“ไหนท่านพ่อกับท่านแม่ บอกว่าเขาเป็เพียงอ๋องตกอับ แล้วเหตุใดวันนี้จึง...” หลี่หลานเสวี่ยที่นั่งเคียงสามี กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ ดวงตาฉายแววสับสนก่อนจะหันไปมองบิดามารดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความกังวล
“นั่นมัน จางเหยีนหลิง!” หลี่ชิงหลีเพ่งมองร่างของอดีตสะใภ้ด้วยแววตาสั่นไหว
“หญิงต่ำต้อยเช่นนาง กลับกล้าปรากฏตัวในงานเฉลิมฉลองสำคัญเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน” หญิงชรากล่าวด้วยความแปลกใจ ดวงตาจับจ้องชุดสีเหลืองอ่อนที่อีกฝ่ายสวมใส่ ด้วยความรู้สึกอัดอั้น
“ก็ไหนว่านาง เป็เพียงบ่าวของหยวนเฟิงอ๋อง ฐานะของบ่าวนั่งเทียบเสมอนายได้ยังงั้นเหรอ? ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดทำ” เสียงพูดปนริษยาดังขึ้น ขณะสายตาของลูกสะใภ้เต็มไปด้วยความระแวง เธอค่อย ๆ เอื้อมมือจับแขนหลี่เทียนจิน ก่อนจะขยับเข้าใกล้เพื่อแสดงความเป็เ้าของ ในขณะเดียวกัน หลี่เทียนจินเพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยท่าทีนิ่งเฉย ไม่เผยความรู้สึกใดออกมา ทั้งที่ในใจสับสนปั่นป่วนราวพายุโหมกระหน่ำ
กิริยาแห่งความหึงหวงของหลานเสวี่ย ไม่พ้นสายตาของจางเหยียนหลิง ก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มนวลของหยวนเฟิงอ๋องจะดังขึ้น
“ข้าช่วยเ้าได้เท่านี้ ที่เหลือ...” เขาหันใบหน้าหล่อเหลามายังนาง แล้วเอ่ยขึ้น
“เป็หน้าที่เ้า ที่จะทำให้สกุลหลี่ได้รับกรรมที่ก่อไว้” นางหันมองไปยังหลี่ชิงหลี ที่เวลานี้นั่งนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจด้วยความริษยา
“ข้าไม่เข้าใจ..” หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ราวกับนึกบางสิ่งออก ก่อนเอ่ยด้วยถ้อยคำใหม่
“หม่อมฉันไม่เข้าใจ ว่าทำไมพระองค์ต้องช่วยหม่อมฉันด้วย” เขายิ้มบางที่มุมปาก ก่อนหันไปมองยังสกุลไป๋
“เ้าลืมไปแล้วหรือ...ว่าในใต้หล้านี้ ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ตน มีมากเพียงใด ข้าเองก็เป็หนึ่งในนั้น อย่าได้หลงคิดว่าข้าช่วยเ้าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน...” สิ้นคำ เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ สีหน้ายังคงนิ่งเฉย จนจางเหยียนหลิงไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกแท้จริงของเขาได้
ก่อนร่างของฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์จะเดินออกมา พร้อมด้วยโอรสน้อยที่เกิดจากไป๋ซูเหยา เดินตามต้อย ๆ สายตาของเขาเลื่อนมองไปยังโอรสตัวน้อยด้วยความว่างเปล่า
ไป๋ซูเหยาใช้เวลาไม่นานในการเลื่อนเป็กุ้ยเฟย แทนที่มารดาของเขา และให้กำเนิดโอรสตัวน้อยที่มีอายุ 6 ปี เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าน้องชายต่างมารดา ทว่าในใจหาได้รู้สึกยินดี ตรงกันข้ามไป๋ซูเหยาคือต้นเหตุ ที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต เป็าแฝังใจที่ไม่เคยจางหาย และไม่มีทางปล่อยวาง ตราบใดที่แค้นยังไม่ได้ชำระ...
