เจ็ดสิบปี เช่นนั้นก่วงฉือไต้ซือควรจะมีอายุเท่าใดเล่า? แปดสิบ? เก้าสิบ? หรือมากกว่านั้น? หลี่ลั่วคิดมาโดยตลอดว่าเขาน่าจะมีอายุราวห้าถึงหกสิบปีเท่านั้น ผู้ออกบวช...มักดูแลตัวเองอย่างดี
คำพูดล้อเล่น สำหรับผู้ออกบวชทุกอย่างล้วนว่างเปล่า ดังนั้นจึงอายุยืนกระมัง
“ลวี่ผิงและหยวนโม่อยู่ที่นี่ตระเตรียมข้าวของ องครักษ์เฝ้าอยู่ในเรือน ฉางเฉิงและซินเป่าตามข้าไปเดินรอบๆ” หลี่ลั่วสั่งการ
“เ้าค่ะ”
“ขอรับ”
“ไป พวกเราไปทักทายอาจารย์เสียหน่อย”
“อาจารย์อา ยามนี้อาจารย์ใหญ่กำลังนั่งสมาธิอยู่ขอรับ เกรงว่าคงต้องรอหนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่สู้ศิษย์พาท่านเดินรอบๆ วัดดีหรือไม่?” สามเณรน้อยเสนอความคิดเห็น
“หากเป็เช่นนี้ไม่ต้องแล้ว พวกเราเดินกันเองได้ ในวัดมีสถานที่ที่ห้ามเข้าหรือไม่?” หลี่ลั่วถาม
สามเณรน้อยยิ้มแล้วส่ายหน้า “ประตูของวัดนั้นเดินไปสู่อีกทางหนึ่ง ในวัดไม่มีสถานที่ที่ห้ามเข้า แต่...ด้านหลังมีเรือนพักอยู่ ที่นั่นเป็ที่พักของแขกหญิง เข้าไปไม่ได้”
“ข้าเข้าใจ เ้าไปทำงานเถิด”
“ขอรับ เช่นนั้นศิษย์ขอตัวก่อน”
ที่จริงแล้วในวัดก็ไม่มีสถานที่อันใดให้เดินได้ ทุกคนมาวัดเพื่อสงบจิตใจ อย่างมากก็ภาวนาขอพร “ไป พวกเราไปปีนเขากันดีกว่า” หลี่ลั่วชี้ไปที่ศาลาที่อยู่สูงขึ้นไปตรงนั้น
ลูกั์ตาของซินเป่าแทบจะพลัดตกลงมา “โหวเหฺย ท่านไหวหรือขอรับ?” ไม่ใช่ว่าเขาประเมินโหวเหฺยต่ำ แต่ด้วยสภาพร่างกายของโหวเหฺย แน่ใจแล้วหรือที่จะปีนขึ้นไป?
หลี่ลั่วหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “ข้าไม่ใช่ยังมีฉางเฉิงหรอกหรือ? พวกเราสองคนเป็หนึ่งกลุ่ม เ้าหนึ่งกลุ่ม ดูซิว่าใครจะเร็วกว่ากัน”
“ท่านโปรดละเว้นข้าเถิด ข้าจะไปกล้าแข่งกับพี่ฉางเฉิงได้อย่างไร” ซินเป่ายอมแพ้เลยดีกว่า
“ช่างไม่มีความเข้มแข็งเอาเสียเลย” หลี่ลั่วกล่าว “ฝึกยุทธ์มาห้าเดือนนี้เ้าเรียนอย่างไร้ประโยชน์หรือไร?”
