เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดินโยกเยกเข้าไปในจวนแม่ทัพ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนขอทานข้างถนน จนเกือบถูกยามเฝ้าประตูไล่ตะเพิดออกมา โชคดีที่หลิงหลงมาได้ทันเวลา จึงช่วยคุณหนูใหญ่ที่ไม่ได้เจอมาหลายปีของตระกูลไว้ได้
หลิงหลงมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่น้อมคารวะฮูหยินเยี่ยนและแม่ทัพเยี่ยนอย่างสบายอารมณ์ มุมปากก็อดกระตุกไม่ได้ ฮูหยินเยี่ยนเห็นสภาพที่เหมือนคนบ้านนอกคอกนาของนางแล้วแทบจะเป็ลม แม่ทัพเยี่ยนก็ยังสับสน เขามองใบหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ดูเหมือนกับเยี่ยนอวิ๋นเฟยอย่างกับแกะ ก็ตกตะลึงนิ่งค้างไปเล็กน้อย
“พี่ชายของข้าล่ะ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นเงาของพี่ชายตน ก็หัวเราะอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ปัดโธ่ เป็เ้าบ่าวแล้วอายหรือไง? น้องสาวแท้ๆ กลับมาบ้านจะไม่ออกมาเข้าพบข้าสักหน่อยหรือ?”
“คำว่าเข้าพบใช้แบบนั้นหรือไง?!” ฮูหยินเยี่ยนโมโหจนอยากจะเอาค้อนทุบนางเสียตรงนั้น “เ้าลูกโง่ไม่ใฝ่หาความรู้คนนี้นี่!”
“ใครไม่ใฝ่หาความรู้กัน?!” คำพูดของฮูหยินเยี่ยนทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนึกถึงความหวาดหวั่นที่ถูกครอบงำโดยบัณฑิตร้ายกาจคนนั้น นางตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นทันใด “ข้ายังท่องพันอักษร [1] ได้นะ! ข้าคือผู้เดียวบนเขาหัวซานที่ท่องพันอักษรได้ ท่านอาจารย์ยังชมเชยข้าว่าเก่งเท่าจอหงวน [2] เชียวนะ!”
ฮูหยินเยี่ยนไม่อาจทนฟังต่อ ต้องโทษแม่ทัพเยี่ยนที่ส่งลูกสาวแสนน่ารักบอบบางของนางไปคลุกคลีกับพวกบ้านนอกหยาบคายทั้งวัน เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฮูหยินเยี่ยนก็อดจิกมองแม่ทัพเยี่ยนอย่างดุร้ายไม่ได้ แม่ทัพเยี่ยนหดคอด้วยความใ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตา
“ฮูหยิน...” หลิงหลงส่งสายตาเป็สัญญาณให้ฮูหยินเยี่ยน แล้วไล่คนใช้ออกไป ส่วนตัวนางเองก็ตามออกไปและปิดประตูอย่างเบามือ นางยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะรู้เื่นี้
ท่ามกลางสายตาสงสัยของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ฮูหยินเยี่ยนกระแอมเล็กน้อยอย่างไม่สงบใจ แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ที่ให้เ้าเร่งกลับมาคราวนี้... ก็เพราะว่า... พี่ชายของเ้าเขาหนีงานแต่งไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้เป็ตายอยู่ไหน ไอ้ลูกอกตัญญู คลอดหมูออกมายังดีกว่าคลอดเ้านั่น ข้าบอกแล้วั้แ่แรกว่า %฿#@*...”
“เดี๋ยวก่อน...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยเสียงดังแทรกเสียงบ่นจู้จี้ของฮูหยินเยี่ยนขึ้น “ท่านบอกว่าพี่ชายข้าหนีงานแต่งไปแล้วอย่างนั้นหรือ?!”
ฮูหยินเยี่ยนหลุบตาลงไม่กล้ามองนาง “ใช่ เป็เช่นนั้น...”
“นี่มันเื่ใหญ่มากนะ!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตบโต๊ะแล้วลุกอีกครั้ง บนใบหน้าเล็กอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง “ข้าว่าแล้วเชียว ความสามารถอย่างพี่ชายข้า จะไปแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลเยวี่ยได้อย่างไร! ข้าได้ยินว่าคุณหนูตระกูลเยวี่ยป่วยหนักถึงขนาดต้องกินยาสามวันฝังเข็มสองวัน พี่ชายของนาง ที่ชื่อเยวี่ยเจาหรานอะไรนั่นก็เป็กามโรค &฿#...”