จางเหยียนหลิงแอบมองกิริยาเขาอย่างระวัง ก่อนที่ผู้คนจะพร้อมใจกันลุกขึ้นถวายความเคารพต่อฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ อย่างพร้อมเพรียง
ผ่านไปนานนับสิบปี ที่ไม่ได้เห็นพระพักตร์ ยามนี้ราชบิดาชราขึ้นมาก ฮ่องเต้ปล่อยมือจากโอรสองค์น้อย แล้วหันไปยังหยวนเฟิงอ๋อง
“ข้าดีใจนัก ที่เ้ายอมมาร่วมงานเฉลิมฉลองวันเกิดของข้าในรอบสิบปี” ซูเหยากุ้ยเฟยที่ตามออกมา นั่งเคียงข้างฮ่องเต้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ไม่เพียงแต่ฝ่าาที่แปลกใจ พวกข้ากับเหล่าขุนนางก็เช่นกัน การที่ท่านอ๋องปรากฏตัว ถือเป็เื่น่ายินดียิ่งนัก” หยวนเฟิงอ๋องเพียงยิ้มบางก่อนตอบว่า
“คนที่เชิญข้ามาก็คือไป๋ฮูหยิน ความดีความชอบนี้เป็ของนาง” สิ้นคำของหยวนเฟิงอ๋อง สายตาของซูเหยากุ้ยเฟยก็หันไปจับจ้องน้องสะใภ้ทันที ไป๋ฮูหยินได้แต่น้อมศีรษะก้มต่ำ เพียงแค่้าเยาะเย้ย แต่ไม่คิดว่าอ๋องเ้าเล่ห์ จะกล้ามางานเฉลิมฉลอง หลังจากหายหน้าไปนานนับสิบปี
“หยวนเฟิง... งานราชการยังมีมาก เ้าจะเข้าวังเมื่อใด” พระสุรเสียงของฮ่องเต้เปล่งออกด้วยความหวัง ท่ามกลางสายตาเหล่าขุนนางที่หันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ข่าวลือที่ว่าอ๋องผู้นี้ถูกตัดขาด ดูท่าจะไม่เป็ความจริง
“บัดนี้ ข้าเป็เพียงอ๋องนอกวัง ไร้ตำแหน่งสำคัญใด ไยต้องเข้าวังหลวง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าปราศจากอารมณ์ใด ๆ ออกมา ท่วงท่าดูห่างเหินเช่นเคย
“เช่นนั้นข้าจะแต่งตั้งเ้าเป็ที่ปรึกษาข้างกายข้า” ฮ่องเต้ตรัสเร่งรัดด้วยความหวัง เมื่อเห็นว่าโอรสใจอ่อนยอมปรากฏตัว ซูเหยากุ้ยเฟยหันมายิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว
“ไม่ต้องรีบร้อนเพคะ หยวนเฟิงอ๋องรักเสรี คงไม่ชอบถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์มากมาย หากเร่งนักอาจยิ่งผลักให้เขาไกลออกไป” ชายหนุ่มเพียงเอื้อมไปรินชา ไม่แม้แต่ชายตามองสตรีที่นั่งเคียงราชบิดา ขณะที่สายตาของเหล่าขุนนางทุกคู่ จับจ้องมาที่เขาเพียงผู้เดียว
“ซูเหยากุ้ยเฟยไม่ใช่มารดาของข้า อย่าเพิ่งตัดสินข้านักเลย” ทันใดนั้นซูเหยากุ้ยเฟยหน้าถอดสี เหล่าขุนนางต่างพากันก้มหน้างุด
“ไร้มารยาทสิ้นดี” ไป๋ฮูหยินพึมพำเสียงต่ำ พลางมองหยวนเฟิงอ๋องด้วยแววตาไม่พอใจ
“อ๋องตกอับที่พวกเ้าชอบพูดถึง ว่าหมดอำนาจ ไม่เป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แล้วนี่อะไรกัน ทำไมกล้าพูดเช่นนี้กับซูเหยากุ้ยเฟย ทำไมไม่มีทหารจับเขาออกไปให้พ้น ๆ” หลี่ชิงหลีที่ทนฟังอยู่ไม่ไหวจึงหลุดคำพูดออกมาด้วยความคับข้องใจ
