ลูกตาดำขลับของหลัวจิ่งมองไปที่นางแวบหนึ่ง คิดเล็กน้อย เขาเคยทานลูกชิ้นเนื้อบดทอด แล้วยังมีขนมหวานนั่วหมี่ถวน [1] ทอดน้ำมัน แต่ลูกชิ้นที่ทำจากเนื้อปลายังไม่เคยทานเลยจริงๆ เขาจึงส่ายหน้า “ไม่เคย”
เมื่อได้รับคำตอบที่้า เจินจูก็เม้มปากยิ้ม หยัดกายยืนขึ้น “เ้าพักเถิด อีกครู่ข้าจะให้ท่านพ่อเข้ามา” กล่าวจบหมุนกายเดินอย่างเชื่องช้าออกไป
หลัวจิ่งสีหน้าหยุดนิ่ง มองไปที่เงาหลังของนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ
เจินจูฮัมเพลงด้วยจิตใจมีความสุข “ข้ายิ้มลำพองใจ แล้วยิ้มลำพองใจ…”
ผิงอันที่กลับเข้ามาในห้องด้วยการะโโลดเต้น นั่งลงบนเตียงอย่างแปลกใจแล้วมองนาง “ท่านพี่ ท่านร้องอันใดกัน เหตุใดประหลาดเยี่ยงนี้?”
“… เอ่อ ไม่มีอะไร แค่ฮัมไปเรื่อย” รีบเก็บสีหน้าให้เป็ปกติ “นั่นน่ะ ผิงอัน เ้าล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เรียบร้อยแล้ว เท้าล้างแล้ว หน้าก็ล้างแล้ว แล้วก็บ้วนปากแล้ว” ผิงอันชี้แจงทีละอันอย่างตรงไปตรงมา
“อื้ม นี่ก็ถูกต้องแล้ว” เจินจูแสร้งพยักหน้าด้วยความเคร่งขรึม แล้วหมุนกายไปจัดการสุขอนามัยส่วนบุคคลของตนเอง
ยามค่ำคืน ตะเกียงน้ำมันดับไปนานมากแล้ว เจินจูเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจของทุกคน หลังแน่ใจว่าสามคนข้างกายล้วนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสนิท จึงหมุนกายพลิกออกจากผ้าห่มอย่างเชื่องช้า นำชุดตัวนอกที่ถอดไว้กลับไปวางใต้ผ้าห่มเบาๆ ค่อยๆ จับดึงมุมผ้าห่มขึ้นอีกครั้ง ให้ผ้าห่มโค้งขึ้นเหมือนคนนอนอยู่ แล้วจึงคิดเคลื่อนเข้าไปในมิติช่องว่าง
กลิ่นหอมล้ำลึกเคลื่อนกระจายอยู่ในมิติช่องว่างเล็กๆ อุณหภูมิกำลังดี ดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคย เจินจูยืดบิดเอวี้เีด้วยความสบาย หญ้าสงบจิตใต้ฝ่าเท้าเติบโตออกมาเป็ชั้นแล้ว สีม่วงจางๆ ไม่เข้มข้นเท่าเมื่อก่อน เจินจูคาดว่า น่าจะเป็เพราะเวลายิ่งนานสีม่วงถึงจะยิ่งเข้มขึ้น ใช้มือวาดผ่านทุ่งหญ้าที่อ่อนนุ่มแต่แข็งแรงเบาๆ ความหอมกรุ่นตลบอบอวลในอากาศโชยมาเข้าจมูกเป็ระยะๆ
เจินจูใช้มือเล่นปัดซ้ายกระเพื่อมขวาอยู่พักหนึ่ง ตนเองปีติยินดีเสียจนหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า” มีเพียงตนเองเข้ามาในมิติช่องว่างที่แสนอิสระนี้ได้ นางถึงสามารถทำตามใจและหัวเราะเสียงดังได้อย่างเต็มที่เช่นนี้
