ลู่จิ่งซานเป็ใคร?
ฝีมือของเขาในกองทัพนั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยมระดับแถวหน้า การลงมือเป็ไปตามสัญชาตญาณในชั่วพริบตา สวี่จือจือก็ถูกเขารวบตัวเข้าสู่อ้อมกอดเสียแล้ว
ท่าทางของทั้งคู่...ช่างดูคลุมเครือ
ลู่ซืออวี่ร้องอุทานออกมา ก่อนจะรีบเอามือปิดตา
ไม่ควรดูสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ก็แอบมองดูพี่ชายและพี่สะใภ้ผ่านร่องนิ้วด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เห็นเพียงว่ารอบกายของคนทั้งคู่ อากาศรอบตัวราวกับจะหยุดนิ่ง เวลาราวกับจะหยุดเดินไปชั่วขณะ
ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างไม่กะพริบตา
และในตอนนั้นเอง เสียงดังแป๊ะและกริ๊งดังมาจากที่ไกลๆ ราวกับปลดปล่อยให้ทั้งคู่ที่กำลังกอดกันอยู่เป็อิสระ ตามมาด้วยเสียงะโของลู่หรงฟา “รีบทำงาน อย่าแอบอู้”
ลู่ซืออวี่อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ลู่หรงฟามักจะเหน็บแส้ไว้ที่เอวเสมอ ว่ากันว่าได้รับสืบทอดมาจากเลขาธิการพรรคเก่า ใครที่แอบอู้งานจะถูกแส้เฆี่ยนตี
เสียงแป๊ะเมื่อกี้นี้น่าจะเป็เสียงของลู่หรงฟาที่ใช้แส้ขู่สมาชิกสหกรณ์ที่ี้เี
สวี่จือจือรีบผลักลู่จิ่งซานออกด้วยใบหน้าแดง “ขอบคุณค่ะ”
มือพลางลูบๆ บริเวณชายเสื้อด้านหลังด้วยความประหม่า
ในคืนแต่งงานเพราะอุบัติเหตุ เธอเคยัักล้ามเนื้อของลู่จิ่งซานมาแล้ว จึงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ว่าคนที่ทำงานเป็ทหารนั้นแตกต่างกันจริงๆ
วันนี้ถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขนแบบนี้ สวี่จือจือถึงกับจินตนาการไปไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อหน้าอกและหน้าท้องที่เป็ลอน เพียงแค่จินตนาการก็ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแรง บึกบึน และความปลอดภัย
“อืม”
ลู่จิ่งซานตัวแข็งทื่อ เมื่อครู่เขาคว้าตัวเธอด้วยสัญชาตญาณ ทำให้ส่วนนุ่มนิ่มของเธอแนบชิดกับเขา
ที่แท้ร่างกายของผู้หญิงก็นุ่มนิ่มขนาดนี้
เขาตอบอย่างขอไปที แล้วพูดอีกประโยค “ระวังหน่อย”
จากนั้นก็ก้าวเท้าไปที่แอ่งน้ำที่เขาเพิ่งทำไว้ แล้วโยนปลาสองตัวที่หามาได้ลงไป
น้ำในแอ่งที่ผ่านการตกตะกอนมาสักพักหนึ่งก็ไม่ได้ขุ่นมัวมากนัก เมื่อมีเพื่อนร่วมสายพันธุ์เข้ามาใหม่ พวกปลาตัวเล็กๆ ก็ใพากันว่ายหนี
ในขณะที่หัวใจของใครบางคนก็สั่นไหวไม่แพ้กัน
“ปลาสองตัวนี้ดูตัวใหญ่ดี” สวี่จือจือคิดพลางพยักหน้า “เอาไปทำปลาแดงได้”
คิดแล้วก็รู้สึกอร่อยขึ้นมา
ลู่จิ่งซานชะงักไป ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ปลาสามตัวจะกินหมดเลยเหรอคะ?” ลู่ซืออวี่กังวล “ป้าสะใภ้ใหญ่คงไม่ยอมหรอก”
ไม่แน่หรอก สวี่จือจือคิดในใจ
ตอนเย็นหลังเลิกงาน สวี่จือจือจงใจใส่หญ้าลงในตะกร้าเยอะๆ แล้วเอาปลาไปซ่อนไว้ข้างใต้แบบนี้ ใครๆ ก็จะดูไม่ออก คิดเสียว่าเป็หญ้าที่เธอไปตัดมาเพื่อเอาไปเลี้ยงหมู
ใครจะรู้ว่าสามคนยังกลับไม่ถึงบ้านดี ก็เห็นควันโขมงมาจากลานบ้านตัวเองมาแต่ไกล แถมยังมีเสียงของจ้าวลี่เจวียนดังมาอีก
“พวกเราทำงานกันมาทั้งบ่าย กลับมายังไม่มีข้าวกิน แถมยังเกือบเผาครัวฉันอีก” จ้าวลี่เจวียนพูดเสียงดัง “ยังจะมาทำท่าทางเหมือนตัวเองถูกรังแกอีกเหรอ?”
