หน้าผากของหลิงหลงเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น หลังจากปิดประตูด้วยความสั่นเทา ก็ยืนยันซ้ำอีกหลายครั้งว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเหลียนซื่อ ฮูหยินแม่ทัพเจิ้นหย่วนเห็นการกระทำนั้นก็รู้ได้ในทันที นางจึงเอ่ยถามอย่างสงบ “เกิดเื่อะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลิงหลงถึงกับแข้งขาอ่อน คุกเข่าทรุดลงกับพื้น ริมฝีปากยังคงสั่นเทา “นายหญิง... คุณชายใหญ่... คุณชายใหญ่หนีไปแล้วเ้าค่ะ ทิ้งเพียงจดหมายไว้แผ่นหนึ่งเท่านั้น บอกว่า... ขออภัยนายท่านและนายหญิง เขามีคนในดวงใจอยู่แล้ว ไม่อาจปลงใจแต่งกับแม่นางตระกูลเยวี่ยได้จริงๆ ...”
“อ๋อ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ...” เมื่อเหลียนซื่อได้ยินว่าบุตรชายของตนหนีงานแต่งไปแล้วก็เบาใจลงทันที นางก้มหน้าจิบชาอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรการแต่งงานนี้ก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป ฮ่องเต้เพียงแต่เรียกนายท่านกับมหาบัณฑิตเยวี่ยไปเปรยเพียงสองสามคำเท่านั้น จุดประสงค์นั้นก็เพื่อใช้การแต่งงานมาเชื่อมสัมพันธ์ของสองตระกูล พวกเราสองตระกูลบาดหมางกันมาเป็ร้อยปี งานแต่งนี้จะล่มก็ช่าง ไม่ใช่เื่ใหญ่”
“แต่ แต่ว่านายหญิง...” หลิงหลงลนลานจนพูดจาอึกอัก นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงเอ่ย “แต่ว่า เช้าวันนี้ฮ่องเต้มีราชโองการมอบสมรสพระราชทานแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้วเ้าค่ะ...”
“เ้าว่าอะไรนะ?” เหลียนซื่อแทบหยุดหายใจ พลันรู้สึกหน้ามืด นางค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างยากลำบาก ลำคอแห้งผาก เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามข่มสติอย่างเต็มที่ “นายท่านได้รับราชโองการแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ? แล้วนายท่านล่ะ?”
“ได้รับแล้วจริงๆ เ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้ นายท่านจึงบอกว่าอารมณ์ไม่ดี ไปดื่มแก้กลุ้มที่หอเต๋อเซิ่งกับรองแม่ทัพเซียวแล้วเ้าค่ะ!”
“แบบนี้แย่แน่... คุณชายหนีไปนานแค่ไหนแล้ว? ยังไม่ส่งคนไปตามตัวกลับมาอีก!”
