เพียงสบตากับท่าทีเ็านั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกใจหาย แม้เขาจะเคยทำหน้าบึ้งอยู่บ้าง แต่นางไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้มาก่อน อาหารมื้อนั้น นางกินไปอย่างกระอักกระอ่วนใจ รู้สึกเพียงว่าอาหารที่เคยกินว่าอร่อยเมื่อวันวาน วันนี้กลับจืดชืดไร้รสชาติใดๆ ราวกับเคี้ยวขี้ผึ้ง
หลายวันต่อมาเขาก็ยังคงเป็เช่นเดิม อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าเขาคงอารมณ์ไม่ดี ปกติก็ได้แต่คอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น เมื่อเป็เช่นนี้อยู่หลายวัน คืนหนึ่ง นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นในที่สุด “ท่านพี่ ท่านเป็อะไรไปหรือเ้าคะ?”
“เปล่า” จางเจิ้นอันตอบสั้นๆ ไม่ยอมพูดอะไรมาก
“ข้ารู้ว่าท่านต้องมีเื่ไม่สบายใจแน่ๆ” อันซิ่วเอ๋อร์นั่งลงฝั่งตรงข้าม จ้องมองั์ตาดำขลับของเขา รู้สึกเพียงว่าแววตาคู่นั้นเ็าดุจห้วงน้ำลึก แทบจะกลืนกินทุกคำที่นางคิดจะเอ่ยถามลงไป นางสูดลมหายใจ รวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “ท่านมีเื่อะไร บอกข้าได้ไหมเ้าคะ? หลายวันมานี้ท่านเอาแต่เงียบขรึม ทำตัวเ็ากับข้าเหลือเกิน ข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยเลย”
“ข้าบอกว่าไม่เป็ไร” จางเจิ้นอันเบือนหน้าหนี ไม่้าสบดวงตาคลอน้ำของนาง ทั้งไม่อยากเห็นท่าทางระมัดระวังคอยเอาใจของนางด้วย
“ท่านไม่เป็ไรจริงๆ นะเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ถามย้ำอีกครั้ง
“อืม” ดูเหมือนเขาไม่อยากพูดคุยกับนางมากนัก คำตอบจึงห้วนสั้นเหลือเกิน
อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าปกติเขาเป็คนพูดน้อย แม้จะเ็ากับคนอื่น แต่กับนาง เขากลับมีเื่พูดคุยด้วยเสมอ แต่หลายวันมานี้ เขากลับเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจและหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ
“เช่นนั้นก็แล้วไปเ้าค่ะ” สีหน้าอันซิ่วเอ๋อร์หม่นลงเล็กน้อย ไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ นางรู้จักนิสัยเขาดี เื่ที่เขาไม่อยากพูด ต่อให้เซ้าซี้ไปก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่าง นางเองก็ยังไม่เชี่ยวชาญทักษะการตื๊อคนเท่าไรนัก
ภายในห้องมืดสลัว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงเมล็ดถั่ว ลมเย็นจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามาวูบหนึ่ง เปลวไฟสั่นไหววูบวาบ คล้ายจะดับลงได้ทุกเมื่อ
อันที่จริง อันซิ่วเอ๋อร์ตั้งใจจะเก็บของเข้านอนแล้ว แต่วันนี้กลับข่มตาให้หลับไม่ลง พอเห็นจางเจิ้นอันล้มตัวลงนอน นางจึงลุกขึ้นไปจัดชายผ้าห่มให้เขาเรียบร้อย ถือโอกาสเร่งไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกนิด แล้วลงมือนั่งทำงานฝีมือต่อ
นางกำลังเย็บส่วนหัวรองเท้าด้วยหนังเก้งที่ซื้อมาจากนายพรานในหมู่บ้าน หนังชนิดนี้กันน้ำได้ดี ทั้งยังนุ่มนวล พอบรรจงเย็บส่วนหัวรองเท้าเสร็จ นางก็หยิบพื้นรองเท้าไม้ออกมาอันหนึ่ง หลายวันนี้เห็นจางเจิ้นอันอารมณ์บูดบึ้ง นางจึงคิดจะทำรองเท้าให้เขาสักคู่ หวังให้เขาอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ด้วยเหตุนี้ นางจึงตั้งใจกลับบ้านเดิมไปขอให้พี่รองช่วยทำพื้นรองเท้าไม้ให้เป็พิเศษถึงสองคู่