เยี่ยนฮูหยินไม่อาจทนฟังถ้อยคำหยาบคายของนางได้จริงๆ จึงขัดจังหวะอย่างเสียไม่ได้ “ปัญหาก็คือ เื่การแต่งงานครั้งนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วแล้ว ฝ่าาหมายมั่นพระราชทานสมรสด้วยพระองค์เอง ฝ่าฝืนราชโองการเป็อาญาร้ายแรง ต้องโทษตัดหัวทั้งตระกูล!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยังอยู่ในอารมณ์ลิงโลดเหมือนถูกสาดน้ำเย็นใส่ นางตะลึงค้าง นานอยู่ครู่ใหญ่จึงดึงสติกลับมาได้ ทันใดนั้นเหงื่อกาฬเย็นเยียบก็หลั่งไหลออกมาราวห่าฝน เอ่ยอย่างสั่นสะท้าน “ถ้า... ถ้าอย่างนั้นทำไมยังไม่รีบไปจับตัวพี่ชายกลับมาอีกล่ะ? ข้าจะเสียสละเอง เื่สำคัญคือปกป้องชีวิตของทุกคน”
เยี่ยนฮูหยินเห็นนางกำลังหวาดหวั่น จึงถอนหายใจยาว “เ้าก็รู้ความสามารถของพี่เ้า เขาคิดจะหนีใครก็หาไม่เจอ ยิ่งไปกว่านั้นจะปล่อยให้ข่าวว่าเขาหนีงานแต่งแพร่ออกไปได้อย่างไร แค่นี้ยังตายไม่เร็วพออีกงั้นหรือ? จนถึงตอนนี้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น...”
“วิธีอะไร?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบเอ่ย
ฮูหยินเยี่ยนจ้องมองตาของนาง แล้วค่อยๆ เอ่ยอย่างชัดเจน “เ้า มา แต่ง แทน”
“หา?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตกตะลึง ะโโหยงเหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสาวน้อยผู้สง่างามผ่าเผย! จะไปทำเื่เหลวไหลเช่นนั้นได้อย่างไร! ที่แท้เพราะพวกท่านมีความคิดนี้ ถึงได้เรียกข้ากลับมาอย่างเร่งร้อนใจเช่นนี้สินะ!”
ฮูหยินเยี่ยนจ้องมองนางด้วยแววตาเ็า “นี่เป็หนทางเดียว ปีก่อนฝ่าาได้เห็นพี่ชายเ้าแล้ว รู้จักหน้าตาของพี่เ้า ถ้าซี้ซั้วหาใครสักคนมาแล้วความแตก ทั้งตระกูลเยี่ยนได้ถูกฝังพร้อมกันเป็แน่!”
“แต่ แต่มันก็ไม่ได้...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอึกอักเล็กน้อย รู้ดีถึงความร้ายแรงของเื่นี้
ฮูหยินเยี่ยนเอ่ยอย่างราบเรียบ “เมื่อครู่เ้าก็พูดไม่ใช่หรือว่า เสียสละตัวเ้า สำคัญคือปกป้องชีวิตของทุกคน”
“แต่ว่า...”
“เอาตามนี้นี่ล่ะ” ฮูหยินเยี่ยนยืนกรานเด็ดขาด ยากจะคัดค้าน
แม่ทัพเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ กลั้นน้ำตาให้กับลูกสาวผู้อับโชคของตน
---------------------
ฮูหยินเยี่ยนมองลูกสาวที่สวมชุดแดงและกวาน [3] หยก รู้สึกสติพร่าไปชั่วขณะ “นี่... นี่คืออวิ๋นเฟยหรือว่าอวิ๋นหลิ่วกัน...”
หลิงหลงรีบดึงแขนเสื้อของฮูหยินเยี่ยน แล้วเอ่ยเสียงเบา “นายหญิงเบาเสียงหน่อยเ้าค่ะ อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน!”