“เมื่อสามวันก่อนคุณชายบอกว่าจะไปล่าสัตว์กับคุณชายบ้านรองข้าหลวงเซี่ย วันนี้เสี่ยวซื่อเอ๋อไปรับเขาที่ลานล่าสัตว์ แต่ที่ลานล่าสัตว์กลับบอกว่าเมื่อสามวันก่อนคุณชายเพียงฝากจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่งให้พวกเขาส่งให้จวนเรา แล้วก็จากไปทันที! คุณชายหนีไปสามวันแล้วเ้าค่ะ”
เหลียนซื่อแข้งขาอ่อนแรง ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ น้ำเสียงราวกับจะร้องไห้ นางเอ่ย “ตระกูลเยี่ยนของเรามีความแค้นยาวนานกับตระกูลเยวี่ยของมหาบัณฑิต ตอนนั้นเพราะท่านทวดติ้งเป่ยโหว [1] มีความเห็นขัดแย้งกับทวดตระกูลเยวี่ยที่เป็ผู้ตรวจการกองทัพ แล้วจึงถูกทวดตระกูลเยวี่ยแก้แค้น ด้วยการเล่นไม่ซื่อ ท่านทวดได้รับาเ็สาหัส ทั้งยังสิ้นลมไประหว่างทางกลับเมืองหลวง ความแค้นนี้มากมายจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า เหตุใดฮ่องเต้จึงทรงต้องบังคับฝืนใจกันเช่นนี้ด้วย... ตอนนี้จะทำอย่างไรดี”
หลิงหลงในฐานะที่เป็สาวใช้ของเหลียนซื่อและพอรู้หนังสืออยู่บ้าง เข้าใจความร้ายแรงของเื่นี้ดี ตระกูลเยวี่ยและตระกูลเยี่ยนต่างก็เป็รัฐบุรุษที่เป็กำลังสำคัญของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ที่ยังคงเป็องค์ชายอยู่ในตอนนั้น ด้วยอดีตฮองเฮาผู้เป็พระมารดาแท้ๆ สิ้นพระชนม์ก่อนเวลาอันควร เมื่อเปรียบเทียบกับองค์ชายรองที่เกิดจากสนมคนโปรดแล้วนั้นพระองค์ยังคงอ่อนแอกว่า โชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเยี่ยนที่กุมอำนาจทางการทหาร และผู้นำของตระกูลเยวี่ยที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่ง จนที่สุดจึงได้นั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ น่าเสียดายที่ทั้งสองตระกูลเยี่ยนและเยวี่ยมีความแค้นบาดหมางกันมานับร้อยปี การที่มือซ้ายมือขวาทะเลาะกันนั้นทำให้ฮ่องเต้ปวดหัวอย่างมาก จนถึงจุดที่ไม่อาจไม่รักษา เพื่อเป็การบอกกับทั้งสองตระกูลเป็นัยว่ายังไม่ไว้วางพระทัย และเกรงว่าทั้งสองตระกูลจะคิดไม่ซื่อ ดังนั้นเช้าวันนี้จึงได้ออกราชโองการให้คุณหนูสายตรงของตระกูลเยวี่ย เยวี่ยเยียนหราน แต่งงานกับ เยี่ยนอวิ๋นเฟย คุณชายสายตรงของตระกูลเยี่ยน นำเื่การแต่งงานนี้ประกาศสู่สาธารณะ วางแผนที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ของสองตระกูลด้วยการแต่งงาน
นี่ไม่ใช่แค่การแต่งงาน แต่เป็เื่ความมั่นคงของบ้านเมือง ทั้งยังเป็... หน้าตาของฝ่าาด้วย
“นายหญิง...” หลิงหลงพลันจุดประกายความคิดขึ้นมา รีบเอ่ย “หรือว่า เราจะหาใครสักคนมาแทนคุณชายใหญ่...”
“ไม่ได้! ในงานชมดอกไม้ที่ฮองเฮาจัดขึ้นเมื่อปีก่อน ทั้งสองพระองค์ต่างได้พบกับอวิ๋นเฟยแล้ว คาดว่าคงยังจำหน้าตาของอวิ๋นเฟยได้...” เหลียนซื่อกลัดกลุ้มอย่างที่สุด เดินวนไปมาครู่หนึ่ง ก็หยุดอย่างกะทันหัน สีหน้าซับซ้อน “เ้าหาคนขึ้นเขาหัวซานไปส่งจดหมายให้คุณหนูใหญ่อย่างเงียบๆ เสีย”
หลิงหลงเบิกตากว้าง “คุณ... คุณหนูใหญ่หรือเ้าคะ? หรือว่าฮูหยินท่านคิดจะ?”
“มีแต่หนทางนี้แล้ว!”
