ลู่หยวนซีบิดี้เีเล็กน้อยก่อนปิดปากหาวเบาๆ นางเหลือบตามองไปยังร่างผอมที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาหลับไปแล้วนางก็เป่าตะเกียงให้ดับก่อนปีนขึ้นเตียงข้ามไปนอนอีกฝั่ง จากนั้นจึงห่มผ้าแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้นางทำความสะอาดเรือนหลังนี้ทั้งวันจึงทำให้รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
หลังจากที่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนางดังขึ้นแ่เบา กู้จิ่งเหยียนที่ลู่หยวนซีเข้าใจว่าหลับไปนานแล้วก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะหันหน้าไปทางหญิงสาวที่นอนเคียงข้างตน เขาแน่ใจว่าสตรีนางนี้จะต้องมิใช่สาวใช้คนนั้นที่เคยอาศัยอยู่ที่เรือนหลังนี้กับเขามาสองปี แต่เหตุใดเล่าน้ำเสียงของนางถึงได้เหมือนกันทุกอย่าง แตกต่างเพียงกิริยาท่าทาง เสียงก้าวเดินที่มั่นคง และรสชาติการทำอาหาร ยังมีนิสัยที่แปลกประหลาดของนางเพิ่มเข้ามาอีก สรุปแล้วนางเป็ใครกันแน่
แน่นอนว่าสาวใช้คนก่อนหน้า เป็สตรีที่ทั้งร้ายกาจและเกียจคร้าน นางี้เีแม้แต่จะอาบน้ำให้ตนเอง เวลาเดินเข้ามาภายในห้องของเขากลิ่นกายของนางนั้นทำให้เขาแทบอยากจะอาเจียนออกมา
แต่สตรีนางนี้กลับแตกต่างออกไป นางอาบน้ำให้เขา นางทำความสะอาดเรือน กลิ่นเหม็นหืนที่เคยได้กลิ่นจากตัวนางเวลานี้หายไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนนอนนิ่งๆ คิดหลายเื่อยู่ภายในหัว แต่แล้วแขนและขาของสตรีที่นอนข้างกายก็พาดมาที่หน้าอกอย่างพอดิบพอดี ก่อนนางจะกอดกระชับเข้าหาตนเอง กู้จิ่งเหยียนโมโหจนอยากจะสังหารนางทิ้งเสียตอนนี้ แต่เสียงพึมพำที่ดังออกมาจากปากของนางทำให้เขาจำต้องหยุดชะงักไป
“ไอ้สารเลวหลินห่าวหยาง!! ไอ้คนเฮงซวย!! นายกล้านอกใจฉันอย่างนั้นหรือ วันนี้ฉันจะประจานพวกเธอสองคนให้คนทั้งมหาวิทยาลัยได้รู้ ว่าพวกเธอมันแย่แค่ไหน มู่หยุนถิงเธอเป็เพื่อนสนิทของฉันมาตั้งสี่ปี เธอกล้าหักหลังแอบคบกับแฟนของฉันได้ยังไง พวกเธอทั้งสองคนมันแย่ยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนเสียอีก”
จากนั้นลู่หยวนซียังละเมอด่าออกมาอีกหลายคำ กู้จิ่งเหยียนใช้มือผอมบางของตนคลำไปยังที่มาของเสียง ทำให้ััได้ว่าหัวคิ้วทั้งสองข้างของนางขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าด้านข้างเวลานี้เปียกชื้นไปด้วยคราบน้ำตา แม้กู้จิ่งเหยียนจะมองไม่เห็น แต่เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเป็ระยะของนาง ทำให้เขารู้ว่านางกำลังร้องไห้เสียใจอย่างหนัก