ส่วนหัวรองเท้าเย็บเสร็จแล้ว นางลองนำไปทาบกับพื้นรองเท้าดู ขนาดพอดีกัน เพียงแต่พื้นไม้ยังไม่ได้ขัดให้เรียบ จึงยังประกอบเป็คู่ไม่ได้
หากจะขัดให้เรียบ ยังต้องออกแรงอีกพอสมควร อันซิ่วเอ๋อร์กลัวว่าเสียงขัดกระดาษทรายจะรบกวนการนอนของเขา จึงเก็บรองเท้าเข้าตู้ไปก่อน แล้วหันไปหยิบด้ายไหมออกมาถักพู่ห้อยแทน
เส้นด้ายแต่ละเส้นอยู่ในมือนางราวกับมีชีวิตชีวา นางมองดูพู่ห้อยค่อยๆ เป็รูปเป็ร่างขึ้นในมือ มุมปากแย้มยิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับเจือความขมขื่นอยู่บ้าง
บางทีอาจเป็นางที่เรียกร้องมากเกินไปกระมัง นางคิดในใจ เขาไม่เคยดุด่าทุบตี ไม่เคยปล่อยให้นางอดอยากเื่ปากท้อง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังยอมควักเงินซื้อผ้าให้นางตัดเสื้อผ้า แอบซื้อปิ่นปักผมเงินให้นาง หรือแม้แต่มีของอร่อยอะไร ก็มักจะแบ่งให้นางก่อนเสมอ อย่างเวลากินปลา เขาก็จะคอยเลือกเนื้อส่วนท้องที่ก้างน้อยให้นาง
ตามเหตุผลแล้ว ได้แต่งงานกับคนดีเช่นนี้ นางควรจะพอใจมากแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ความเ็าของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา กลับทำให้หัวใจนางรู้สึกโหวงๆ ไปส่วนหนึ่ง คล้ายมีลมหนาวพัดแทรกเข้ามา ทำให้นางเจ็บแปลบๆ แต่ก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกนั้นออกมาเป็คำพูดได้
นางรู้สึกว่า ของทั้งหมดนั้น นางไม่้าเลยก็ได้ ขอเพียงเขาพูดคุยกับนางดีๆ เหมือนแต่ก่อน นางก็พอใจแล้ว
ไม่รู้ว่าคืนนี้เป็เพราะเหตุใด ลมข้างนอกถึงพัดแรงหวีดหวิว อันซิ่วเอ๋อร์วางงานในมือลง เพิ่งจะเดินไปเปิดประตู ลมก็กระโชกแรงเข้ามาจนนางแทบเซถลา
หรือว่าฝนกำลังจะตก?
อันซิ่วเอ๋อร์คิดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า มืดสนิท มีเพียงขอบฟ้าที่เห็นแสงแปลบปลาบอยู่ไกลๆ ว่ากันว่าเป็แสงจากพญาัที่กำลังเคลื่อนเมฆบันดาลฝน
ลมหนาวที่พัดมาปะทะ ทำเอาความง่วงงุนเพียงน้อยนิดของนาง ปลิวหายไปจนหมดสิ้น นางกำลังจะหันหลังกลับเข้าห้อง ก็พลันได้ยินเสียงดัง “ตุ้บ!” พออาศัยแสงฟ้าแลบมองดู ก็เห็นว่าเป็หินก้อนหนึ่งที่ใช้วางทับหลังคาถูกลมพัดตกลงมา
อันซิ่วเอ๋อร์เริ่มกังวล นางกลัวว่าหากลมแรงกว่านี้อีก จะพัดเอาหญ้าคาบนหลังคาปลิวหายไปหมดหรือไม่ นางได้แต่หวังว่าคืนนี้ฝนจะไม่ตก พรุ่งนี้จะได้กลับบ้านเดิมไปตามพี่รองมาช่วยซ่อมหลังคาสักหน่อย หากคืนนี้ฝนตกขึ้นมา หลังคาคงได้รั่วแน่ๆ
น่าเสียดายที่์ไม่เป็ใจนัก เพียงครู่ต่อมา ฟ้าก็แลบแปลบปลาบ ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนครั่น จากนั้นเม็ดฝนก็ราวกับเมล็ดถั่ว โปรยปรายสาดซัดลงมาเปาะแปะ
อันซิ่วเอ๋อร์รีบปิดประตูให้แน่น ข้างหูได้ยินเสียงฟ้าร้องดังติดต่อกันไม่ขาดสาย ฟ้าที่แลบแปลบปลาบนอกหน้าต่างนั้น ดูน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วปีนขึ้นเตียง ขยับตัวเข้าไปเบียดนอนใกล้ๆ จางเจิ้นอัน แต่เสียงฟ้าร้องนั้นกลับดังราวกับเสียงกลองยมทูต กระหน่ำอยู่ข้างหูไม่หยุด ทำเอาหัวใจนางเต้นระรัว
นางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงปิดหู แต่เสียงนั้นก็ยังดังชัดเจน ก้มหน้าซุกอยู่ใต้ผ้าห่มครู่หนึ่งก็ชักหายใจไม่ออก พอเปิดผ้าห่มออกเท่านั้น หยดน้ำเย็นๆ หยดหนึ่งก็หล่นแปะลงบนหน้าผากนาง นางสะดุ้งใ พอหยดที่สองหยดลงบนศีรษะตามมา นางก็รีบเขย่าตัวชายหนุ่มข้างกายทันที “จางเจิ้นอัน! หลังคารั่วแล้ว!”