ทางฝั่งเ้าพิธีร้องขึ้นเสียงดัง “สอง... คำนับพ่อแม่” เห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจูงเยวี่ยเยียนหรานที่บุคลิกท่าทางอ่อนช้อย ทั้งสองผู้สง่างามคำนับลงที่หน้าห้องโถง ฮูหยินเยี่ยนคิดไม่ตกไปพักหนึ่ง ลูกสาวของตนแต่งสะใภ้เข้าบ้าน นี่มันเื่อะไรกัน
“เยวี่ยเยียนหรานคนนี้...” แม่ทัพเยี่ยนค่อยๆ โน้มตัวลง แล้วเอ่ยเสียงเบา “เหตุใดจึงเดินงุ่มง่ามนัก ราวกับคนขาเป๋... จะเป็อุปสรรคกับการคลอดลูกหรือไม่?”
ฮูหยินเยี่ยนกลอกตามองเขาเล็กน้อย คิดในใจ ถึงไม่มีอุปสรรคกับการคลอดลูก นางก็คลอดออกมาไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะมีสิ่งที่ไม่ควรมีขึ้นมา
กระทั่งนั่งที่โต๊ะเหล้ามงคลเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังวิงเวียนอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเพื่อนงี่เง่าของเยี่ยนอวิ๋นเฟยถือไหเหล้าล้อมวงเข้ามาอย่างครื้นเครง นางก็ลืมตัวตนและสถานการณ์ของตนเองไปจนหมดสิ้น ยกไหเหล้าขึ้นริน ทายหมัดดื่มเหล้า นางแทบจะไม่ปฏิเสธเลยสักครั้ง ไม่นาน สมองที่วิงเวียนอยู่แต่เดิมแล้วก็ไม่เหลือสติอีกต่อไป ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกลุ่มคนขี้เมา นางก็ะโขึ้นโต๊ะเหล้า ร้องเพลงเศร้าที่โด่งดังที่สุดบนเขาหัวซาน พลางเริ่มเปลื้องผ้าราวกับงูลอกคราบ
ฮูหยินเยี่ยนที่มาตรวจดูก่อนเพราะความกังวลใจได้เห็นฉากนั้นเข้าพอดี จึงะโเสียงดังขึ้นมาด้วยความใทันที “มานี่เร็วเข้า ยังไม่รีบจับตัวคุณชายใหญ่ลงมาให้ข้าอีก!”
“ฮึดช่า!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นทำท่าวานรทุบอก พลางยิ้มน้ำลายไหลให้กับฮูหยินเยี่ยน ราวกับลิงอกหักเสียสติบนเขาซงซานอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากของฮูหยินเยี่ยนกระตุกยิก ไม่อาจทนมองต่อไปได้ สั่งให้คนรับใช้หิ้วเ้าลูกหมาที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่นี่ไปที่เรือนหอ ก่อนจะจากไปคิดๆ ดูแล้วก็ยังไม่วางใจ จึงคว้าตัวเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหูนาง “เ้าอย่าได้ทำเื่ประหลาดๆ อะไรเข้าล่ะ นั่นคือพี่สะใภ้ของเ้า...”
“พี่สะใภ้อะไร... เอิ๊ก” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเรอเหม็นกลิ่นเหล้าคลุ้ง ยื่นหน้ายิ้มแป้นเข้าไปหน้าฮูหยินเยี่ยน “ข้าแต่งงานแล้ว ข้าแต่ง!”
“เ้าแต่งบ้าบออะไร!” ฮูหยินเยี่ยนโมโห ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเ้าขี้เมาอย่างแรงสองครั้ง หมายจะเรียกสตินาง “ข้าจะบอกเ้า ถ้าเ้ากล้าพูดเหลวไหล เช้าพรุ่งนี้แม่จะเอาเ้าไปทิ้งที่หลังเขาให้หมาในกิน! ได้ยินไหม!”