สีเขียวที่ปกคลุมเป็กลุ่มกอหลังฝนตกนั้นยิ่งดูเขียวชอุ่ม ข้างหูได้ยินเสียงร้องลิงโลดของนกยามบินกลับรังอย่างอ่อนแรง กลับยิ่งทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจิตใจว้าวุ่นขึ้นเรื่อยๆ
ั้แ่ที่ได้รับจดหมายของตระกูลให้รีบลงจากเขา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เอาแต่เดินเตร่อยู่ในสถานที่บ้าบอนี่มาห้าวันแล้ว
นางคือเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ธิดาของแม่ทัพเจิ้นหย่วนเทพแห่งา เพราะตอนเด็กร่างกายอ่อนแอ นางจึงถูกส่งไปยังเมืองลับแลบนเขาหัวซานเพื่อเรียนวรยุทธ์และฝึกฝนร่างกาย คำนับปรมาจารย์ผู้เร้นกายทุ่มเทกายใจฝึกฝนวิชา สร้างจิติญญาอันแข็งแกร่งด้วยแก่นแท้ของฟ้าดิน บ่มเพาะิญญาด้วยแสงสุกใสของตะวันจันทรา ได้รับตำแหน่งลิงที่สวยที่สุดบนเขาหัวซานอันทรงเกียรติสามปีซ้อน เื่บู๊เยี่ยมยุทธ์รำดาบควบม้า ส่วนเื่บุ๋น... เอ่อ บุ๋นไปไม่รอด และไม่นึกว่าตอนนี้จะถูกขังอยู่ในป่าเล็กๆ แห่งนี้ หรือในป่าแห่งนี้จะมีความลับอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?
วิชาจับยามดอกเหมย [2] ? ค่ายกลแปดทิศ?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แล้วจึงพรูลมหายใจยาว ได้ข้อสรุปสุดท้ายแล้ว
มารดามันเถอะ ก็แค่ไม่รู้ทางแค่นั้นแหละ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกัดไก่ป่าที่ตายตาไม่หลับในมืออย่างขุ่นเคือง
“พี่ชายท่านนี้...” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เสียงชัดใสราวกับแหวนกระทบกัน ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วต้องหันไปมอง
“พี่ชาย ขอถามหน่อย...” ครึ่งประโยคหลังของผู้มาเยือนจุกอยู่ในลำคอ เขาจ้องมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วค้างอยู่นาน เห็นขนไก่เส้นหนึ่งยังติดอยู่ที่มุมปากของนาง ดวงตาของไก่ที่คอหักไปแล้วในมือจ้องมองมาที่เขา เขาคารวะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทันใด “ขอโทษที่รบกวน ลาก่อน!”
“ท่านวีรบุรุษอย่าเพิ่งไป!” เยี่ยนอวิ๋นหลิวกระโจนเข้าใส่ต้นขาของผู้มาเยือนดั่งเสือดุ เอ่ยเคล้าน้ำตา “ท่านวีรบุรุษ! อันว่ายื่นดาบเข้าช่วยเมื่อเห็นความไม่เป็ธรรม [3] ไร้มีดให้พกย่อมเปิดกระเป๋าเอื้ออาทร ไม่ทราบว่าท่านวีรบุรุษอยากจะชักดาบหรือเปิดกระเป๋าดีเล่า”
“...”
เปลวไฟพลิ้วไหว สะท้อนแสงสีส้มอุ่นบนใบหน้าอ่อนวัยอันประณีตงดงาม มือของเขาเลาะกระดูกไก่ฟ้าอย่างคล่องแคล่ว และสุดท้ายยังใช้ใบตองที่ล้างสะอาดมาห่อชิ้นไก่แล้วจึงส่งไปในมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอีกครั้ง โดยที่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่แทบอดใจรอไม่ไหวอยู่นานแล้ว กินอย่างตะกละตะกลามพลางพองแก้มเอ่ยถามอย่างไม่ชัดคำนัก “วีรบุรุษท่านนี้ ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามท่านเลย ในอนาคตข้าจะตอบแทนให้ท่านแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มได้รับการอบรมมาอย่างดี การกินอันน่าเวทนาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นไม่ได้ทำให้คิ้วของเขาขมวดเลยแม้แต่น้อย “ข้าน้อยสกุลจ้าว นามว่า เยวี่ย คำเดียว กลับมาจากการท่องเที่ยวแสวงหาความรู้ที่เมืองเจียงหนาน บังเอิญพลัดหลงกับเด็กรับใช้ เดิมทีข้าอยากถามพี่ชายว่าจะขอยืมม้าร่วมเดินทางไปด้วยได้หรือไม่...”