ปกติเขาก็นอนหลับตื่นง่ายอยู่แล้ว พอถูกนางเขย่าก็ลืมตาขึ้นทันที เอียงหน้ามองอันซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังประคองสองมือไว้ เขาเอื้อมมือไปแตะดู ก็พบว่าในฝ่ามือนางมีน้ำขังอยู่เป็แอ่งเล็กๆ แล้ว
“เ้ารอก่อน ข้าจะไปเอากะละมังมา” จางเจิ้นอันลุกพรวดจากเตียง คว้าเสื้อคลุมมาสวมลวกๆ แล้วรีบออกไป อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงประคองมือรอในท่าเดิม แต่ฝนกลับยิ่งตกหนักขึ้น น้ำฝนไหลทะลักลงมาจากรูเล็กๆ บนหลังคา เซาะรูนั้นให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้กลายเป็สายน้ำที่ไหลโจ๊กลงมา
จางเจิ้นอันรีบร้อนยกอ่างไม้กลับมา พอวางอ่างลงใต้มืออันซิ่วเอ๋อร์ นางจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก ผ่อนมือออก น้ำฝนรีบหยดลงในอ่างไม้ เกิดเสียงดังติ๋งๆ ติดต่อกันอย่างรวดเร็ว
อันซิ่วเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน คลำหาเหล็กไฟมาจุดเทียนไข แล้วกล่าวว่า “ดูหน่อยเถอะ ว่าตรงอื่นในบ้านรั่วอีกไหม”
ทั้งสองคนถือเทียนเดินสำรวจไปทั่วบ้าน พบว่านอกจากตรงเตียงนอนแล้ว บริเวณที่วางหีบไม้สองใบก็เริ่มมีน้ำหยดลงมาเช่นกัน
จางเจิ้นอันต้องเดินไปที่ครัวอีกครั้ง เพื่อนำกะละมังใบสุดท้ายออกมา แต่เพิ่งจะวางรองน้ำฝนตรงจุดนี้ได้ไม่ทันไร อีกมุมหนึ่งก็เริ่มรั่วเพิ่มขึ้นมาอีก
เขาจึงต้องไปขนเอาทั้งอ่างไม้และถังทั้งหมดที่มีอยู่ในครัวออกมา วางรองตามจุดที่รั่ว ในที่สุดก็พอจะหาภาชนะมาวางรองตามจุดรั่วในห้องนอนได้จนครบ แต่เพราะห้องนี้เดิมทีก็ไม่ใหญ่นัก พอมีทั้งอ่างทั้งถังวางอยู่เต็มไปหมด ทั้งบนเตียง บนหีบ บนตู้ และบนพื้น ทั้งสองคนจึงแทบหาที่แห้งๆ นั่งไม่ได้เลย
“เสื้อผ้าท่านเปียกหมดแล้ว ไปเปลี่ยนเสียเถอะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวขึ้นเรียบๆ
จางเจิ้นอันใช้มือลูบน้ำบนใบหน้า ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง หลังคารั่วกลางดึกเช่นนี้ รบกวนการนอนหลับพักผ่อนจริงๆ เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับ อันซิ่วเอ๋อร์จึงลุกขึ้นไปค้นเสื้อผ้าสะอาดจากในตู้ หยิบออกมาให้เขาเงียบๆ
“นี่เ้าค่ะ ไปเปลี่ยนเสีย จะได้ไม่เป็หวัด” นางยื่นเสื้อผ้าให้เขาโดยไม่สบตา
มือของจางเจิ้นอันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับเสื้อผ้ามา เขามองไปรอบห้องที่รั่วไปทั่วทุกแห่งหน กลับไม่มีมุมไหนพอให้ยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลย
เขาลูบจมูกแก้เก้อ ถือเสื้อผ้าเดินออกไป น้ำฝนที่เปียกตัวทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว เขาจึงถือโอกาสไปอาบน้ำเย็นในครัวเสียเลย แล้วจึงเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าแห้งสะอาดเดินกลับเข้ามา
เพราะทั้งคืนแทบไม่ได้นอน พอเื่วุ่นวายสงบลง อันซิ่วเอ๋อร์ก็นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ แต่เนื่องจากไม่มีที่ให้เท้าแขน นางจึงได้แต่ฝืนนั่งตัวตรง ศีรษะผงกขึ้นลงเป็จังหวะ