แต่ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้าย หลี่เทียนจินก็รีบกระซิบเตือนมารดา
“ท่านแม่… หากท่านยังไม่หยุดพูด พวกเราทั้งหมดนี่แหละ ที่จะถูกลากตัวออกไปแทน” คำเตือนนั้น ทำให้หญิงชราต้องหุบปากลงในทันที ก่อนจะเหลือบมองไปยังแท่นประทับของฮ่องเต้ด้วยสีหน้ากังวล
“หญิงผู้นั้น นางเป็ใคร?” สายพระเนตรของฮ่องเต้หันมาจับจ้องไปยังจางเหยียนหลิง ซึ่งนั่งอยู่ข้างหยวนเฟิงอ๋อง
กิริยาอ่อนช้อยและโฉมหน้างดงามราวเทพธิดา ทำให้ไม่มีสตรีใดในท้องพระโรงงามเทียบนางได้
“หม่อมฉันนามว่าจางเหยียนหลิงเพคะ เป็บ่าวของหยวนเฟิงอ๋อง” นางตอบด้วยท่าทีอ่อนน้อม แต่กลับเรียกความประหลาดใจให้ฮ่องเต้ ต้องหรี่พระเนตรลง
“บ่าวงั้นเหรอ?” หยวนเฟิงอ๋องค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยให้จางเหยียนหลิง ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนทั้งท้องพระโรง
จากนั้น เขาหันไปยังพระราชบิดา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“นางเป็บ่าวของข้า แต่ความสามารถของนาง ข้ามองข้ามไม่ได้ นางสามารถวาดภาพได้งดงาม อีกทั้งมีความรู้ด้านสมุนไพร วันนี้ข้าพานางมา เพื่อเรียนรู้ชีวิตในวังหลวง ต่อไปภายหน้า นางจะทำประโยชน์ให้จวนหานเยี่ยของข้า”
“ท่านอ๋องไม่จำเป็ ต้องหาเหตุผลมายกย่องนางเพคะ” ซูเหยากุ้ยเฟยแทรกขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เื่ความรักระหว่างชายหญิง ข้ากับฮ่องเต้เข้าใจดี ฐานะที่แตกต่างกัน ก็ย่อมมีอุปสรรคเป็ธรรมดา” หยวนเฟิงอ๋องยกยิ้มจาง ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าเคยบอกแล้วว่า… ซูเหยากุ้ยเฟยไม่ใช่มารดาของข้า อย่าได้แสร้งทำเป็รู้ใจข้า...” แววตาแข็งของเขา ทำให้ซูเหยากุ้ยเฟยชะงักนิ่งไป นางรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะมีขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด
“ข้าน้อยจำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แม่นางจางเหยียนหลิงเคยวาดภาพให้ข้า นางฝีมือเยี่ยมสมคำร่ำลือจริง ๆ ไม่คาดคิดว่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของท่านอ๋อง ถือเป็เื่น่ายินดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงของขุนนางคนดังกล่าว สีหน้าของซูเหยากุ้ยเฟยก็ซีดลงอีก หยวนเฟิงอ๋องยกยิ้มอย่างพึงใจ ก่อนหันไปยังคนสกุลไป๋
“เมื่อไม่กี่วันก่อน นางเพิ่งไปวาดภาพให้กับบุตรเขย และบุตรสาวของสกุลไป๋ด้วย จริงหรือไม่ ไป๋...ฮู...หยิน” เขาข่มเสียงต่ำ