สตรีบ้าผู้นี้กำลังละเมอพูดถึงใครกัน เหตุใดถึงได้ดูโมโหมากมายเช่นนั้น แล้วยังภาษาที่นางพูดอีกช่างฟังแล้วรู้สึกแปลกหูยิ่งนัก แม้จะไม่เหมือนภาษาแคว้นจ้าวแต่ก็สามารถฟังรู้เื่ได้ มีเพียงแค่บางคำที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กู้จิ่งเหยียนนอนฟังเสียงละเมอของลู่หยวนซีจนตัวเขาเผลอหลับไปั้แ่เมื่อใดไม่รู้ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งร่างที่เคยนอนอยู่ข้างกายก็ไม่อยู่แล้ว แต่เสียงฝีเท้าด้านนอกทำให้เขารู้ว่านางกำลังเดินตรงมาทางนี้
“คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือเ้าคะ ข้ายกน้ำอุ่นมาให้ท่านล้างหน้า มาเถอะข้าช่วยเอง”
ลู่หยวนซีพยุงร่างผอมของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนหยิบผ้าขาวชุบน้ำอุ่นบิดจนหมาดวางเอาไว้ในมือของชายหนุ่ม เขาทำตามที่นางบอกอย่างเงียบๆ มิได้แสดงอาการต่อต้านอย่างเมื่อวาน
“เช้านี้มีโจ๊กใส่ไข่ ล้างหน้าเสร็จ ท่านทานอะไรรองท้องสักหน่อย ข้าจะเข้าเมืองไปดูเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ท่านพร้อมทั้งเครื่องนอนด้วย”
ลู่หยวนซีมิได้บอกเขาว่าชุดที่เขาใส่อยู่นั้นเป็ชุดของนาง เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกชายหนุ่มฆ่าปิดปากหลังจากที่เขาหายดี กู้จิ่งเหยียนยังคงนั่งเฉยฟังสิ่งที่นางพูดโดยมิได้ตอบโต้กลับไป นางเห็นว่าวันนี้เขามีท่าทีเป็มิตรมากกว่าเมื่อวานนางก็รู้สึกดีไม่น้อย
หลังจากที่วางชามโจ๊กที่ยังอุ่นลงในมือของเขานางก็ผละจากไป เมื่อเสียงฝีเท้าที่ดังห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินแล้ว กู้จิ่งเหยียนจึงหันมาทานโจ๊กที่อยู่ในมือ รสชาติของวันนี้ต่างจากโจ๊กชามเมื่อวานเล็กน้อย แต่ก็อร่อยอย่างที่นางเคยคุยโวก่อนหน้านี้
หลังจากทานโจ๊กเข้าไปจนหมด กู้จิ่งเหยียนก็รู้สึกว่าตนเอง้าจะเข้าห้องน้ำ แต่เวลานี้เขาอยู่ที่เรือนหลังนี้เพียงลำพังแล้วใครเล่าจะมาช่วย ร่างผอมแห้งพยายามใช้แขนพยุงตนเองลงมาจากเตียง แต่ด้วยความที่ดวงตามองไม่เห็น ทำให้เขาตกลงมาจากเตียงเหมือนเมื่อวานอีกครั้ง
ร่างผอมพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถไม่ให้ตนเองปลดปล่อยสิ่งปฏิกูลภายในห้องนี้ เพราะเขายังคงจำได้ดีว่านางเคยพูดว่าห้องนี้เป็ห้องของนาง เขาจะไม่มีวันทำให้ตนเองต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าสตรีผู้นั้นเป็อันขาด
แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็ไปอย่างที่เขาคิด ร่างกายที่เจ็บป่วยมานาน ไม่สามารถอดทนต่อความ้าปลดปล่อยที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกายได้ กลิ่นเหม็นเน่าสายหนึ่งก็ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง เวลานี้กู้จิ่งเหยียนโมโหตนเองจนอยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอดเพราะความอับอาย
