เจินจูดูแปลกหูแปลกตาสำหรับหลี่ซื่อเล็กน้อย นางไม่ได้กังวลหรือต่อว่าเื่ที่พวกนางเสี่ยงอันตรายไปจับงูกันมากนัก แน่นอนว่าสาเหตุอาจเป็เพราะนางไม่สามารถพูดได้ ไม่ว่าจะเป็เช่นไรก็ตาม ความโอบอ้อมอารีของนางทำให้เจินจูรู้สึกถึงความสบายใจ
“ท่านแม่ งูนี่จะต้มที่บ้านเอง? หรือเอาไปให้ท่านย่าต้มหรือ?” เจินจูถาม
หลี่ซื่อมีสีหน้างงงวย นางค่อนข้างหวาดกลัวสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ แม้จะตายแล้วก็ยังคงไม่กล้านำมันมาถลกหนังทานเนื้ออยู่ดี
เจินจูเห็นแววตารู้สึกลำบากใจของหลี่ซื่อ จึงหัวเราะคิกคักคลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้แล้วกล่าวว่า “เอาไปต้มที่บ้านเก่าแล้วกัน ท่านย่าเอาของมาให้ครอบครัวเราตลอดเลย นี่ก็นับเป็ของตอบแทน งูตัวหนึ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เพียงพอให้พวกเราสองบ้านทานอิ่มแล้ว”
พอหลี่ซื่อได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ นางก็เห็นด้วยว่ามันนับเป็ของตอบแทนจริงๆ เอาไปต้มที่บ้านเก่า ผู้อื่นจะว่าอย่างไรยังไม่ต้องพูดถึง แค่สีหน้าพี่สะใภ้นางดีขึ้นหน่อยก็พอ สุดท้ายจึงยิ้มแล้วพยักหน้า
ฝนยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด เจินจูนั่งคัดเห็ดอยู่ใต้ชายคา เวลาครึ่งวันนี้ไม่นึกเลยว่าสองพี่น้องจะเก็บเห็ดได้มากกว่าครึ่งตะกร้า เห็ดเต็มไปด้วยกลิ่นอันเป็ลักษณะเฉพาะโชยมาเข้าจมูก ทั้งสองนำเห็ดที่สมบูรณ์วางไว้บนปุ้งกี๋ ส่วนที่เสียหายไม่สมบูรณ์เอาวางไว้อีกด้านหนึ่ง ตอนเย็นค่อยนำเห็ดที่ได้รับความเสียหายมาทานก่อน
วันที่มีฝนตก อากาศจะเปียกชื้น ไม่ดีต่อการผึ่งแดดของเห็ดสักเท่าไร เจินจูวิเคราะห์เสร็จก็มีความกลุ้มใจเล็กน้อย เห็ดเยอะเกินไปรับประทานไม่หมด ไม่มีแสงอาทิตย์ยิ่งไม่สามารถตากแห้งได้ หากอาศัยการผึ่งลมที่ต้องใช้เวลานานนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แล้วไหนยังจะการที่เห็ดเปลี่ยนเป็สีดำอีก นางเคยได้ยินว่าเห็ดสามารถอบแห้งได้ แต่ตอนนี้ไม่มีเครื่องอบเช่นกัน เฮ้อ ปวดหัวจริง หรือว่าจะใส่ในหม้อใช้ไฟอบให้แห้ง? อุณหภูมิหม้อสูงเกินไปและหม้อร้อนอยู่ตลอดเวลา เห็ดคงไหม้ก่อนเป็แน่ หากวางบนเตียง [1] แล้วอุ่นให้ร้อน? อุณหภูมิบนเตียงสูงเท่าไรกัน? นางเป็คนทางใต้จะรู้ได้เช่นไรว่าเตียงของคนทางเหนือเป็เช่นไร
“ท่านพี่ มีกระต่ายสองตัวเอาแต่ชนกรง ทำเช่นไรดี?” ผิงอันวิ่งพรวดพราดออกมาจากเล้าไก่อย่างเร่งรีบ