“นั่นเพียงแค่นั่งท่านั่งม้าเท่านั้นมิใช่หรือขอรับ?” ซินเป่าตอบ “ข้ายังห่างไกลจากคมดาบคมกระบี่ฟันแทงไม่เข้าอีกไกลนะขอรับ”
“โอ้ ช่างเข้มแข็งนัก ยังคิดจะฟันแทงไม่เข้า” หลี่ลั่วหัวเราะ รู้สึกว่าซินเป่าช่างกะล่อนไหลลื่นอย่างกับปลาไหล ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
อากาศในเดือนสิบเย็นสบาย แม้จะมีความแห้งแล้งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทนไม่ได้เหมือนในยามอุณหภูมิระดับปานกลาง ดังนั้นสำหรับการปีนเขานั้นนับเป็เวลาที่ดียิ่ง เพียงแต่เมื่อปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางทั้งสามคนก็ต่างหยุดฝีก้าวเพราะเห็นเหตุการณ์ที่ด้านล่างตีนเขา มีชายหนุ่มหลายคนกำลังล้อมหญิงสาวสามคน สองคนแต่งกายเหมือนคุณหนู ส่วนอีกคนหนึ่งแต่งกายเหมือนสาวใช้ หลังจากนั้นพวกนางก็ทะเลาะกับชายหนุ่มพวกนั้น ต่อมาหญิงสาวหนึ่งในนั้นวิ่งหนีเข้าไปในป่า ชายหนุ่มอีกหลายคนวิ่งตามไป คุณหนูและสาวใช้ที่เหลืออยู่ดึงกันไปดึงกันมาอยู่ครู่หนึ่งก็จากไป
“โหว...โหวเหฺย พวกเขาจะทำอันใดหรือขอรับ?” ซินเป่ามีสีหน้าวิตกกังวล “ไม่ใช่คิดจะทำ...ทำเื่พรรค์นั้นในป่าหรอกกระมัง?” พูดไป หน้าก็แดงไปด้วย
อย่าว่าแต่ซินเป่า หลี่ฉางเฉิงเองก็หน้าแดงเช่นกัน
“เ้านี่อายุยังน้อย รู้เื่พรรค์นั้นแล้วหรือ?” หลี่ลั่วถาม “ไปเถิด”
“ไป? ไปไหนหรือขอรับ? ไปช่วยแม่นางผู้นั้นหรือ?” ซินเป่าตื่นเต้นเล็กน้อย แม้จะมีอายุเพียงสิบสองปี แต่เขาก็เป็ชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยากเป็ผู้กล้าช่วยหญิงงามเหมือนกัน
“รอให้เ้าไปช่วยแม่นาง พวกเขาก็ได้ทำเื่ไม่ดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปเถิด พวกเราปีนเขาต่อ” หลี่ลั่วกล่าว
“หา? ปีนเขาต่อหรือ?” ซินเป่ามองระยะห่างระหว่างจุดที่พวกเขาปีนเขาและตีนเขา ไกลอยู่บ้าง เช่น...เช่นนั้นแม่นางพวกนั้นไม่ย่ำแย่หรอกหรือ? ซินเป่าทุกข์ใจนัก
หลี่ฉางเฉิงรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่หากว่ากันตามนิสัยของเสี่ยวโหวเหฺยแล้ว ต่อให้คิดว่าพวกเขาลงไปช่วยไม่ทัน ก็คงไม่กระทำการปล่อยปละละเลยไม่สนใจเช่นนี้ แล้วด้วยเหตุอันใดกันเล่า? “เสี่ยวโหวเหฺยขอรับ?” หลี่ฉางเฉิงถามด้วยความไม่เข้าใจ
หลี่ลั่วหัวเราะเสียงเบา “พวกเขาไม่ใช่ยังมีหญิงสาวอีกสองคนแยกออกไปหรือ? อาจจะไปเรียกคนมาช่วยแล้ว แน่นอนว่าเร็วกว่าพวกเราลงไปเป็แน่ และที่นี่คือวัดก่วงเปย ไม่มีผู้ใดกระทำเื่พรรค์นั้นในวัดก่วงเปยดอก คาดว่าพวกเขากำลังเกี้ยวพานกัน แล้วดูการแต่งกายเสื้อผ้าอาภรณ์ของแม่นางนั้น น่าจะเป็คุณหนูจากสกุลมั่งคั่ง ไฉนเลยจะออกจากบ้านมาเพียงสามคนเล่า? ซินเป่าคิดมากเกินไปแล้ว ทำการใดต้องสังเกตอย่างละเอียด ดูสถานการณ์ให้รอบคอบ”
ฟังหลี่ลั่วพูดเช่นนี้แล้ว ซินเป่ากระจ่างแจ้งทันที “เสี่ยวโหวเหฺยฉลาดเฉลียวยิ่งนัก บ่าวคิดไม่ถึงเลยขอรับ”
“หากเ้าฉลาดเฉลียวกว่าข้า ตำแหน่งเสี่ยวโหวเหฺยนี้คงต้องยกให้เ้าแล้ว ข้าไหนเลยจะมาเป็นายของเ้าได้?”