“เอ่อ...ใช่..ใช่...พ่ะย่ะค่ะ จางเหยียนหลิงนางมีความสามารถจริง ๆ อย่างที่ท่านอ๋องพูดไว้ไม่มีผิด” ไป๋เซิ่นเยว่น้อมกายรับเพื่อรักษาตนให้อยู่รอด
จางเหยียนหลิงนั่งนิ่ง เฝ้ามองทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ นางไม่เคยคาดคิดว่า... งานเฉลิมฉลองวันประสูติของฮ่องเต้ครั้งนี้ จะทำให้นางได้เห็นชัดว่า
‘อ๋องตกต่ำผู้นี้ แท้จริงยังมีอำนาจอยู่เต็มมือ ทว่าเหตุใดเขาจึงทำตัวราวกับหมดอำนาจ ให้ขุนนางอื่นเหยียบย่ำได้ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา’
“ซูเหยากุ้ยเฟย... ต่อไปนี้โปรดอย่าเอาความคิดเห็นส่วนตัวมายัดเยียดใส่ข้าอีก” สายตาแข็งของเขา มองตรงไปยังสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างมีนัย ซูเหยากุ้ยเฟยรู้สึกโกรธจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ก่อนที่ฮ่องเต้จะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“เอาน่า ซูเหยา... หยวนเฟิงไม่ได้อยู่ในวังหลวงมานาน จะคิดอะไรพูดอะไรก็ตรงไปตรงมา เ้าก็อย่าไปถือโทษเขาเลย” ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ตำหนิ หากแต่กลับให้ท้ายหยวนเฟิงอ๋องอย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้เหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรงตระหนักชัดว่า หยวนเฟิงอ๋องยังมีความสำคัญต่อราชสำนัก
“เ้าเป็ใคร กล้าหยาบคายต่อว่าท่านแม่ของข้า เหิมเกริมเกินไปแล้ว” โอรสองค์เล็ก เอ่ยพลางชี้หน้าเขาด้วยท่าทางไม่เข้มแข็งเท่าใดนัก
หยวนเฟิงอ๋องตวัดสายตาคมกริบไปยังโอรสน้อย ทว่าซูเหยากุ้ยเฟย รีบดึงร่างของโอรสเข้าหาตัวพร้อมสายตาสั่นไหว ชายหนุ่มในชุดดำไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ยกชาขึ้นดื่มช้า ๆ
“นี่เหรอ โอรส์ที่เกิดทีหลังข้า...ขนาดอยู่ในวังหลวงแท้ ๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็อะไร เช่นนั้นคำครหา ที่กล่าวว่าข้าเป็อ๋องไร้การอบรม ข้าจะไม่ถือสา!” ถ้อยคำประชดประชันของหยวนเฟิงอ๋อง ทำให้ซูเหยากุ้ยเฟยกำมือแน่น คนอย่างเขาสมควรตายไปนานแล้ว ไม่ควรกลับมาชูคอแสดงอำนาจในวังหลวง ให้เป็ที่น่ารังเกียจ หญิงกลางคนพยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนปั้นหน้ายิ้ม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ผิดที่ข้าเอง อบรมเจ๋อหานไม่ดี” นางหันไปหาโอรสตัวน้อย แล้วเอ่ยเสียงอ่อน
“เจ๋อหาน นี่คือหยวนเฟิงอ๋อง พี่ชายของเ้า”
“ข้าไม่เคยมีพี่ชาย! เขาไม่ใช่พี่ของข้า! เขากล้าต่อว่าท่านแม่ ต้องจับไปปะา!”