เฮ้อ นางรู้อยู่แล้วว่ากระต่ายไม่ได้ออกจากกรงสามวันย่อมต้องร้อนรนไม่เป็สุขขึ้นมาแน่ จึงวางเห็ดในมือลง ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับผิงอัน “พวกมันถูกขังจนหงุดหงิดน่ะ ผิงอัน ห้องฟืนของบ้านเราที่ว่างค่อนข้างมาก เ้าไปเอาฟืนกองไว้ฝั่งหนึ่ง ทำความสะอาดที่ว่างเสียหน่อย หลังจากนั้นนำกระต่ายสับเปลี่ยนกันออกมาเคลื่อนไหวครึ่งชั่วยาม ลูกกระต่ายที่เพิ่งคลอดคอกนั้นอย่าเพิ่งปล่อยออกมา”
“อื้ม อื้ม ข้าทราบแล้ว ข้าจะไปกวาดห้องฟืนให้สะอาด ท่านพี่ ท่านมีวิธีแก้ปัญหาจริงด้วย” ผิงอันวิ่งะโโลดเต้นออกไปไกลด้วยความตื่นเต้น
เจินจูคิดอยู่ชั่วครู่ ก็เข้าไปในมิติช่องว่างเอาผักกวางตุ้งออกมาหนึ่งกำ เลี่ยงผิงอันที่ทำความสะอาดอยู่ในห้องฟืน ส่งอาหารเข้าไปป้อนกระต่ายข้างในกรง
กระต่ายในกรงโผเข้ามาดั่งเสือที่หิวโหยก็ไม่ปาน ทยอยกันวิ่งออกมา เวลาไม่นาน ผักกวางตุ้งในมือก็ถูกกวาดเกลี้ยง เจินจูคำนวณผักกวางตุ้งที่กระต่ายกินเข้าไป เพื่อเสริมน้ำหนักให้เพียงพอกับการบำรุงให้ครบถ้วน
กระต่ายที่กินผักกวางตุ้งเสร็จ เดิมทีที่หงุดหงิดและกระสับกระส่ายก็กลับมาสงบลงโดยพลัน เจินจูถอนหายใจยาว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฝนก็มีแนวโน้มว่าค่อยๆ จะหยุดลง เจินจูตั้งใจถือตะกร้าที่บรรจุเห็ดอยู่เต็มไปบ้านเก่าสักเที่ยว ในเมื่อสมาชิกที่บ้านคนหนึ่งไม่สามารถพูดได้ อีกคนหนึ่งก็ยังเด็กไม่รู้เื่รู้ราว ล้วนไม่มีความคิดเห็น นางไปเยี่ยมบ้านเก่าสักนิด ไปสอบถามคนสูงวัยเสียหน่อยเกี่ยวกับเื่ที่ใช้เตียงอบเห็ดได้หรือไม่ หญิงชราสกุลหูต้องรู้วิธีและรู้เื่เป็แน่ น่าจะสามารถเข้าใจความหมายของนางได้
“ผิงอัน เ้าขังกระต่ายไว้ในห้องฟืนให้ดี พวกเราไปบ้านเก่ากันก่อน อีกเดี๋ยวพวกเขาจะทำอาหารเย็นแล้ว” เจินจูเรียกะโบอกผิงอันที่กำลังวุ่นอยู่กับกระต่ายตลอดทั้ง่บ่าย ั้แ่เ้าเด็กนี่ได้ยินที่นางกล่าว ก็หันมองกระต่ายไม่หยุดอยู่ครู่หนึ่ง
“อื้อ ท่านพี่ ข้าจะรีบออกไป” หลังจากที่มองจนพอแล้ว ผิงอันก็กล่าวออกมาอย่างซุกซน แล้วทะลุออกมาจากหลังบ้าน
“…” เจินจูมองเขาที่มีขี้เถ้าเต็มตัวทั่วหน้าพักหนึ่งอย่างพูดไม่ออก
นางไม่มีทางเลี่ยง จึงวางตะกร้าลง หาท่อนไม้มาหนึ่งอันตบขี้เถ้าให้เขาเบาๆ แล้วบอกให้เขาไปล้างหน้าล้างตา หลังแจ้งแก่หลี่ซื่อแล้ว เจินจูก็หิ้วตะกร้าเห็ดใบหนึ่ง ส่วนผิงอันใช้ตะกร้าสานเล็กๆ ใบหนึ่งถืองูแล้วเดินไปบ้านเก่าด้วยกัน
ระหว่างทางเต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อขนาดต่างๆ เจินจูเดินตามผิงอันและมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ลักษณะรูปทรงบ้านในหมู่บ้านคล้ายกันโดยประมาณ กระจัดกระจายอยู่ริมทางสองฝั่ง สัดส่วนพอดี ยามนี้ใกล้จะพลบค่ำแล้ว บ้านส่วนใหญ่ล้วนมีควันผุดขึ้นจากปล่องไฟเป็เกลียว
