกลสี่ถึงห้าเมตร และร่วงกระแทกพื้นในที่สุด
จากนั้นร่างของเขาก็พลันเคลื่อนกายอย่างว่องไวดุจสายลม หลบหมัดที่ตามมาของมู่ขวงได้อย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งของมู่เฟิงคว้าแขนของมู่ขวงเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหมุนตัวกลับมาอย่างกะทันหัน และแทงศอกไปยังรักแร้ของมู่ขวงอย่างแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องก้าวถอยออกไปอย่างต่อเนื่องจนล้มหงายลงบนพื้นหิมะในที่สุด
มู่เฟิงสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ผมยาวสลวยของเขาพลิ้วไสวไปตามแรงลม เวลานี้เขากำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนหิมะ จ้องมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ
“คุณชายช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
มู่หลานปรบมือและกล่าวชมอยู่ด้านข้าง ในขณะที่สายตาก็มองมายังมู่เฟิงด้วยความปลาบปลื้มยินดี
เด็กหนุ่มทั้งสองหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแห้ง พวกเขากำหมัดแน่นและกล่าวพร้อมกันด้วยความเคารพว่า “พี่เฟิง!”
“อืม ทำได้ไม่เลว ในเวลาหนึ่งเดือนถือว่าก้าวหน้าไปมาก จื่อเยว่ เ้าคงฝึกเคล็ดกระบี่เงามายาไปได้ระดับหนึ่งแล้วสินะ ดูเหมือนวรยุทธ์ของเ้าก็พัฒนาไปถึงระดับจื่อฝู่แล้ว ยอดเยี่ยมมาก”
มู่เฟิงยกนิ้วชื่นชมไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงขณะยิ้มกว้างออกมา
“ไอหยา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เพราะยาอายุวัฒนะที่พี่เฟิงมอบให้ต่างหาก”
เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มแห้งอย่างละอายใจ
“แต่พวกเราสองคนกลับไม่สามารถเอาชนะพี่เฟิงได้เลย เฮ้อ...”
ไป๋จื่อเยว่ถอนหายใจ
“ฮ่าๆ ข้าผ่านการฝึกฝนในกองทัพมานานหลายปีแล้ว หากพวกเ้าสามารถเอาชนะข้าได้ง่ายๆ เช่นนั้นการฝึกที่ผ่านมาของข้าจะไม่เรียกว่าสูญเปล่าหรอกหรือ?”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าประสาทััการรับรู้และการเคลื่อนไหวของเขาเป็สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสองไม่อาจเทียบได้
“คุณชาย วันพรุ่งก็จะเป็รุ่งอรุณแรกของปีแล้ว วันนี้ภายในเมืองอันหนานจึงมีการจัดเทศกาลโคมไฟเ้าค่ะ บรรยากาศคึกคักและมีชีวิตชีวามาก เหตุใดเราไม่ไปร่วมสนุกด้วยกันในเมืองอันหนานเสียหน่อยเล่าเ้าคะ”
มู่หลานที่เดินเข้ามากล่าวชักชวนในทันที
“อืม เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลาพักผ่อนก็ควรจะผ่อนคลายเสียหน่อย พวกเราไปกันเถอะ”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่ามู่เฟิงยอมตกลง มู่หลานก็ยิ้มหวานออกมาจนดวงตาคู่สวยของนางกลายเป็จันทร์เสี้ยว จากนั้นนางก็จับมือมู่เฟิงและมู่ขวงเดินไปด้วยกัน โดยมีไป๋จื่อเยว่เดินตามอยู่ด้านข้าง
เวลานี้บนถนนภายในเมืองอันหนานกำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ใบหน้าของทุกคนล้วนประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มสุขใจ หน้าบ้านของบ้านเรือนทุกหลังถูกตกแต่งด้วยโคมไฟและธงเฉลิมฉลอง ทำให้บรรยากาศยิ่งดูคึกคักและครื้นเครง