จางเจิ้นอันเห็นท่าทางนางเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันระคนสงสาร จากนั้นความรู้สึกผิดก็ยิ่งถาโถมเข้ามาในใจ เขาเคยคิดว่าแค่มีกระท่อมสองหลังพอซุกหัวนอนได้ก็พอแล้ว แต่เงื่อนไขสำคัญคือบ้านนั้นต้อง ‘อยู่ได้’ จริงๆ
วันปกติที่ฝนตกปรอยๆ ก็ยังพอทน หลายวันก่อนหน้านี้อากาศก็แจ่มใส ยิ่งมองไม่เห็นปัญหาอะไร แต่พอเจอฝนตกหนักกะทันหันเข้าวันนี้ ข้อบกพร่องของบ้านหลังนี้ก็เผยออกมาจนหมด
นางพูดถูก เขาควรจะเก็บเงินซ่อมแซมบ้านเสียหน่อยจริงๆ
เขาย้ายเก้าอี้มานั่งข้างๆ อันซิ่วเอ๋อร์ เห็นนางง่วงจนทนไม่ไหว ก็นึกสงสาร จึงขยับเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วค่อยๆ ประคองศีรษะนางให้เอนมาพิงบนไหล่เขา ให้นางได้มีที่พิงสักหน่อย จะได้ไม่เมื่อยคอจนเกินไป
เดิมทีเขาแค่คิดจะให้นางได้เอนพักศีรษะ ทว่าไม่ทันไร ร่างน้อยๆ ก็ขยับเข้ามาแนบอก กอดเอวเขาไว้แน่นอย่างเงียบงัน ทั้งยังยกแขนขึ้นกอดเอวเขาไว้แน่น
พายุฝนด้านนอกยังคงกระหน่ำ จางเจิ้นอันอยากให้นางหลับสบายขึ้นอีกนิด จึงเอื้อมมือไปโอบประคองศีรษะนางไว้ แล้วใช้ฝ่ามือปิดหูซ้ายของนางเบาๆ
ข้าไม่ได้ใจดีกับเ้าหรอกนะ อย่ามาซาบซึ้งไปเรื่อย ถือซะว่าเป็สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนที่เ้าทำอาหารให้ข้ากินทุกวันก็แล้วกัน จางเจิ้นอันพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
ซึ่งอันซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว นางง่วงเกินไปจนหลับลึกไปแล้ว ทว่ายังหลับไปได้ไม่นานเท่าไร ก็ถูกเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีก นางสะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่ง หรี่ตามองไปรอบๆ เห็นฟ้ายังไม่สางดี จึงเอ่ยถามขึ้น “นี่มันยามใดแล้วเ้าคะ?”
“ไม่รู้สิ” จางเจิ้นอันส่ายหน้า ในชนบทเช่นนี้ไม่มีใครคอยบอกเวลา แต่เมื่อเห็นว่าข้างนอกยังมืดสนิท เขาก็พูดเสียงเบา “ฟ้ายังไม่สางหรอก เ้าหลับต่ออีกหน่อยเถอะ”
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า เมื่อครู่นี้นางง่วงจัดจริงๆ แต่พอตื่นขึ้นมาแล้ว จะให้นั่งหลับต่อแบบนี้อีก นางกลับหลับไม่ลงเสียแล้ว จึงหยิบด้ายไหมจากในหีบออกมานั่งถักต่อ
จางเจิ้นอันนั่งมองนางถักพู่ห้อยอยู่ข้างๆ รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เขาลองนั่งสัปหงกบนเก้าอี้ดูบ้าง แต่ก็นอนหลับลึกได้ยาก คิดไปคิดมา เขาก็กระซิบข้างหูนางเบาๆ คำหนึ่ง “ขอโทษนะ”
“ขอโทษเื่อันใดหรือเ้าคะ?” แม้เสียงเขาจะเบามาก แต่อันซิ่วเอ๋อร์กลับได้ยินชัดเจน
“ก่อนหน้านี้ ข้าควรจะฟังเ้า ซ่อมแซมบ้านช่องเสียหน่อย ปล่อยให้ตอนนี้เ้าไม่มีที่นอนหลับสบายๆ เป็ข้าผิดเอง”
“เหอะ...” พอได้ยินเขาเอ่ยขอโทษอย่างจริงจัง อันซิ่วเอ๋อร์กลับแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “อย่างไรเสียท่านก็เป็หัวหน้าครอบครัว ท่านว่าอย่างไรย่อมเป็อย่างนั้น ผู้หญิงเราก็เป็แค่ส่วนประกอบ แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับหมาก็ตามหมา”