ตอนผ่านบ้านเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ในบ้านมีเสียงสะท้อนออกมาว่า “อ้าว นี่มิใช่เจินจูหรือ? ได้ยินว่ากลิ้งตกจากเขา หายเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
ฟู่เหรินในวัยสามสิบกว่าปีเป็คนเอ่ยออกมา นางยืนอยู่ข้างประตูบ้าน ในมือยังถือผักกวางตุ้งแต่สังเกตสองพี่น้องอย่างละเอียดด้วยความสนใจ เจินจูนึกอยู่เล็กน้อยก็จำไม่ได้ว่าคือผู้ใด จึงตอบกลับไปอย่างถ่อมตนว่า “ท่านอา ข้าแค่กระแทกเล็กน้อย ไม่ได้เป็อันใด หายดีนานแล้วเ้าค่ะ ข้ากับน้องชายจะไปบ้านท่านย่า ขอตัวก่อนนะเ้าคะ” กล่าวจบ ไม่รอให้นางได้เอ่ยอะไรก็จูงผิงอันเดินจากไป
“นี่ นี่ เดินเร็วเช่นนี้ทำไมกัน มาคุยกับอาก่อนสิ” เสียงของฟู่เหรินที่แหลมบาดหูดังสะท้อนอยู่บนเส้นทางเล็กๆ ยามพลบค่ำ เจินจูขมวดคิ้วก้าวไปทางข้างหน้าเร็วกว่าเดิม
“นางคือผู้ใดกัน? ผิงอัน ข้าไม่ได้เข้าหมู่บ้านนาน ลืมคนไปหมดแล้ว” เจินจูแสร้งถามอย่างเลอะเลือน
“ท่านพี่ นางคืออาหลิ่วสะใภ้คนรอง ชอบเพ่นพ่านไปเฝ้าตามประตูสอบถามและนินทาเื่ต่างๆ นานา ท่านจำมิได้แล้วหรือ? เมื่อก่อนนางยังกล่าวให้ร้ายครอบครัวเรากับเถียนกุ้ยจืออยู่เป็ประจำ” ผิงอันกล่าวอย่างรังเกียจ เด็กคนนี้ช่างอ่อนไหวเสียจริง ไม่มีความรู้สึกดีกับคนเหล่านี้ที่นินทาว่าผู้อื่นลับหลัง
“อา นึกออกแล้ว ที่แท้ก็เป็นางนี่เอง” เจินจูแสร้งทำเป็นึกขึ้นได้
“ผิงอัน กับคนเช่นนี้อย่าไปสนใจมากเลย ลิ้นยาวสอดเข้ามาในปากคนอื่น พวกนางกล่าวอันใดพวกเราล้วนควบคุมไม่ได้ พวกเราควรทำอย่างไรเช่นนั้นหรือ คนที่มีความสามารถและฝีมือไม่มีทางกลัวคำนินทาของผู้อื่น จงเชื่อมั่นในตนเองและพยายามใช้ใจดำรงชีวิตให้ดี ผู้อื่นกล่าวอันใดล้วนไม่สำคัญ เข้าใจใช่หรือไม่!” เจินจูปลอบประโลมความกังวลใจให้เขา ไม่ว่าจะแห่งหนใดมักขาดคนที่กล่าวสามว่าสี่ [2] ยุให้รำตำให้รั่วอยู่เื้ัผู้อื่นเสมอ ที่ใดมีคนก็ย่อมมีความขัดแย้ง ดังนั้นจงรักษาศักยภาพของตนเองไว้ อย่าให้มันมารบกวนการใช้ชีวิตได้
“ทราบแล้ว ท่านพี่” ผิงอันพยักหน้าอย่างเข้าใจครึ่งๆ กลางๆ
เจินจูยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไรอีก บางเื่ต้องเข้าใจด้วยตนเอง ต่อให้พูดหลักการมากเพียงใด ก็ไม่สู้ประสบด้วยตนเองหรอก นึกถึงประโยคหนึ่งในภาพยนตร์สักเื่ที่เคยดูมาแต่ก่อนว่า ฟังหลักการมามากมาย แต่ชีวิตนี้ก็ยังไม่ดีเหมือนเดิม
ชาติก่อนถูกประโยคนี้ประทับลงมากลางใจ น้ำตานางถึงกับไหลพราก
“ถึงแล้ว” ผิงอันหยุดอยู่นอกประตูบ้าน มองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง และะโเรียกอย่างดีใจว่า “ท่านย่า!”