“อือ—” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขานตอบลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ใช้แขนกระพือปีกเข้าไปในห้องเหมือนผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ และยังไม่วายใช้เท้าปิดประตูด้วย
“เมียจ๋า—” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดินโซซัดโซเซเข้ามา เมื่อเยวี่ยเยียนหรานที่ยังไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าได้ยินเสียงของเขา ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะถอยไปข้างหลังอย่างระวังตัว
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเมามายอย่างหนัก แต่พละกำลังนั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย นางใช้ความคล่องแคล่วดึงข้อมือของเยวี่ยเยียนหรานเข้ามายังอ้อมแขนของตน อีกมือหนึ่งเอื้อมไปจับที่ข้อพับขาของเยวี่ยเยียนหราน และคิดจะอุ้มเยวี่ยเยียนหรานขึ้นมา
แต่ที่น่าแปลกก็คือ เยวี่ยเยียนหรานที่ดูอ้อนแอ้นนั้น กลับมีร่างกายหนั่นแน่นดั่งชายหนุ่มที่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้ตั้งตัว จึงไม่สามารถอุ้มนางขึ้นมาได้ ทำให้ทั้งคู่ล้มลงไปกองกับพื้น ลูกปัดผ้าคลุมหน้าของเยวี่ยเยียนหรานกระจัดกระจายไปบนพื้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่คร่อมทับอยู่บนตัวของนาง อดไม่ได้ที่จะโอดครวญด้วยความเจ็บ
“เ้า... ไม่ ไม่เป็อะไร... หืม?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใช้มือยันตัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เพียงก้มหน้ามองลงไปก็ต้องตกตะลึง ทันใดนั้นนางรู้สึกสร่างเมาไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“จ้าวเยวี่ย!”
“คนป่า!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโมโหขึ้นมา “เ้าเรียกใครว่าคนป่า!”
จ้าวเยวี่ยกระแอมอย่างทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของนาง ก็คิดจะผลักอกของนางให้ลุกขึ้นก่อนค่อยคุยกัน แต่สุดท้ายเมื่อมือััที่หน้าอกของนางมันกลับนุ่มนิ่ม
“?!” จ้าวเยวี่ยตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ทั้งยังบีบมันอีกสองครั้งอย่างไม่รู้ตัว “นี่... นี่ของจริงหรือ?!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอึ้งค้าง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ เข่าของนางชนอยู่ที่หว่างขาของจ้าวเยวี่ยพอดี นางเอ่ยอย่างตกตะลึง “เ้าสิ่งนี้ของเ้าก็ของจริงเหมือนกันหรือ?!”
“!!!”
“???”
ทั้งสองคนร้องลั่นแล้วแยกจากกันอย่างรวดเร็ว แทบอยากจะหลีกหนีให้ไกลจากอีกฝ่ายสัก 10 จั้ง [4] คนหนึ่งกอดหน้าอก ส่วนอีกคนก็กุมหว่างขา ทั้งสองราวกับลิงโง่ตัวใหญ่ที่น่าขำสองตัว
“เ้า เ้าคือเยวี่ยเยียนหราน? เยวี่ยเยียนหรานเป็ผู้ชายเช่นนั้นหรือ? ” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ตระกูลเยวี่ยของพวกเ้าเป็อะไรไปแล้ว ถึงได้ให้ชายแสร้งปลอมเป็หญิง วิปริต!”
จ้าวเยวี่ยเองก็ตอกกลับทันทีอย่างดุเดือด เขาฉลาดและมีสติกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมาก เพียงอึดใจก็เข้าใจสถานะของอีกฝ่ายได้ทันที “เ้าไม่ใช่เยี่ยนอวิ๋นเฟย เ้าคือเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ได้สติกลับมาทันใด “เ้าคือเยวี่ยเจาหรานที่เป็กามโรคนั่น?”
เส้นเืดำบนหน้าผากของเยวี่ยเจาหรานเต้นอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะเขาเอาชนะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้ เขาก็อยากจะบั่นหัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลงมาเสียเดี๋ยวนั้น
ทั้งสองเชือดเฉือนอีกฝ่ายด้วยสายตาอำมหิตอยู่นาน เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เคลื่อนไหวต่อจึงผ่อนกำลังลง แล้วพากันหย่อนก้นนั่งบนพรมปูพื้น
“เฮ้อ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเยวี่ยของพวกเ้า เหตุใดจึงส่งชายฉกรรจ์มาแต่งเป็เมียได้?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วชิงถามขึ้นก่อน
เยวี่ยเจาหรานไม่ตอบ แต่กลับถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะถามตระกูลเยี่ยนของพวกเ้า ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ให้ผู้หญิงมาแต่งงานกับน้องสาวข้า?”
“เ้าพูดก่อนสิ!”