“ถ้าไม่มีน้ำยาก็อย่ามาทำเื่ใหญ่”
นี่ทำอาหารที่ไหนกัน? นี่มันกำลังจะเผาครัวบ้านพวกเขาชัดๆ!
จ้าวลี่เจวียนรู้สึกหงุดหงิดมาก ทำเหมือนว่าคนทั้งบ้านกำลังแกล้งอีกฝ่ายอยู่?
แค่ทำอาหาร ทำไมถึงได้เกือบเผาครัวกันล่ะ?
“พี่สะใภ้ใหญ่” เหอเสวี่ยฉินพูดอย่างอ้อมแอ้ม “เด็กๆ ก็ยังเล็กกันอยู่ไม่ใช่เหรอ? จริงๆ แล้วพวกเขาก็อยากจะทำอาหารให้ทุกคนกิน พวกเราก็ไม่ได้ว่างกันทั้งบ่ายเหมือนกันนะ”
“นี่เหรออาหารที่พวกเธอทำ!” จ้าวลี่เจวียนมองข้าวที่ไหม้ดำอยู่ในหม้อ แถมยังมีกลิ่นไหม้ในอากาศก็หัวเราะออกมาด้วยความโมโห “ถ้าทำไม่เป็ก็ไม่มีใครบังคับ ไม่ใช่มาทำลายข้าวของแบบนี้ แถมยังเกือบเผาครัวด้วย”
เหอเสวี่ยฉินก็หน้าเสีย
ข้าวพวกนี้เป็ข้าวที่เธอสั่งให้ลู่หลิงซานทำ แต่ลู่หลิงซานก็ได้รับการสืบทอดจากเธอ ไม่มีความสามารถในการทำอาหารเลยสักนิด
เธอแค่ไปหั่นผักเท่านั้น ลูกสาวคนนี้ก็เกือบเผาครัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าเอาฟืนใส่เข้าไปเท่าไหร่ ไฟติดพรึ่บ ข้าวโพดต้มในหม้อที่กำลังจะสุกก็ไหม้ติดหม้อไปเลย เธอรีบเรียกให้ลู่หลิงซานเอาไฟออก แต่คราวนี้ก็ยิ่งแย่ ฟืนที่เอาออกมาเกือบจะเผาครัวแล้ว
โชคดีที่จ้าวลี่เจวียนกลับมาทัน รีบให้ลู่จิ่งเหนียนพาคุณนายลู่ออกจากห้อง แล้วเธอก็รีบถือถังน้ำเข้าไปดับไฟ
คุณนายลู่ก็ใไม่น้อย ห้องนอนของอีกฝ่ายอยู่ติดกับห้องครัวพอดี ถ้าห้องครัวไฟไหม้ คนที่จะซวยเป็คนแรกก็คืออีกฝ่าย
“อะไรคือพวกเราทำลายข้าวของ?” เหอเสวี่ยฉินไม่พอใจ “ก็แค่หลิงซานไม่ถนัด ใครๆ ก็ทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ”
“ไม่ถนัด?” จ้าวลี่เจวียนหัวเราะเยาะ “ใครบอกว่าก็แค่ทำอาหาร? แค่ทำอาหารก็เกือบจะเผาครัวได้? ฉันนึกว่าจะเก่งกาจแค่ไหน ที่แท้ก็แค่...”