“อ้าว ผิงอันมาหรือ? รีบเข้ามาเถิด ยามนี้แล้ววิ่งมาทำไมกัน? ที่บ้านมีเื่อันใดหรือ?” หญิงชราสกุลหูออกมาต้อนรับเขาเข้าบ้าน “เจินจูก็มาด้วยหรือ เข้ามาเร็ว ฝนเพิ่งจะหยุด ถนนหนทางลื่นนัก พวกเ้าระวังหน่อย”
“ผิงอัน เจินจู พวกเ้ามาทำไมกันหรือ?” ชุ่ยจูที่ได้ยินการเคลื่อนไหวจึงเดินออกมาจากห้องครัวเช่นกัน
“ท่านย่า พี่รอง พวกท่านดูสิ” ผิงอันส่งตะกร้าไผ่สานในมือออกมา ยื่นไปดั่งของล้ำค่า
“อ๊ะ นี่ไม่ใช่งูดำลายพาดกลอนหรือ ตัวใหญ่ทีเดียวเลย พวกเ้าจับได้หรือ? กล้าหาญยิ่งนัก” ชุ่ยจูกล่าวอย่างประหลาดใจ
“คืออะไร? คืออะไร? ท่านพี่ ให้ข้าดูบ้าง” เด็กชายผิวคล้ำพุ่งออกมาจากในห้องด้านข้าง รีบเร่งดันคนด้านข้างออกแล้วชะโงกศีรษะสำรวจดู "ว้าว งู เย็นนี้มีเนื้องูทานแล้ว"
“ผิงซุ่น ยืนดีๆ ก่อน ไม่เห็นพี่สามของเ้ากับผิงอันหรือ? ทำไมไม่ทักทายคนก่อนเล่า?” หวังซื่อร้องเรียกแล้วตีหน้าดุมองหลานชายคนโต
“เอ่อ ท่านย่า ข้าเพียงสนใจแต่จะดูงูก่อนจึงหลงลืมไป” หูผิงซุ่นเกาศีรษะแล้วยื่นหน้าออกมาหัวเราะ “แหะ แฮ่” เล็กน้อย “พี่สาม ผิงอัน”
“อื้ม ผิงซุ่น อยากทานเนื้อแล้วล่ะสิ” เจินจูเม้มปากยิ้ม มองผิงซุ่นอย่างหยอกล้อ
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ครอบครัวเราไม่ได้ทานเนื้อมานาน ข้าอยากทานจะตายแล้ว” ผิงซุ่นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนกล่าว
บนใบหน้าหวังซื่ออดตีหน้าดุไม่ได้ ใบหน้าเคร่งเครียดตำหนิว่า “เ้าหิวแล้วได้อย่างไร ไม่กี่วันก่อนท่านยายเ้ามาบ้านก็เพิ่งฆ่าไก่ไป ไม่ได้ทานเนื้อได้อย่างไรกัน ไร้ยางอายได้อย่างหน้าด้านๆ จริงๆ ”
ผิงซุ่นถูกดุว่าจนตัวหด ในปากพึมพำ “จริงด้วย ตอนท่านยายมาก็เพิ่งฆ่าไก่ไป เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนผ่านมานานแล้วนะ”
เจินจูมองด้วยความเ็ปใจและขบขัน ดูท่าผิงซุ่นผู้นี้เป็เด็กชอบทานคนหนึ่ง เด็กที่ทำงานไม่เป็เอาแต่ทานนั่นนี่อย่างเดียวอาจทำให้บ้านตนเองจนได้ วัยเช่นนี้ร่างกายกำลังเติบโต ทุกวันได้ทานแต่ผักกวางตุ้ง หัวไชเท้า ถั่ว ฟักทอง จะไม่อยากทานเนื้อได้หรือ
แจ้งวัตถุประสงค์ในการมาของพวกนางให้แก่หวังซื่อทราบแล้ว ก็ถือโอกาสเอาเห็ดในมือส่งไปด้วย หวังซื่อไม่ได้บ่ายเบี่ยง นางรู้ว่าลูกสะใภ้รองขี้ขลาดไม่กล้าจัดการและเอาใจใส่