มือผอมแห้งทุบลงไปบนพื้นด้วยความโมโหหลายครั้นจนแดงช้ำ กู้จิ่งเหยียนคิดว่าสองปีมานี้ตนเองได้ปล่อยวางทุกอย่างลงได้แล้ว ทุกวันนี้เพียงมีชีวิตอยู่เช่นนี้เพื่อรอความตายก็เท่านั้น แต่เหตุใด์ถึงไม่ยอมปล่อยให้เขาตายไปเสียที เหตุใดถึงได้ทรมานเขาเช่นนี้อยู่ร่ำไป เขาทำสิ่งใดผิดมากมายนักหรือ
น้ำตาที่เคยคิดว่าแห้งเหือดไปแล้ว เมื่อยามที่เขารู้ว่าตนเองถูกบิดาแท้ๆ ขับไล่ให้มาอยู่ในหมู่บ้านทุรกันดารอันห่างไกล มันได้ไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากซีดขาวเม้มแน่นด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ตนเองก็เป็สายเืที่เขาให้กำเนิด แต่แล้วเหตุใดบิดาของเขาถึงได้ทอดทิ้งในยามที่เขาเจ็บป่วย เพราะเขาเป็บุตรที่เกิดจากอนุอย่างนั้นหรือ ์ช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเสียเลย กู้จิ่งเหยียนที่รู้สึกสิ้นหวังต่อโชคชะตาของตนเองก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้
หากเขาตายไปซะ ความเ็ปทุกอย่างก็คงจะยุติลงเช่นกันใช่หรือไม่ สิ้นความคิดของตนร่างผอมแห้งก็คลำสะเปะสะปะไปทั่ว เพื่อหาสิ่งของบางอย่างที่สามารถปลิดชีพตนเองได้ เขาไม่้ามีชีวิตอยู่เช่นนี้อีกต่อไปแล้ว หากต้องมากลายเป็คนพิกลพิการไปตลอดชีวิต เขายอมตายเสียดีกว่า
เสียง เพล้ง!! ดังสนั่นขึ้นภายในห้อง ชามโจ๊กที่เคยวางอยู่บนโต๊ะเวลานี้ตกลงมาแตกกระจายเกลื่อนพื้น กู้จิ่งเหยียนคลำหาเศษชิ้นส่วนที่แตกออกของชามกระเบื้องไปมาบนพื้น ทำให้มือทั้งสองข้างถูกบาดจนเือาบ
กู้จิ่งเหยียนหยิบเศษชามที่เหมาะมือขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะกรีดมันลงไปที่ข้อมือของตนอย่างไม่ลังเล เืสีดำคล้ำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากาแ ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ จากนั้นกู้จิ่งเหยียนก็ทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนพื้น ดวงตาสีม่วงเหม่อลอยราวกับจิตหลุดออกจากร่าง เวลานี้เขาไม่้าคิดถึงเื่ใดอีก เพียงนอนรอให้ความตายมาเยือนซึ่งเป็เื่ของเวลาเท่านั้น
ลู่หยวนซีที่เดินลงมาจากเนินเขามุ่งตรงไปทางด้านหน้าหมู่บ้าน เพื่อโดยสารเกวียนวัวไปยังตัวอำเภอ แต่ก่อนที่นางจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเกวียนวัว นางก็จำต้องหยุดชะงักลงเมื่อเสียงของระบบดังขึ้นภายในหัวอย่างร้อนรน
“ลู่หยวนซีรีบกลับบ้านเร็ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะตาย”
สิ้นเสียงของระบบ เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าก็เบี่ยงทิศทางหมุนกลับไปยังเรือนหลังน้อยที่อยู่บนเนินเขาทันที
“บ้าจริง!! กู้จิ่งเหยียนเ้าอย่าพึ่งตายนะ ข้ายังต้องพึ่งเ้าอยู่”