ในนาสมุนไพร ต้นพุทราสูงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ทั้งสี่ต้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ข้าวโพดข้างต้นพุทราโตสูงกว่าคน ล้อมอยู่เต็มที่นา ซังข้าวโพดอวบอ้วนบนก้านข้าวโพดกระจัดกระจายอยู่ในระหว่างที่นานั้น ซังข้าวโพดรวงใหญ่เต็มไปด้วยเมล็ดเล็กๆ สุกได้ที่นานแล้ว แต่สองวันนี้เจินจูล้วนไม่มีเวลาเข้ามาเก็บเลย ข้าวโพดกลับรักษาสภาพสุกงอมไว้ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะหักข้าวโพดออกจากก้าน เจินจูก็ยินดีอย่างมากที่เก็บเกี่ยวผลได้เยอะ ข้าวโพดที่ปลูกในนาสมุนไพรทุกก้านล้วนมีข้าวโพดอยู่สองฝัก หลังเก็บเสร็จทั้งหมด คาดไม่ถึงเลยว่าข้าวโพดจะกองเป็ูเาขนาดย่อมๆ พื้นที่ผืนเล็กแค่นี้ ผลผลิตกลับสูงมาก เจินจูดีใจกับสิ่งที่ไม่คาดคิดนี่นัก นำข้าวโพดเหล่านี้มาเป็เมล็ดพันธุ์ ปีหน้าข้าวโพดของสกุลหูจะต้องเก็บเกี่ยวได้มากอย่างแน่นอน
เจินจูถอนก้านข้าวโพดออก กองไว้ด้านหนึ่ง จำได้ว่ากระต่ายสามารถกินฟางข้าวได้ นำก้านข้าวโพดเก็บเป็เสบียงไว้ได้ เว้นสองสามวันแล้วป้อนให้พวกมันกินสักหนแล้วกัน นี่เป็ผลผลิตมิติช่องว่าง แม้จะเป็แค่ก้านข้าวโพดแต่เป็หญ้าที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ
ครั้งก่อนเก็บเกี่ยวฟักทองเสร็จ ยังเหลือเถาฟักทองที่เขียวเป็มันขลับทิ้งไว้ เจินจูคิดประโยชน์ใช้สอยของมันไม่ออกอยู่ชั่วขณะ จึงกองไว้ข้างกำแพงกระท่อมฟางมาตลอด จนถึงบัดนี้ยังคงเต็มไปด้วยความสดเขียวอยู่
ตอนนี้ เมื่อคิดดูแล้ว ลองเอามาหั่นเลี้ยงหมูได้นี่ ก็น่าจะได้กระมัง เจินจูตัดสินใจลองทำวันพรุ่งนี้ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุดจึงจะดี
กองก้านข้าวโพดไว้ที่มุมกำแพงแล้ว ทันใดนั้น มิติช่องว่างที่แต่เดิมไม่ได้กว้างขวางดูเหมือนจะยิ่งคับแคบขึ้นไปอีก เจินจูบึนปากไม่ชอบใจ มองดูรอบๆ ผืนนาที่ยังไม่เต็ม หนึ่งรอบ มิติช่องว่างนี้เล็กเกินไปแล้ว
ช่วยไม่ได้ คงต้องเอาเถาฟักทองกับก้านข้าวโพดที่พื้นที่เหล่านี้ทั้งหมดไปใช้ก่อน
ในนาสมุนไพรเริ่มว่างเปล่าอีกครั้งเหลือเพียงต้นพุทราสี่ต้นอยู่ตรงหัวมุม ไม่มีเมล็ดพันธุ์อื่นติดมือมา ปล่อยให้ว่างเปล่าไปก่อนเป็การชั่วคราวแล้วกัน เมื่อรดน้ำให้ต้นพุทราแล้ว เจินจูจึงปรากฏกายออกจากมิติช่องว่าง ในค่ำคืนเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของคนในบ้าน นางกลิ้งกลับไปในกองผ้าห่มอย่างระมัดระวัง จมสู่ห้วงนิทราด้วยความสบายใจ
รุ่งเช้าวันที่สอง เจินจูผลักประตูเปิดออก มองไปฉากเบื้องหน้าที่ไกลออกไป ทัศนียภาพผืนหนึ่งย้อมไปด้วยน้ำค้างแข็ง จิตใจของเจินจูสดใสเป็พิเศษ นางใช้ชีวิตอยู่ทางใต้ั้แ่ยังเล็ก ไม่เคยัักับพลังอันยิ่งใหญ่ของหิมะที่ลอยฟ่องอยู่ในอากาศพันลี้เช่นนี้ ซึ่งต่างจากทางตอนเหนือที่อากาศหนาวเย็นพื้นเต็มไปด้วยหิมะ แม้วันนี้หิมะจะตกไม่หนัก แต่เมฆหนาทึบเป็ชั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีเค้าลางจางๆ ว่าหิมะใหญ่กำลังจะมาถึง