“ให้ข้าจัดการเอง เจินจูพวกเ้าเข้ามาด้านในพูดคุยกับท่านปู่ก่อน ข้าเอาของนี่ไปจัดการ ประเดี๋ยวให้พวกเ้ายกกลับไปด้วย” กล่าวจบก็ยกตะกร้าไม้เข้าไปในห้องครัว ชุ่ยจูก็ตามเข้าไปช่วยด้วย
“พี่สาม ท่านเก่งกาจขนาดนี้เชียว? กล้าจับงูด้วยหรือ?” ผิงซุ่นนำทางพวกนางเข้าไปในบ้านและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น มองพี่สามของเขาที่เมื่อก่อนตัวผอม ร่างเล็ก ไม่ชอบพูดชอบจา คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าหาญขึ้นมาก
“บังเอิญน่ะ ผิงซุ่น เ้าอย่าได้วิ่งออกไปจับงูเพียงเพราะอยากทานนะ งูมากมายล้วนมีพิษ โดนฉกเข้าอาจถึงแก่ชีวิตได้ รู้หรือไม่?” เจินจูกลัวจริงๆ ว่าเ้าเด็กนี่เพื่อให้ได้ทานเนื้อแล้วจะวิ่งไปจับงูโดยไม่ห่วงอันตราย
“อื้อ ทราบแล้ว ข้าไม่กล้าจับมันหรอก” ผิงซุ่นเบะปาก เขากลัวสัตว์จำพวกผิวลื่นๆ เย็นๆ นัก
“ท่านปู่ พี่สามกับผิงอันมาหาขอรับ” หลังผิงซุ่นะโเข้าไปด้านในเสียงหนึ่ง จึงวิ่งไปห้องครัวดูงูที่ตายแล้วต่อ
“อื้ม เข้ามาสิ” เสียงทุ้มแหบดังออกมา
ท่านปู่หูเฉวียนฝูสกุลหูมีจอนผมสีดอกเลานั่งอยู่บนเตียงในห้อง ขาและเท้าที่เคยได้รับาเ็มาหลายปีก่อน พอวันนี้อากาศเย็นลงความสามารถในการเดินก็ไม่คล่องแคล่วแล้ว เวลาส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงนั่งอยู่บนเตียง ถักสิ่งของจำพวกตะกร้าไผ่สาน ปุ้งกี๋ รอพวกบุตรชายคนโตกลับมาแล้วเอาไปขาย สามารถเสริมรายได้ส่วนที่ขาดของครอบครัวได้ ยามนี้ในมือเขากำลังถือตอกไม้ไผ่สำหรับถักตะกร้าไผ่สาน สานด้วยวิธีการช่ำชอง
“ท่านปู่!” ผิงอันนั่งลงริมขอบเตียงดูเขาถักตะกร้า นับได้ว่าเด็กน้อยใกล้ชิดกับชายชราหูนัก เพราะไปๆ มาๆ อยู่สองบ้านนี้บ่อย
“ท่านปู่ ขาของท่านเป็อย่างไรบ้าง?” เจินจูถามอย่างเอาใจใส่
หูเฉวียนฝูเงยหน้ามองเจินจูหนึ่งที คิดประหลาดใจอยู่เล็กน้อย จากเด็กไม่ชอบพูดคนนี้ ตอนนี้รู้จักเป็ห่วงคนแล้ว จึงตอบกลับไป “ไม่เป็ไรแล้ว ปู่แค่เป็โรคคนชรา เจินจู เ้าาเ็ ปู่ไม่ได้ไปเยี่ยมเ้าบ้างเลย แผลเ้าหายดีแล้วหรือ?”
“อื้ม แค่กระแทกเล็กน้อยเ้าค่ะ ข้าหายนานแล้ว ท่านปู่อย่าได้กังวลใจ” เจินจูอดกลั้นอาการแสบจมูกตอบกลับไป ชายชราหลังค่อม ขางอ สองมือหยาบ ิักระด้างไปหมด กลับทำงานในมือไม่หยุดพักสักเพียงนิด
เชิงอรรถ
[1] 炕 เป็เตียงที่สามารถนั่งและนอน ก่อด้วยอิฐของชาวจีนภาคเหนือ ข้างใต้มีช่องที่สามารถสุมไฟให้ความอุ่น
[2] กล่าวสามว่าสี่ หมายถึง วิจารณ์คนอื่นในทางลบ หรือวิจารณ์ผู้อื่นมั่วๆ