“หนูไม่ได้ตั้งใจ ทำไมป้าสะใภ้ใหญ่ต้องดุขนาดนี้ด้วย” ลู่หลิงซานร้องไห้พลางเช็ดหน้าตา เดิมทีก็มอมแมมอยู่แล้ว พอเอามือที่ดำๆ มาเช็ดหน้า ใบหน้าก็ยิ่งดำไปกันใหญ่ แถมยังไม่รู้ตัว ร้องไห้พลางเอามือเช็ดน้ำตา “ครัวก็ไม่ได้ไหม้จริงสักหน่อย ทำไมป้าถึงไม่ยอมเลิกรา?”
“หุบปาก” คุณนายลู่มองอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง “ตัวเองทำผิดแล้วยังมีหน้ามาโทษคนอื่นอีกเหรอ?”
“ั้แ่วันพรุ่งนี้เป็ต้นไป งานบ้านก็ต้องทำด้วย ไม่ต้องให้คนอื่นทำ” คุณนายลู่พูด “บ้านตระกูลลู่ของพวกเราไม่ได้เลี้ยงดูคุณหนูคุณชาย”
“คุณย่า” ลู่หลิงซานหน้าดำมอมแมมมองคุณนายลู่ด้วยความน้อยใจ
ถ้าเป็เมื่อก่อน ตอนที่มีเหอเสวี่ยฉินผู้เป็แม่คอยปกป้อง คุณนายลู่ก็คงไม่คิดจะมายุ่งกับลู่หลิงซาน แต่เื่วันนี้ทำให้เธอได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
เด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งไม่ทำงานบ้าน ไม่รู้จักพืชผัก พอทำอาหารก็เกือบจะเผาครัวได้ ถ้าเป็แบบนี้ต่อไปพอแต่งงานไปบ้านสามี คงโดนเขาด่าว่าลับหลังแน่ๆ
ลูกสาวที่บ้านตระกูลลู่ของเธอสั่งสอนออกมาเป็แบบนี้เหรอ? ไม่หวังว่าอาหารที่ทำออกมาจะดีเลิศ แต่ก็ต้องทำให้ดูดี ไม่ถึงกับต้องอดตายไม่ใช่เหรอ?
“คุณแม่” เหอเสวี่ยฉินรีบพูด “หลิงซานยังต้องไปเรียนนะคะ คุณแม่ลอง...”
“แม่ที่รักลูกมากมักจะเลี้ยงลูกไม่ดี” คุณนายลู่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า “ถ้าเธอสงสารลูกมากก็แยกบ้านกันไปซะ”
แยกบ้าน?
เหอเสวี่ยฉินใจเต้น
ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ถึงอย่างไรเธอกับลู่หวยเหรินก็มีเงินเดือน อีกทั้งลู่จิ่งซานยังมีเบี้ยเลี้ยงจากกองทัพ สองครอบครัวก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ส่วนงานบ้านย่อมต้องตกเป็ของสวี่จือจือและลู่ซือหยวน
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้สวี่จือจือไม่มีงานทำกันล่ะ!
แต่ตอนนี้คุณนายลู่ยังอยู่ ถึงเธอจะมีความคิดก็ไม่กล้าพูดออกมา คำพูดนี้คุณนายลู่เป็คนพูดออกมาเอง เธอจะไม่สนใจได้อย่างไร?
“คุณแม่” จ้าวลี่เจวียนรีบพูด “ฉันผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะคะ”
“ใช่แล้ว” ลู่หวยไห่พูด “คุณแม่จะทำให้ลูกลำบากเกินไปหรือเปล่า?”
พ่อแม่ยังอยู่ จะไม่แยกบ้านเด็ดขาด!
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่หวยเหรินขี่จักรยานกลับมา เห็นพี่ใหญ่หน้าตาตื่นจึงรีบถาม
“น้องรอง รีบไปเกลี้ยกล่อมแม่หน่อย แม่บอกว่าจะแยกบ้าน”
“ฉันขอพูดให้ชัดเจนก่อนนะ” หญิงชราพูดอย่างใจเย็น “เมื่อแยกบ้านแล้ว พวกแกจะไปอยู่ที่ไหน จะอยู่ตัวเมืองหรือจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามใจ”
“แต่จิ่งซานกับเสี่ยวอวี่จะอยู่กับฉัน”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้