“อ๋อ คุณชายเยวี่ยนี่เอง ก็ดีนะก็ดี บุญคุณของอาหารมื้อนี้ต้องตอบแทนอย่างแน่นอน รุ่งเช้าเราจะควบม้าเดินทางไปด้วยกัน”
“ไม่ใช่ ข้าจ้าว...”
“ได้เลยคุณชายเยวี่ย”
“...”
จ้าวเยวี่ยตัดสินใจหุบปากลง เขาเริ่มยืมแสงจากเปลวไฟสังเกตชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรอบคอบ นี่อาจเป็ตัวละครชั่วร้ายที่กินเนื้อดิบๆ สามารถยัดเข้าปากได้แม้แต่ขนไก่ที่ยังไม่ได้ล้าง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสังเกตได้ถึงสายตาสืบเสาะของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง และก้มหน้าอย่างเขินอาย “บนหน้าข้ามีอะไรติดอยู่งั้นหรือ?”
จ้าวเยวี่ยมองเืและขนไก่ที่ติดแน่นอยู่ที่มุมปากของนาง แล้วจึงนิ่งเงียบ ลังเลอยู่นานว่าควรจะบอกหรือไม่บอกดี ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่ชายกำลังจะไปที่ไหนหรือ? เหตุใดจึงมาร่อนเร่อยู่ที่นี่ได้? ”
“ข้าน่ะหรือ” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใช้ชายเสื้อเช็ดปากอย่างลวกๆ แล้วเอ่ยอย่างปั้นน้ำเป็ตัว “เดิมทีข้าอยากจะไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวง ระหว่างทางเจอป่าแห่งนี้เข้า ข้าคิดว่าที่นี่ไม่ธรรมดาเลย...”
“เอ๋?” จ้าวเยวี่ยได้ยินก็ประหลาดใจ “ไม่ธรรมดาอย่างไร?”
“ที่นี่...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ครุ่นคิดหาเหตุผลลี้ลับมาหลอกชายหนุ่มที่ดูไร้เดียงสาผู้นี้ แต่เมื่อเรียบเรียงมาสักพักกลับไม่สามารถพูดออกไปได้ ความจริงที่นางเที่ยวขโมยไก่คลำสุนัขอยู่บนเขาหัวซานมาหลายปี ไม่ได้ร่ำเรียนหาความรู้ อย่าว่าแต่วิชาอี้จิงเลย ประตูแปดทิศก็หมดหวัง “เ้าห่านเอ๋ย โก่งคอส่งเสียงร้อง” นางพูดอย่างตะกุกตะกักท่ามกลางสายตาคาดหวังของชายหนุ่ม แล้วเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ฮวงจุ้ยดีเลิศ เหมาะแก่การตาย”
“???!!!” จ้าวเยวี่ยแทบหยุดหายใจ เขาคลายอารมณ์กลับมาอย่างยากเย็น และรีบเปลี่ยนเื่ทันที “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าพี่ชายวางแผนจะทำอะไรที่เมืองหลวงเช่นนั้นหรือ?”