ฝีเท้าที่รวดเร็วของนาง พุ่งขึ้นไปบนเนินเขาราวกับดาวหางบนท้องฟ้า ลู่หยวนซีถีบประตูเรือนเสียงดังโครม ก่อนวิ่งตรงไปยังห้องนอนที่มีร่างผอมแห้งของกู้จิ่งเหยียนนอนหมดสติอยู่
ก่อนจะเห็นเืสีดำคล้ำเจิ่งนอนไปทั่วพื้นเรือน นางไม่ใช่หมอไม่เคยปฐมพยาบาลให้ใครมาก่อน แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าทำให้ลู่หยวนซีแทบประคองสติตนเองไม่ได้ เขาเกิดบ้าคลุ้มคลั่งอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าเมื่อเช้าอาการยังดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ
“ลู่หยวนซี เลิกมองดูแล้วช่วยเขาซะที เธอคงไม่อยากตายตามกู้จิ่งเหยียนไปอีกคนหรอกใช่ไหม”
เสียงดุดันของระบบดังขึ้นภายในหัวของนาง เ้าบ้านี่กล้าขู่ข้าอย่างนั้นหรือ ใครขอให้ส่งข้ามาที่นี่กันเล่าเก่งจริงทำไมไม่มาทำเอง ลู่หยวนซีแอบบ่นในใจทั้งที่รู้ว่าเ้าระบบจะต้องได้ยินแน่ แต่นางก็ไม่ได้สนใจ
“แล้วจะต้องทำยังไง คุณก็รู้ว่าฉันไม่ใช่หมอ ไม่รู้วิธีช่วยชีวิตคน”
ระบบเองก็พึ่งนึกขึ้นได้ ว่าเขายังไม่ได้สอนวิธีใช้ระบบรักษาให้ลู่หยวนซีเลย
“พูดตามผมนะ เปิดระบบรักษา”
“เปิดระบบรักษา”
ฟังก์ชันมากมายโผล่ขึ้นมาตรงหน้าเธอ
“เลือกฟังก์ชันาแ จากนั้นกดปุ่มลงไป ระบบจะทำงานของมันเองอัตโนมัติ คุณไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เพ่งสมาธิไปยังาแตรงหน้าเท่านั้น ทุกอย่างจะถูกวินิจฉัยด้วยระบบรักษาอัจฉริยะ”
ลู่หยวนซีทำตามคำสั่งในหัวอย่างเร่งรีบ ไม่นานาแที่ข้อมือของกู้จิ่งเหยียนก็ค่อยๆ สมานเข้าหากันอย่างน่าอัศจรรย์ ลู่หยวนซีมองดูภาพตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง แต่าแที่ข้อมือของเขาก็กินพลังกายของนางไปไม่น้อย เหงื่อเม็ดโตได้ผุดขึ้นตามกรอบหน้าและแผ่นหลังของนางจนเปียกชุ่ม เสียงหอบหายใจของลู่หยวนซีดังชัดขึ้นเรื่อยๆ นางยกมือขึ้นปาดเหงื่อของตนก่อนจะเอ่ยพึมพำเสียงเบา
“นี่ถ้ามีระบบรักษาที่ไฮเทคขนาดนี้ บางทีโอกาสรอดตายจากอุบัติเหตุร้ายแรงของมนุษย์โลกคงเพิ่มขึ้นไปมากโขเลยนะ นายคิดเหมือนฉันไหม”
ลู่หยวนซีพูดกับระบบก่อนล้มตัวลงนั่งด้านข้างอย่างหมดแรง แผลเล็กแค่นี้แต่เล่นเอานางเกือบเป็ลมแน่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะใช้งานเ้าระบบรักษานี่
“คงจะไม่ได้หรอก โปรแกรมระบบรักษาชุดนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง ดูจากอาการของคุณตอนนี้ก็น่าจะรู้ อีกอย่างผมเคยบอกคุณไปแล้วว่าโลกของคุณนั้นยังล้าหลังอยู่มาก ทั้งเทคโนโลยีและด้านจิตใจ หากได้บางสิ่งที่มีค่ามากเกินไป นอกจากจะฆ่ากันเพื่อชิงมาเป็ของตัวเองแล้ว พวกคุณก็มีเพียงใช้มันหาผลประโยชน์จากคนอื่นเท่านั้น นั่นเป็ความจริงของโลกที่คุณเคยอยู่”