เทศกาลปีใหม่นั้นเป็เทศกาลในการต้อนรับสิ่งใหม่และอำลาสิ่งเก่า หลังจากผ่านพ้นปีเก่าไป มู่เฟิงก็จะอายุสิบหกปีแล้ว
ในมือของเด็กหนุ่มสาวทั้งสี่คนต่างถือขนมถังหูลู่*เอาไว้คนละไม้ บนถนนมีขนมหวานมากมายหลากหลายชนิดวางขายตามริมทาง เป็ถนนที่มีไว้สำหรับเดินเล่นอย่างแท้จริง
(*ขนมที่ใช้ผลไม้สีแดงมาเคลือบน้ำตาลและนำมาเสียบไม้)
มู่เฟิงกัดถังหูลู่ลงไปหนึ่งคำ จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปยังจื่อเยว่และเสี่ยวหลานที่กำลังหยอกล้อกันอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาทันที เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและมีอิสระเช่นนี้มานานแล้ว
ใน่หลายเดือนที่ผ่านมา เขาต้องใช้ชีวิตภายใต้ความตึงเครียดและความกดดัน บางครั้งเขาก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องด้วยซ้ำ
ความเคียดแค้นจากการตายของบิดาและกองทัพทหารทั้งสองแสนนายของตระกูลมู่ยังคงฝังอยู่ภายในใจของเขามาโดยตลอด ทำให้เป็เื่ยากที่เขาจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้สักครั้ง
ในขณะเดียวกัน มู่เฟิงก็คิดถึงพวกท่านลุงใหญ่และว่านเอ๋อร์เป็อย่างมาก เมื่อก่อนในเทศกาลปีใหม่เขาล้วนใช้เวลาอยู่ที่จวนของตระกูลหลัก และใช้เวลาอยู่กับว่านเอ๋อร์
ในตอนที่เขาเข้าร่วมกองทัพ ่เทศกาลปีใหม่แบบนี้เขาจะกลับจวนตระกูลหลักเป็เวลาสองเดือนและใช้่เวลานั้นอยู่กับว่านเอ๋อร์ ส่วนในเวลาอื่นเขาล้วนอยู่ในกองทัพแฝงตัวปะปนอยู่กับกลุ่มทหาร
“โอ้ สาวน้อยปรากฏตัวได้ประจวบเหมาะเสียจริง”
ขณะที่มู่เฟิงกำลังหวนนึกถึงอดีต น้ำเสียงหยาบกระด้างก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสี่คนได้เข้ามาขวางหน้ามู่หลานเอาไว้ พวกเขาจ้องมองเด็กสาวด้วยสายตาชั่วร้าย ทั้งยังแสยะยิ้มที่น่ารังเกียจออกมา
บนตัวของคนทั้งสี่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเมามายไม่มีสติ
มู่เฟิงและคนอื่นที่เหลือต่างขมวดคิ้วมุ่น ส่วนมู่หลานรีบหลบด้านหลังมู่เฟิงทันที และจ้องมองชายฉกรรจ์ทั้งสี่ด้วยสายตารังเกียจ
“สาวน้อย ขอข้าได้ลองััเ้าดูหน่อยสิจ๊ะ ให้ข้าได้ตรวจสอบดูเสียหน่อยว่าร่างกายของเ้านั้นเจริญเติบโตได้ดีหรือไม่... ฮิๆ”
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งยื่นมือออกมา ้าจะััมู่หลานโดยตรง
“ช่างไม่รู้จักเจียมกะลาหัว!”
ประกายเย็นเยียบแล่นผ่านดวงตาของมู่เฟิง เขาคว้าข้อมือของชายผู้นั้นแล้วบิดมันทันที
‘กร๊อบ!’
“อ๊าก!”
เกิดเป็เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นอย่างชัดเจน ชายผู้นั้นร้องโอดโอยออกมาอย่างน่าสมเพช ข้อมือของเขาถูกมู่เฟิงบิดจนบิดเบี้ยว เขาโน้มตัวลงด้วยความเ็ปและยังคงร้องโหยหวนออกมาไม่หยุด
เมื่อชายฉกรรจ์อีกสามคนเห็นดังนั้นก็พลันได้สติกลับคืนมาสองส่วน หลังเห็นว่าสหายของตนข้อมือหัก คนทั้งสามก็เดือดดาลขึ้นมา จากนั้นพวกเขาจึงได้ชักดาบออกมาจากเอวก่อนจะเหวี่ยงตวัดไปทางมู่เฟิงทันที