“แต่งภรรยา” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลูบก้อนเนื้อสองก้อนที่หน้าอก รู้สึกมีเหตุผลให้พูดได้อย่างอธิบายไม่ถูก
นางแต่งตัวด้วยชุดกางเกงเข้ารูป คาดดาบที่เอว นางเกิดมาพร้อมกับคิ้วเรียวคมดั่งดาบและดวงตาสุกใสดั่งดวงดาว กิริยาผึ่งผายห้าวหาญ มองดูแล้วยังสมกับเป็เด็กหนุ่มผู้สดใสที่ท่องไปทั่วยุทธภพอย่างสบายใจยิ่งกว่าจ้าวเยวี่ยเสียอีก ด้วยเหตุนี้จ้าวเยวี่ยจึงไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาเอ่ยเสริมขึ้นอีกเื่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าต้องขอแสดงความยินดีกับพี่ชายก่อน พูดถึงเื่แต่งงานที่เมืองหลวงแล้ว... ท่านรู้เื่การแต่งงานของตระกูลเยวี่ยและตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองหลวงในอีกสองเดือนหรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแสร้งทำเป็ประหลาดใจ “มีเื่เช่นนั้นจริงหรือ? แต่แม่ทัพเจิ้นหย่วนของตระกูลเยี่ยนกับมหาบัณฑิตตระกูลเยวี่ย...”
จ้าวเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย ชี้ไปยังทิศทางของเมืองหลวง “ฝ่าาลั่นวาจาแล้ว ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดขืน? เพียงแต่น่าเสียดายคุณหนูบอบบางมีการศึกษามีวัฒนธรรม พริบตาเดียวก็ต้องแต่งกับชายหยาบกระด้างที่ไม่รู้จักทะนุถนอมอิสตรี รู้แต่เล่นมีดควงไม้เท่านั้น”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิ้วกระตุก ก่อนกัดฟันพูด “แต่ข้ากลับคิดว่า มีการศึกษาวัฒนธรรมอะไรนั่น เรียนไปก็ไม่ได้อิ่มท้อง ไม่รู้ว่ายามปกติจะหน้าซื่อใจคดอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่พี่ชายข้าบอก หนังสือน่ะยิ่งเรียนก็ยิ่งอัปลักษณ์...”
“กร๊อบ” นั่นคือเสียงสุดท้ายของกิ่งไม้แห้งในมือของจ้าวเยวี่ย จ้าวเยวี่ยก้มหน้ามองไม่ออกว่ามีสีหน้าอย่างไร น้ำเสียงราวกับกองเพลิงที่ทำให้รู้สึกแห้งผาก “คุณหนูเยี่ยนผู้นั้นที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้า ได้ยินว่าไม่รู้หนังสือ หากเป็ตามที่พี่ชายพูด นางไม่งามดั่ง์เลยหรือ?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเลิกคิ้ว หน้าไม่แดงใจไม่เต้น “ก็ต้องเป็เช่นนั้นสิ”
จ้าวเยวี่ยขบขัน “แต่ข้ากลับได้ยินว่า เหตุผลที่แม่นางเยี่ยนถูกส่งไปเลี้ยงดูในป่าเขาั้แ่เด็ก นั่นเพราะว่านางหน้าตาขี้เหร่ ปากเจ่อฟันโย้เย้ หลังค่อมเอวหนา มองเผินๆ เหมือนลิงตัวผู้ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะหวาดกลัว ถึงได้รีบเร่งส่งเข้าป่าเสียั้แ่ยังไม่ครบแปดขวบ...”
“???!!!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพอจะฟังออกแล้วว่าคนผู้นี้หากไม่ใช่คนในตระกูลเยวี่ยก็ต้องเป็บ่าวในตระกูลเยวี่ยแน่ ชั่วขณะนั้นเส้นเืบนหน้าผากของนางก็กระตุกอย่างแรง “ต่อให้แม่นางเยี่ยนจะน่าเกลียดแค่ไหนก็เป็เด็กสาวที่ร่างกายแข็งแรงและใสซื่อคนหนึ่ง ไม่เหมือนกับคุณชายใหญ่ตระกูลเยวี่ยนั่น ได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่คนนั้นป่วยออดๆ แอดๆ มาั้แ่เล็ก วันเกิดครบอายุสิบแปด เมื่อปีก่อนก็ป่วยหนักจนเกือบไม่รอด ว่ากันว่าเพื่อที่จะจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรให้เขา ตระกูลเยวี่ยถึงขนาดแต่งเมียสิบแปดคนให้เขาในเดือนเดียว ถุย ไม่กลัวติดกามโรคเอาเสียเลย น่ารังเกียจ! ไร้ยางอาย! ต่ำช้า!”