“เ้าไม่พูดข้าก็ไม่พูด”
“เ้าไม่พูดข้าก็ไม่พูดเหมือนกัน”
“งั้นเ้าไม่ต้องพูดก็แล้วกัน”
คำพูดเดียวของเยวี่ยเจาหรานทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสะอึกไปเล็กน้อย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเม้มปาก แล้วจึงเอ่ยขึ้นแก้เก้อ “ข้าพูดก่อนก็ได้ บัณฑิตงี่เง่าอย่างพวกเ้านี่น่ารำคาญ ทั้งพูดจาอ้อมไปอ้อมมา ทั้งทำลับๆ ล่อๆ สตรีหาญอย่างข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเ้าหรอก กลับกันตอนนี้พวกเราสองคนต่างก็เหมือนกันแล้ว ข้าก็จะบอกความจริงกับเ้า เพราะน้องสาวฝาแฝดของเ้าเกิดมาน่าเกลียดเหมือนกับเ้า ทำให้พี่ชายข้ากลัวจนหนีไปแล้ว เขาหนีไปจนไม่เห็นเงาก่อนจะมีราชโองการลงมาเสียอีก ไม่มีทางอื่นนอกจากให้ข้าฝืนใจมารับตัวเ้าสาวแทนเขา ใครจะไปรู้ว่าแต่งมาแล้วจะเป็ไอ้เวรอย่างเ้า เฮงซวยจริงๆ ...”
เยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบ ก้มหน้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นในหัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับมีความคิดแล่นขึ้นมา นางเข้าใจความจริงได้ในทันที “อ๋อ ข้ารู้แล้ว เ้าบอกว่าเ้าไปท่องเที่ยวศึกษาที่เจียงหนาน ที่ตระกูลเรียกตัวเ้ากลับมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้ จะต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่ เป็เพราะเยวี่ยเยียนหรานหลบหนีไปกับผู้อื่นแล้วใช่หรือไม่!”
คราวนี้กลายเป็เยวี่ยเจาหรานอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะรีบแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “เหลวไหล! เ้าคิดว่าใครก็จะนอกคอก ไม่รู้จักอะไรหนักเบาเช่นเ้ากันหมดหรืออย่างไร เห็นเ้าเป็เช่นนี้ ก็โชคดีแล้วที่น้องสาวข้าหนีไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะถูกเ้ารังแกถึงขนาดไหน!”
“เ้า!”
“ข้าจะทำไม!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแบมือสองข้างออก ยอมแพ้ที่จะต่อสู้ นางเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “งั้นตอนนี้จะทำอย่างไร?”
เยวี่ยเจาหรานเหลือบมองนางด้วยความรังเกียจ “ยังจะทำเช่นไรได้อีก? ถ้าหากเ้าวิ่งออกไปะโกลางถนนว่าข้าคือเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตอนนี้ ข้าก็จะเคารพเ้าในฐานะลูกผู้ชาย”
“พวกเราจะเป็เช่นนี้ตลอดไปไม่ได้นะ!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตีอกชกตัวอย่างเศร้าใจเหลือประมาณ “ข้ายังเป็หญิงสาวบริสุทธิ์วัยแรกแย้ม ข้ายังอยากออกเรือน ข้ายังอยากแต่งกับแม่ทัพทหารม้าใต้บัญชาของพ่อข้าผู้นั้น ทำไมข้าต้องมาแกล้งเป็บุรุษไปชั่วชีวิตด้วย!”
เมื่อได้ฟังเสียงคร่ำครวญของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยวี่ยเจาหรานเองก็นิ่งเงียบ ขอบตารื้นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขามุ่งมั่นตั้งใจเล่าเรียนมาั้แ่เด็ก พออายุสิบหกก็ออกไปท่องเที่ยวแสวงหาความรู้ ข้างกายแม้แต่ม้าก็ยังเป็ตัวผู้ สู้ทนอย่างยากลำบากมาจนถึงวัยออกเรือน แต่กลับต้องมาปลดผ้าโพกหัวสวมมุกมรกต ปลดเสื้อคลุมบัณฑิตสวมชุดกระโปรงของสตรี ต้องมาแต่งงานอย่างไม่เป็ธรรมกับเ้าคนบ้าหยาบช้า ที่ไม่รู้จักความรักความอ่อนโยนทะนุถนอมคนหนึ่ง!
ทำไมกัน!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาดุร้ายอีกครั้ง
กระทั่งถึงยามฟ้าสาง เยวี่ยเจาหรานจึงเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง “งั้นก็เอาอย่างนี้ล่ะ...”