เจินจูปล่อยลมหายใจออกเบาๆ มวลอากาศขาวปรากฏให้เห็นสองสามวิ “ฮ่า ฮ่า” นางหัวเราะเล่นกับตนเองขึ้นมา
“ท่านพี่ ท่านขวางประตูทำอันใด?” ผิงอันยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลัง
“… ไม่ได้ทำอันใด” นางหยิกใบหน้าเล็กมีเืฝาดของผิงอันที่เพิ่งตื่นนอน “ปะ ไปดูกระท่อมกระต่ายก่อนเถิด”
จูงมือเล็กที่อบอุ่นของผิงอันขึ้นมาแล้วเดินไปยังลานหลังบ้าน
เมื่อดันประตูกระท่อมกระต่ายเข้าไป กลิ่นเหม็นของมูลกระต่ายตีพรั่งพรูออกมา ทั้งสองคนถอยหลังไปสองสามก้าวโดยพร้อมเพรียง หลังปิดจมูกรอให้กลิ่นกระจายออกไปหน่อยแล้วจึงเดินเข้าไป ัักับอุณหภูมิที่อยู่ในกระท่อมเล็กน้อย “อื้ม อุณหภูมิเช่นนี้พอได้ ตอนเย็นแง้มหน้าต่างออกกว้างหน่อยก็ยังได้ กลิ่นถ่านยังมีอยู่มากนัก
เขี่ยกระถางไฟเล็กน้อย ยังมีเศษเชื้อไฟอยู่ “ผิงอัน ไปเอาปุ้งกี๋ใส่ถ่านมาเติมหน่อย”
ผิงอันตอบรับและจากไป
เจินจูเหลือบมองซ้ายขวาอยู่แวบหนึ่ง หยิบเอาก้านข้าวโพดหนึ่งต้นออกมาจากมิติช่องว่าง ระหว่างนั้นหักเป็สองสามท่อน โยนเข้าไปในกรงกระต่ายไม่กี่อันที่อยู่ใกล้ที่สุด เห็นกระต่ายในกรงพากันวุ่นวายขึ้นมา คล้ายกับพวกมันหิวและโผเข้าหาอาหาร ะโตรงเข้าไปเคี้ยวอย่างบ้าคลั่ง
กระต่ายที่ไม่ได้ก้านข้าวโพดแต่อยู่ใกล้ๆ ก็ะโไม่หยุด กลิ่นพิเศษบางอย่างคละคลุ้งอยู่ในอากาศ กระตุ้นการรับรู้กลิ่นของสัตว์โดยเฉพาะ
เจินจูเห็นสถานการณ์นั้นจึงเอาออกมาอีกสองสามต้น โยนท่อนเล็กๆ ไปทีละอัน เมื่อมองจากเหตุการณ์แย่งชิงอาหารนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่สามารถเลี้ยงกระต่ายด้วยก้านข้าวโพดได้มากนัก หากว่าให้จนกระต่ายฉลาดขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า
หลังจากอาหารเช้าผ่านไปแล้ว คนในครอบครัวล้วนยุ่งอยู่กับการทำงาน หูฉางกุ้ยไปหลังเขาเพื่อขุดเตาเผาดินที่เผาถ่านไว้เมื่อวาน หลี่ซื่อทั้งต้มยาและต้มอาหารเลี้ยงไก่เลี้ยงหมู ผิงอันเคลื่อนไหวมือเท้าไปทำความสะอาดกระท่อมกระต่ายด้วยความกระฉับกระเฉง มีเพียงเจินจูที่ว่างอยู่ ไม่ใช่เพราะเช่นนี้หรอกหรือ นางจึงต้องยกถ้วยโจ๊กเนื้อไปดูแลคนป่วย
เคาะประตูก่อนสองที “ข้าเข้าไปนะ”
ดันประตูห้องเปิดออก กลิ่นเผาถ่านภายในห้องค่อนข้างแรงนัก จึงเปิดประตูให้ลมผ่านได้สะดวกพอดี
“วันนี้รู้สึกดีขึ้นหน่อยหรือไม่?” ใบหน้าของคนบนเตียงยังคงอมเขียวทั้งหน้า แต่อาการบวมเป่งเหมือนว่าจะค่อยๆ หายไปทีละนิดแล้ว