“หึ!” หยวนเฟิงอ๋องหัวเราะในลำคอ คล้ายสมเพชมากกว่าจะโกรธเคือง ท่าทางของโอรสน้อย สะท้อนให้เห็นถึงการเลี้ยงดูที่ตามใจจนเสียคน
เหล่าขุนนางต่างพากันเงียบงัน สังเกตการณ์โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนชายหนุ่มจะหันไปยังบัลลังก์ แล้วกล่าวกับฮ่องเต้
“เสด็จพ่อ... ข้ามีเื่หนึ่ง อยากขอ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็รีบลุกจากบัลลังก์ เดินเข้าหาลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แท้จริงแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮ่องเต้ผู้เปี่ยมด้วยพระราชอำนาจ เฝ้ารอการให้อภัยจากโอรสองค์นี้อยู่เสมอ แม้จะมีคำครหานับไม่ถ้วนพาดพิงถึงหยวนเฟิงอ๋อง ฮ่องเต้กลับไม่เคยตำหนิ
ยังคงเฝ้ามองเขาอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบงัน
“เ้าอยากได้อะไร? อยากได้ตำหนักใหม่? อยากได้สิ่งใด บอกพ่อมาเถิด” น้ำเสียงสั่นเครือและสายตาเต็มไปด้วยความอาทรนั้น ทำให้ทุกคนในท้องพระโรงต่างมองเห็น
“วันนี้เป็วันเฉลิมพระชนมพรรษาเพคะ หม่อมฉันคิดว่าเื่ภายใน ควรไว้คุยกันในวันหลังจะดีกว่าเวลานี้ ขุนนางทุกท่านคงอยากสำราญกับการเฉลิมฉลอง” ซูเหยากุ้ยเฟยกล่าวแทรกขึ้น พร้อมส่งสัญญาณให้เหล่านางรำเข้าสู่ลานรำ ร่ายรำพร้อมเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับมาสงบอีกครั้ง
จางเหยียนหลิงเหลือบตามองไปยังเหล่านางรำผู้เลอโฉม ท่วงท่าร่ายรำของพวกนางงดงามดุจเทพธิดา ขณะที่สายตาของนางเคลื่อนผ่าน พบว่าหลี่เทียนจินมองตรงมาไม่ละสายตา
“ไป๋หลานเสวี่ยน่ะ นางไม่ใช่คนฉลาด ความหึงหวงของนาง จะกลายเป็อาวุธชั้นดีให้เ้า ไม่จำเป็ต้องมีอำนาจ ฐานะ หรือตำแหน่งใด ๆ ก็สามารถแก้แค้นได้เช่นกัน”
ถ้อยคำของหยวนเฟิงอ๋องที่เคยกล่าวไว้ ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง จางเหยียนหลิงค่อย ๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะส่งยิ้มบางเบาไปทางหลี่เทียนจิน เพียงรอยยิ้มเดียวของนาง กลับทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจถึงขั้นเกือบทำถ้วยชาหลุดจากมือ
“นางส่งยิ้มให้ท่าน แล้วท่านก็ยิ้มตอบนางอย่างนั้นรึ?” เสียงไม่พอใจของหญิงตั้งครรภ์ผู้เป็ภรรยา เอ่ยขึ้นอย่างอดกลั้นคำพูดนั้นทำให้หลี่เทียนจินได้สติ รีบหันกลับไปมองภรรยา ทว่าความเย้ายวนในสายตาของจางเหยียนหลิง ยังคงจดจ้องมายังเขาไม่ละไป
“ดูสายตานางสิ... ข้าชังยิ่งนัก” หลี่ชิงหลีพึมพำเบา ๆ ด้วยความขุ่นเคือง
แท้จริงแล้ว มิใช่เพียงแค่สายตาของหญิงสาว ที่ทำให้นางไม่พอใจ หากแต่เป็เพราะความจริงที่นางเพิ่งได้ประจักษ์ หญิงที่เคยคิดว่าเป็เพียงบ่าวตกอับในจวนหานเยี่ย กลับได้รับการต้อนรับจากราชสำนักเหนือกว่าบุตรชายของตนเอง... ผู้ที่มีตำแหน่งเป็ถึง “จิงซื่อ” เสียอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้