ลู่หยวนซีไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ระบบเอ่ยกับนางนั้นล้วนแต่เป็ความจริง วันนี้คิดจะเข้าเมืองไปซื้อของเห็นทีคงต้องหยุดเอาไว้ก่อน รอให้เขาฟื้นขึ้นมาเื่นี้คงต้องคุยกันยาว ไม่อย่างนั้นถ้ายังปล่อยให้ผู้ชายคนนี้มีความรู้สึกในด้านลบ อีกไม่นานเขาคงจะฆ่าตัวตายอีกครั้งแน่
ลู่หยวนซีอาศัยจังหวะที่กู้จิ่งเหยียนยังคงหมดสติอยู่ หลังจากนั่งพักจนมีกำลังกลับคืนมา นางจึงทำความสะอาดร่างกายให้กับเขาก่อนพากลับขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้ง
ดวงตาที่เคยปิดสนิทค่อยๆ ขยับไปมาเล็กน้อยก่อนจะเปิดขึ้นช้าๆ กลิ่นหอมสายหนึ่งโชยเข้ามาในจมูกกู้จิ่งเหยียนที่พึ่งได้สติกลับมากำลังคิดว่าตนเองตายไปแล้วหรือยัง แต่เมื่อเสียงของลู่หยวนซีดังขึ้นข้างหูเขาก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้วหรือเ้าคะ”
ลู่หยวนซีรีบเข้าไปดูอาการของกู้จิ่งเยียนทันที แต่เขากลับยังคงนอนนิ่งไม่ยอมเอ่ยปากออกมาเช่นเคย ร่างบางได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ จากนั้นจึงเอ่ยความคิดในใจของตนกับเขา
“คุณชาย ท่านคิดทำอะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้ทำร้ายตนเองเช่นนั้นเ้าคะ หรือท่านคิดว่าชีวิตของตนไร้ค่าจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
ลู่หยวนซีหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่นางก็เห็นว่าหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ร่างบางเอ่ยกับเขาอย่างใจเย็น เพราะคิดว่าเขาเองก็คงมีเื่บางอย่างที่ไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้
“ถึงแม้ท่านจะไม่เห็นค่าของชีวิตตน แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้ามิได้คิดเช่นนั้น คุณชายข้าบังอาจขอร้องท่านสักเื่ได้หรือไม่ ไม่ว่าท่านจะประสบกับเื่ที่หนักหนาเพียงใด ขอให้ท่านอย่าได้ทำร้ายตนเองเช่นนี้อีก ต่อให้ท่านโมโห ท่านโกรธแค้น หรือไม่พอใจสิ่งใด ขอให้มาลงที่ข้า ถึงแม้ข้าจะเป็เพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อย แต่เื่ทุกอย่างของท่าน ขอให้ข้าเป็คนแบกรับเอาไว้เองได้หรือไม่”
ลู่หยวนซีจับมือผอมแห้งที่ขาวซีดของกู้จิ่งเหยียนมากุมเอาไว้ จากนั้นจึงตบลงไปเบาๆ เพื่อให้กำลังใจแก่เขา นางไม่รู้ว่าคำพูดของนางจะซึมลึกเข้าไปในจิตใจของเขาได้หรือไม่ หรือต่อให้เขาตั้งกำแพงกับนางสูงเสียดฟ้านางก็ไม่สน
ขอเพียงเขาไม่ทำร้ายตนเองในยามที่นางไม่อยู่เท่านั้นเป็พอ เพราะถ้าเขาตายตัวนางเองก็คงไม่สามารถกลับไปยังโลกเดิมของตนได้ แล้วสัญญาที่นางเคยให้ไว้กับผอ.ฟางว่าจะสร้างบ้านเด็กกำพร้าฉือชุนขึ้นมาใหม่ คงจะกลายเป็เพียงแค่ลมปากเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้