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น หลี่ลั่วพาหลี่ฉางเฉิงและซินเป่ากลับมาถึงในเรือน
“โหวเหฺย เมื่อสักครู่สามเณรน้อยมาแล้วรอบหนึ่งเ้าค่ะ บอกว่ารอให้ท่านกลับมา อาจารย์ใหญ่รอให้ท่านไปกินข้าวด้วยกันเ้าค่ะ” ลวี่ผิงรายงาน
“อือ อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์”
นี่เป็การพบก่วงฉือไต้ซือครั้งที่สองของหลี่ลั่ว ทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเมื่อวาน แต่กลับรู้สึกว่านานมาก หลี่ลั่วเดินตามสามเณรน้อยเข้ามาถึงห้องของก่วงฉือไต้ซือ เขากำลังอ่านหนังสือธรรมะ เมื่อเห็นว่าหลี่ลั่วมาแล้ว จึงยิ้มรับอย่างมีเมตตา
“ศิษย์คารวะอาจารย์” หลี่ลั่วกล่าว
“มาได้เวลาพอดี ไม่รู้ว่าเ้าจะกินอาหารเจของวัดได้เคยชินหรือไม่” ก่วงฉือไต้ซือสวมเสื้อคลุมจีวรสีขาว แตกต่างจากเมื่อวานเล็กน้อย เมื่อวานนั้นคือเป็พระภิกษุผู้สูงศักดิ์รูปหนึ่ง แต่วันนี้ดูเหมือนพระที่เดินอยู่ตามริมทาง ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง
“เคยชินขอรับ ที่บ้านข้ากินอาหารเจทุกวันที่หนึ่งและสิบห้า” และในยุคปัจจุบัน ผักบางชนิดราคายังแพงกว่าเนื้อปลาเสียอีก “อาจารย์ ท่านกินเนื้อ ดื่มสุรา ไหมขอรับ?”
ก่วงฉือไต้ซือถูกเขาถามจนตะลึง จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “ไฉนจึงคิดถึงเื่นี้เล่า?”
“มีคำกล่าวว่า ถึงแม้จะดื่มเหล้า กินเนื้อสัตว์ แต่พระอยู่ในใจ อาจารย์เป็อาจารย์ใหญ่ในยุค อาจารย์คิดว่าคำพูดประโยคนี้ถูกต้องหรือไม่?” หลี่ลั่วถาม
ก่วงฉือไต้ซือครุ่นคิด “ถูกหรือผิดไม่ได้อยู่ในคำพูดประโยคนี้ แต่อยู่ที่ใจคน การบำเพ็ญภาวนาก็ไม่ได้อยู่ที่อาหารเจหรืออาหารเนื้อสัตว์ แต่เป็จิตใจของมนุษย์เรา หัวใจของคนเรานั้นเป็ความจริงที่สำคัญที่สุด กินอะไรล้วนไม่สำคัญ สำหรับผู้ออกบวชบางท่านแล้วนั้น นี่เป็คำพูดที่ใช้เป็ข้ออ้าง แต่สำหรับผู้ออกบวชอีกหลายคนแล้วนั้น มีพระพุทธเ้าอยู่ในใจจริงๆ ดังนั้นสำคัญอยู่ที่ใจ”
หลี่ลั่วฟังแล้ว กระจ่างแจ้งทันที
“เ้าอายุยังน้อย แต่รากแห่งการรู้แจ้งนั้นลึกล้ำยิ่งนัก” ก่วงฉือไต้ซือกล่าวอีกว่า “อาตมาเดินทางมาตลอดชีวิต ไม่กล้าพูดว่าความรู้กว้างขวาง แต่ที่ได้พบได้เห็นมานั้นไม่น้อย เ้าเป็คนแรกที่ทำให้อาตมารู้สึกว่าเป็เด็กที่มีวาสนาต่อพระพุทธศาสนา ดวงตาทั้งคู่ของเ้ากระจ่างใส เข้าใจถูกผิด ตำแหน่งเทียนถิง[1]บนใบหน้าของเ้าอิ่มเต็ม นั่นแสดงว่าเป็ผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ เพียงแต่...เ้ามีดวงชะตาหงส์ ดังนั้นออกบวชไม่ได้ แต่ได้มาปฏิบัติธรรมโดยไม่ปลงผมก็ดียิ่งแล้ว”
“ดวงชะตาหงส์รึ? ดวงชะตาหงส์อันใดหรือขอรับ?” หลี่ลั่วครุ่นคิด “หงส์คือมารดาของแผ่นดิน อาจารย์คิดจะพูดเื่นี้หรือ?”