“ดีขึ้นแล้ว” หลัวจิ่งมองเด็กสาวตรงหน้าที่ยังคงสวมเสื้อนวมสีม่วงชุดเดิมอยู่ บนศีรษะหวีเปียสองเส้น ล้วนไม่ได้สวมเครื่องประดับเหมือนเดิม แต่บนใบหน้าขาวละเอียดแววตากลับใสสะอาดสว่างไสว บนมุมปากยกขึ้นโค้งในระดับที่ดูดี ทั้งใบหน้าล้วนแผ่กระจายความสุขุมที่ชัดเจนและมั่นใจ ไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ อยู่เลย ช่างเป็ธรรมชาตินัก
“เหมือนอาการบวมจะลดลงแล้ว” เจินจูมองด้วยสองตาอย่างละเอียด บวมลดลงแล้วจริงๆ
“อื้ม ดีขึ้นได้เร็วนัก” รองหัวสูงให้เขา แล้วเริ่มป้อนโจ๊ก
“เมื่อคืนหิมะตก เ้าหนาวหรือไม่?” เจินจูเหลือบมองไปทางกระถางไฟข้างเตียงแวบหนึ่ง เห็นเพียงขี้เถ้าถ่านบนถาด คิดว่าคงดับไปนานแล้ว “ถ่านนี่ดับแล้ว อีกเดี๋ยวต้องจัดการโหมไฟขึ้นหน่อย ด้านนอกหนาวนัก”
“ไม่หนาว อบอุ่นมาก” หลัวจิ่งไม่้าสร้างความลำบากให้คนอื่น แม้ภายในห้องจะหนาวะเื แต่เขานอนอยู่บนเตียงกลับไม่หนาวนัก
“ฮะ... จะไม่หนาวได้เช่นไร ด้านนอกหนาวจนน้ำค้างแข็ง หิมะใหญ่กำลังจะถึง น้ำในโอ่งเกือบจะเป็น้ำแข็งอยู่แล้ว” ราวกับมองทะลุความเป็กังวลของเขา เจินจูจึงยิ้ม “เ้าอย่ากังวลว่าที่บ้านจะไม่มีถ่านไฟ หมู่บ้านวั้งหลินของพวกข้าสิ่งของอื่นมีไม่มาก จะมีก็เพียงฟืนเท่านั้นที่ไม่ว่าจะใช้อย่างไรก็ใช้มิหมด แม้เผาถ่านจะยุ่งยากหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องเผาอยู่แล้ว เผาหลายครั้งหน่อยก็ได้”
หลัวจิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ยู่เซิงตกยากถึงขั้นนี้เป็พระคุณที่ได้รับความช่วยเหลือ มิกล้ากล่าวพล่อยออกมาว่าจะตอบแทน ขอเพียงไม่เพิ่มความลำบากให้พวกเ้าจนเกินไปนัก”
อาจเพราะคำตอบที่ได้ฟังสุภาพเรียบร้อยเกินไป ทำให้เจินจูใ การกระทำบนมือของนางชะงักลง เมื่อมองไปยังใบหน้าขรึมจริงจังของเด็กชายก็ตะลึงเล็กน้อย พลันดึงสติกลับมาได้ก็ฉีกปากยิ้ม จนปรากฏฟันขาวออกมา รอยยิ้มสว่างไสวอย่างยิ่ง “ยู่เซิง เ้าไม่ต้องคิดมากไป การช่วยเ้า นับว่าเป็เ้ากับครอบครัวข้ามีวาสนาต่อกัน มิต้องคิดกดดันมากนัก”
ทันทีหลังจากนั้นก็ตักโจ๊กขึ้นมาป้อนเขาต่อไป ทันใดนั้นเองก็เปลี่ยนหัวข้อคำถาม “ยู่เซิง เ้ารู้หนังสือหรือไม่?”
หลัวจิ่งที่กำลังกลืนโจ๊กข้าวลงไป ถูกคำถามของนางทำให้สำลักเล็กน้อย อยู่ไม่กี่ทีแล้วจึงตอบ “แค่ก... นิดหน่อย”
“ว้าว เช่นนั้นดียิ่ง” เป็ไปดังคาด นางเดาได้ไม่ผิดนัก เห็นหลัวจิ่งที่มองนางด้วยความงงงวย
เจินจูหัวเราะ ฮิ ฮิ “เ้าสอนให้พวกข้ารู้จักตัวอักษรได้หรือไม่?”
“พวกเ้า?”