จ้าวเยวี่ยลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ชี้ไปที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสักพักถึงเอ่ยขึ้น “คุณหนูตระกูลเยี่ยนกิริยาหยาบช้า หน้าตาอัปลักษณ์ ใครแต่งด้วยคนนั้นก็อับโชคนัก!”
“คุณชายตระกูลเยวี่ยป่วยร่อแร่ อีกทั้งยังจะลามกจกเปรต ไม่แน่ว่าแต่งกันไปก็ได้เป็ม่าย ใครได้แต่งด้วยช่างโชคร้ายนัก!”
“คุณหนูตระกูลเยี่ยนน่าเกลียดเหมือนผี เบาปัญญาเหมือนหมู!”
“คุณชายตระกูลเยวี่ยกระมิดกระเมี้ยน ไม่สมเป็ชาย!”
“เ้า!”
“ข้าจะทำไม!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วชักดาบออกมา คมดาบวาบประกายเย็นเยือก จ้วงแทงไปยังจ้าวเยวี่ยทันที
ทั้งสองคนสู้รบตบมือกันอย่างร้อนแรง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่นึกมาก่อนเลยว่า จ้าวเยวี่ยผู้นี้แม้กำลังภายในจะย่ำแย่ แต่การเคลื่อนไหวกลับอ่อนช้อยอย่างน่าประหลาด และไม่รู้ว่าใช้วิธีใด ถึงได้ต่อสู้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีกำลังภายในแข็งแกร่งได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง
ทั้งสองโรมรันกันจนฟ้าสาง จ้าวเยวี่ยจึงยอมพ่ายแพ้ไปก่อน แต่ในขณะที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ทันตั้งตัว เขากลับฉวยม้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วมุ่งไปทางเมืองหลวง อีกทั้งยังทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ลาขาดล่ะนะ”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธเกรี้ยว โชคดีที่เส้นทางนี้มีฝนตกมาก่อนบนพื้นดินเลยเป็โคลน ทิ้งรอยเกือกม้าวิ่งเอาไว้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้แต่สาปแช่งจ้าวเยวี่ยด้วยคำที่เรียนมาทั้งหมดในชีวิต พลางเดินตามรอยเกือกม้าอย่างทุลักทุเลจนออกจากป่า จากนั้นเดินตรงไปอีกสองวันสองคืนจึงถึงจวนแม่ทัพเจิ้นหย่วน ในใจนั้นแทบอยากจะเสียบร่างจ้าวเยวี่ยให้พรุน
เชิงอรรถ
[1] โหว (侯) เป็บรรดาศักดิ์รองจาก “กง” สามารถสืบทอดในสกุล หรือได้รับพระราชทานยศจากฮ่องเต้
[2] อี้จิงดอกเหมยหรือวิชาจับยามดอกเหมย (梅花易数) เป็ศาสตร์การทำนายของจีนที่มีมาแต่โบราณ โดยอาศัยเพียงทิศทั้งแปดและธาตุทั้งห้าในการทำนายอย่างแม่นยำ
[3] ยื่นดาบเข้าช่วยเมื่อเห็นความไม่เป็ธรรม (路见不平,拔刀相助) เป็สำนวนจีน หมายถึง เมื่อเห็นความไม่เป็ธรรมจึงยื่นมือเข้ามาช่วย