“หา?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ง่วงงุนจนไม่มีกะจิตกะใจจะสู้ด้วยขานรับอย่างสะลึมสะลือ เห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจ เมื่อเห็นเยวี่ยเจาหรานที่ค่อยๆ เดินเข้ามา คิดดูแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขางอเข่าเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายดูเล็กกว่าอย่างชัดเจน แต่แบบนั้นทำให้เดินได้ไม่สะดวกอย่างมาก ราวกับคนขาเป๋อย่างไรอย่างนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมองแล้วก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา “ยืนให้ตรงเถอะ เ้าจะสูงกว่าข้าก็ไม่เป็ไรหรอก ต่อจากนี้เ้าก็ต้องอยู่ที่ห้องในเรือนใหญ่ไม่เจอคนนอกอยู่แล้ว จะมีใครมาว่าเ้าได้อีก?”
คำพูดนั้นก็มีเหตุมีผล เยวี่ยเจาหรานจึงยืดตัวขึ้น แล้วก้าวเท้ายาวไปนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนเริ่มแต่งหน้าหวีผมมือไม้เป็พัลวัน การเคลื่อนไหวลื่นไหลเป็ธรรมชาติอย่างมาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมองตาค้าง นางเดินเข้าไปด้านหลังเยวี่ยเจาหรานและถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมพวกผู้ชายอย่างเ้าใช้แป้งน้ำกับชาด ทั้งยังเกล้ามวยผมของสตรีเป็ด้วยล่ะ?”
เยวี่ยเจาหรานกลอกตาใส่นางครั้งหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไร เพื่อการสับเปลี่ยนตัวไร้สาระนี่ เขาต้องเรียนการแต่งหน้าทำผมอยู่ครึ่งเดือนเต็มๆ ครึ่งเดือน! ตอนนี้เพียงแค่ได้กลิ่นเขาก็สามารถแยกแยะได้ในพริบตาว่าเป็สีผึ้งทาปากของร้านวั่นเยี่ยนหรือผงหอมของหอซีซือ เป็ผงคิ้วของร้านตงหลินหรือว่าน้ำมันทาเล็บของหอเป่ยเยี่ยน แต่ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เขาก็เป็ชายแท้ทั้งแท่งที่แค่ใช้จ้าวเจี่ยว [5] สระผมยังขยาด
บางทีท่าทางการเคลื่อนไหวของเยวี่ยเจาหรานคงดูเป็ธรรมชาติเกินไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงไม่รู้สึกว่าการที่เยวี่ยเจาหรานที่ใช้แป้งผัดหน้า เกล้าผม ปักปิ่นนั้นแปลกประหลาดแต่อย่างใด กลับกันนางจ้องมองเยวี่ยเจาหรานด้วยสายตาเคารพยำเกรงอย่างบอกไม่ถูก มองจนเยวี่ยเจาหรานรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา จนต้องหันมาไล่เ้าตัวออกไปอย่างทนไม่ไหว
เชิงอรรถ
[1] พันอักษร (千字文) เป็บทกวีภาษาจีนที่ถูกใช้ในการสอนตัวอักษรจีนให้กับเด็ก ๆ ั้แ่ศตวรรษที่หกเป็ต้นไป มีหนึ่งพันตัวอักษรและแต่ละตัวใช้เพียงครั้งเดียว จัดเรียงเป็ 250 บรรทัด แยกออกเป็สี่บทกวีบรรทัดเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ
[2] จอหงวน (状元) เป็ชื่อเรียกของคนที่สอบได้คะแนนสูงสุด หรือคนที่สอบได้ที่ 1 ในการสอบเข้ารับราชการจีนสมัยโบราณ
[3] กวาน (冠) เป็เครื่องสวมประดับบนศีรษะชั้นสูงของชาวจีนโบราณ มีความต่างกับหมวก เปรียบได้กับรัดเกล้าที่จะสวมครอบรัดมวยผม
[4] จั้ง (丈) เป็ชื่อหน่วยวัดความยาวหน่วยหนึ่งในมาตราวัดของจีน โดยหน่วยความยาว “หนึ่งจั้ง” จะหมายถึงความยาวประมาณ 10 ฟุต หรือประมาณ 3.3 เมตร
[5] จ้าวเจี่ยว (皂角) เป็สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายฝักถั่วและมะขามแขก ฝักสามารถนำมาใช้ทำยาและสบู่ได้