“ฉลาดเฉลียวดังคาด มองได้แจ่มแจ้ง คาดเดาได้แจ่มแจ้ง กลับไม่ถูกผูกติด” ก่วงฉือไต้ซือพูดจาตรงไปตรงมา “่ก่อนเ้าถูกลักพาตัว ฝ่าากังวลเื่ความปลอดภัยของเ้า ดังนั้นจึงมาขอให้อาตมาคำนวณดวงชะตาให้เ้า อาตมาคำนวณออกมาได้ว่าเ้าและฉีอ๋องนั้นเป็ชะตาัและหงส์ เป็คู่ที่ฟ้ากำหนด และด้วยเื่นี้ฝ่าาจึงพระราชทานสมรสให้แก่พวกเ้า”
“ฝ่าาคิดจะมอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้ท่านพี่ฉีอ๋องหรือ?” หลี่ลั่วตกตะลึงพรึงเพริด ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ฝ่าาพระราชทานสมรสให้เขาและฉีอ๋อง แต่ด้วยเหตุผลที่ฮ่องเต้ได้แสดงออกถึงความคิดนี้ของตนออกมา
“เมื่อครั้งฉีอ๋องกำเนิดนั้น อาจารย์ของข้า ก่วงเปยไต้ซือเป็ผู้ตั้งชื่อด้วยอักษร เฉิน คำว่าเฉินหมายถึงั วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของเขา เป็ดวงชะตาของฮ่องเต้ เื่นี้ไท่จื่อเยี่ยนและฝ่าาต่างก็รู้” ก่วงฉือไต้ซือไม่ได้ทำราวกับว่าหลี่ลั่วเป็เด็กอายุห้าขวบแม้แต่น้อย อาจจะเป็เพราะในสายตาของผู้ออกบวช ไม่ว่าผู้ใดก็เสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ด้วยเหตุที่อีกฝ่ายอายุยังน้อย จึงปฏิบัติแตกต่าง
ดังนั้น หากไท่จื่อเยี่ยนไม่ได้ต เป็ไปได้อย่างมากว่ากู้จวิ้นเฉินก็คือไท่จื่อคนต่อไป จ้าวหนิงฮ่องเต้และไท่จื่อเยี่ยนนั้นความสัมพันธ์พี่น้องแน่นแฟ้น ดังนั้นหากปฏิบัติตามความปรารถนาของไท่จื่อเยี่ยน ก็คือจ้าวหนิงฮ่องเต้จะต้องแต่งตั้งให้กู้จวิ้นเฉินเป็องค์รัชทายาทหรือ?
แต่ถ้ากู้จวิ้นเฉินเป็องค์รัชทายาท เช่นนั้นตนเองเล่า? หากกู้จวิ้นเฉินเป็เพียงท่านอ๋องคนหนึ่ง เขาเป็พระชายาชายก็ไม่เป็ไร แต่หากเป็มารดาของแผ่นดิน จะเป็ผู้ชายได้หรือไร?
ต่อให้กู้จวิ้นเฉินไม่รังเกียจ แล้วขุนนางนับร้อยในราชสำนัก ปากของผู้คนในใต้หล้า เขาจะอุดปากพวกเขาไว้ได้หรือ?
ใจของเขาพลันเคว้งคว้าง
“ไม่ต้องคิดให้ละเอียดเกินไปกับทุกๆ เื่” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว “เ้าเป็คนละเอียดละออคนหนึ่ง แต่ก็ต้องรู้จักทำตามใจปรารถนา เป็ไปตามธรรมชาติ ทั้งหมด...เป็ชะตากรรม”
“เป็ชะตากรรมหรือ? ปีนี้ั้แ่ก่อนเดือนห้า ข้าล้วนไม่รู้ว่าข้ามีชะตาชีวิตเช่นนี้” หลี่ลั่วกล่าว
เดือนห้าหรือ? ก่วงฉือไต้ซือหรี่ตาลง “เดือนห้าเกิดเื่อันใดขึ้นหรือไม่?”
“ไฉนอาจารย์จึงถามเช่นนี้เล่าขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว
“เมื่อฝ่าาขอให้อาตมาคำนวณดวงชะตาให้เ้านั้น อาตมาคำนวณออกมาได้ว่าร่างของเ้ามีสองชีวิต” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว
หัวใจของหลี่ลั่วบีบรัด มือที่ถือตะเกียบสั่นสะท้านหลายครั้ง เวลานี้เอง ก่วงฉือไต้ซือวางตะเกียบลง แล้วใช้มือของตนเองกุมมือของหลี่ลั่วเอาไว้ มือของก่วงฉือไต้ซือหยาบกร้านเล็กน้อย นี่คือมือของคนชราคู่หนึ่ง ทว่ามันกลับอบอุ่นยิ่งนัก “อาจารย์?”
“ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ล้วนมีเหตุและผลของตน ไม่ต้องตื่นเต้น และไม่ต้องคิดมากเกินไป หนึ่งเดือนนี้สวดมนต์ภาวนากับอาจารย์ หลังหนึ่งเดือน ให้นำศพของอาจารย์ไปเผา อัฐินำไปหลังูเาฝังรวมกับอาจารย์ลุงของเ้า” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว
“ขอรับ ศิษย์จะปฏิบัติตาม”
กินอาหารเจมื้อค่ำแล้ว หลี่ลั่วจึงหยิบสร้อยประคำพระยูไลออกมา “นี่คือของขวัญจากแคว้นเสียงอวิ๋นที่นักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวมอบให้ฝ่าาในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ ฝ่าาตรัสว่าสร้อยประคำของท่านยกให้ศิษย์แล้ว ให้นำสร้อยประคำสายนี้มามอบให้ท่าน”
“สร้อยประคำพระยูไล” ก่วงฉือไต้ซือรับไป “อาตมาได้ยินเื่ของศักดิ์สิทธิ์เช่นสร้อยประคำพระยูไลมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ก่อนตาย ช่างเป็เกียรติจริงๆ” ลูกคำประคำทำจากไม้แดงจำนวนเก้าสิบเก้าเม็ด เรียบง่าย ทว่างดงาม
หลี่ลั่วคุกเข่าลงกับพื้นดังตุบ “อาจารย์ ศิษย์ยังมีคำขอร้องอีกเื่หนึ่งขอรับ”
“นี่เ้าจะทำอันใด? มีเื่อันใดให้ลุกขึ้นขึ้นมาพูดก็พอแล้ว” ก่วงฉือไต้ซือรีบประคองเขาขึ้นมา
“นี่คือสร้อยประคำที่ฝ่าามอบให้กับอาจารย์ ที่จริงแล้วศิษย์ไม่ควรมีใจเป็อื่น แต่สร้อยประคำสายนี้เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของศิษย์ ขออาจารย์โปรดส่งเสริมศิษย์ รอจนศิษย์คลี่คลายปริศนาของชาติกำเนิดแล้ว จะนำสร้อยประคำนี้มาคืนให้กับอาจารย์” หลี่ลั่วกล่าว
ก่วงฉือไต้ซือส่ายหน้าแล้วยิ้ม “สร้อยประคำนี้สำหรับข้าที่กำลังจะตายนั้นเป็เพียงสิ่งที่เหลือไว้ ในเมื่อมีความเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของเ้า อาจารย์จะไม่ส่งเสริมเ้าได้อย่างไรเล่า? แต่ชาติกำเนิดของเ้ามีอันใดหรือ? เ้าไม่ใช่บุตรชายของหลี่ซวี่จงหย่งโหวหรือไร?”
พูดถึงเื่นี้ หลี่ลั่วจึงเริ่มสืบถาม “อาจารย์เคยได้ยินเื่ ‘เผ่ากู่ลั่ว’ หรือไม่ขอรับ?”
ก่วงฉือไต้ซือพยักหน้า “เคยได้ยินเื่เผ่ากู่ลั่ว ได้ยินมาว่าเป็ลูกหลานรุ่นหลังของเทพเซียนโบราณ แต่เป็เพียงตำนานเทพเท่านั้น ไม่มีจริง แต่ข้ายังได้ยินมาอีกว่า ระหว่างชายแดนซีเป่ยแคว้นของเราและแคว้นฝูชิวมีแม่น้ำสายหนึ่งถูกเรียกว่า ‘กู่ลั่วเหอ’ ที่นั่นมีชาวบ้านของเผ่ากู่ลั่วอาศัยอยู่ แต่เวลานี้ระหว่างชายแดนซีเป่ยและฝูชิวไม่มีแม่น้ำสายนั้นแล้ว ดังนั้น จะจริงหรือจะเท็จยังคงเป็ปริศนาไปตลอดกาล”
[1] ตำแหน่งเทียนถิง (天庭) คือ บริเวณั้แ่คิ้วไปจนถึงไรผม หรือบริเวณหน้าผากทั้งหมด