“อื้ม มีข้ากับผิงอัน ผิงอันเป็น้องชายข้า เมื่อวานเขายังพูดคุยเล่นกับเ้าอยู่เสียครึ่งวัน คงจำได้กระมัง” เจินจูกล่าวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“…”
เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร เด็กชายที่พูดมากตัวผอมเล็กนั่น นึกถึงเด็กชายเมื่อวาน เดินถือม้านั่งอันเล็กมาทางขอบเตียงของเขาแล้วนั่งลง พูดจาไม่หยุดพัก “พี่สาวข้าให้ข้ามาคุยเล่นกับท่านสักเดี๋ยว” “ท่านถูกผู้ใดตีจนเป็เช่นนี้? เหตุใดท่านไม่ตีตอบกลับไป? …” “ที่นี่คือหมู่บ้านวั้งหลิน บ้านข้าอาศัยอยู่จุดท้ายสุดของหมู่บ้าน ห่างจากเมืองค่อนข้างไกล ข้ามิเคยเข้าเมืองเลย แต่ข้าเคยไปหมู่บ้านต้าวันนะ ที่นั่นคึกคักยิ่งนัก…” “ข้างหลังบ้านข้าเป็ูเาใหญ่ บนเขาช่างสนุกนัก มีกระต่าย มีกระรอก มีงู…”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เพราะเด็กชายกระหายน้ำจึงยกม้านั่งออกไปหาน้ำดื่ม เหลือไว้เพียงหลัวจิ่งที่เส้นดำเต็มไปทั่วใบหน้า
“เ้าดู กล้ามเนื้อาเ็เคลื่อนไหวกระดูกร้อยวัน [3] ขาของเ้าอย่างน้อยที่สุดต้องสามเดือนไปแล้วถึงจะลงจากเตียงได้ สามเดือนนี้ให้เ้าสอนพวกข้าเรียนรู้พวกตัวอักษร ทั้งฆ่าเวลาและหาค่าบริการเล็กๆ น้อยๆ ได้ ค่าจ้างแรงงานของเ้าก็ใช้เป็ค่าอาหารชดเชยคืน เ้าเห็นว่าได้หรือไม่?” เจินจูไม่ได้บังคับให้เขาตอบแทนบุญคุณ แต่หน้าหนาวยาวนาน ล้วนหาเื่ให้ทั้งสองฝ่ายได้มีอะไรทำ การใช้ชีวิตหลบอยู่ในบ้านข้ามหน้าหนาวจึงจะไม่ถึงกับเป็ทุกข์ อีกอย่าง แทนที่จะปล่อยให้เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่กับตนเอง ไม่สู้มาสอนพวกนางให้รู้ตัวอักษรอย่างสุดความสามารถดีกว่าหรือ
“ค่าบริการ?” ดวงตาที่หรี่ครึ่งของหลัวจิ่งประกายความสงสัย
“อา... ก็เป็ค่าตอบแทน ค่าตอบแทนของการสอนหนังสือ เหอ...” เอาถ้วยยาวางไว้ด้านหนึ่ง เจินจูเกาศีรษะ ภาษาในยุคปัจจุบันโผล่ออกมาเป็ครั้งคราว นางเองก็จนปัญญาอย่างมาก
“ข้าสอนพวกเ้าให้รู้ตัวอักษร ไม่จำเป็ต้องตอบแทน” หลัวจิ่งส่ายหน้า ชีวิตของเขาล้วนเป็พวกนางช่วยไว้ ยังจะคิดค่าตอบแทนอะไรได้กัน
“นี่เป็ให้หนึ่งเื่กลับคืนหนึ่งเื่ เ้าสอนพวกข้ารู้ตัวอักษร พวกข้าก็จัดอาหารให้เ้า ไม่ใช่ว่าพอดีหรอกหรือ?” ค่าใช้จ่ายในการสอนส่วนตัวนี่สูงนัก ค่าตอบแทนอาจารย์สามเดือนชดเชยคืนด้วยอาหารสามเดือน นับแล้วพวกนางยังได้กำไรไม่น้อยเลย
“บุญคุณที่ช่วยชีวิตไม่มีอะไรใช่ตอบแทนได้ เื่เล็กน้อยนี่จะนับว่าตอบแทนได้อย่างไร วันหลังยู่เซิงจะตอบแทนเป็เท่าตัว” หลัวจิ่งกล่าวเป็จริงเป็จัง
“…” ช่างเถิด ท่าทางกล่าวไม่เข้าใจ แล้วแต่ว่าเขาจะคิดเช่นไร แต่ที่บ้านล้วนไม่มีพู่กัน แท่งหมึก กระดาษหรือที่ฝนหมึกสักอย่าง สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็สินค้าอุปโภคบริโภคระดับสูงในยุคโบราณ สำหรับนางในตอนนี้ยังซื้อไม่ได้เลยจริงๆ หลุบตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมากลับยิ้มแฉ่ง
เชิงอรรถ
[1] นั่วหมี่ถวน คือ ขนมทานเล่นท้องถิ่นในเขตเจียงหนาน เป็การปั้นข้าวเหนียวให้เป็แผ่นกลมๆ บางๆ วางไส้ลงไปข้างบน แล้วห่อให้กลม ลักษณะคล้ายขนมโมจิ
[2] กล้ามเนื้อาเ็เคลื่อนไหวกระดูกร้อยวัน หมายถึง การเจ็บป่วยใดๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกร้าว จะไม่สามารถฟื้นตัวได้หากไม่ได้รับการรักษาเป็เวลาร้อยวัน