แม่จะเสียใจมากแค่ไหน ถ้ารู้ว่าพ่อใจร้อนแต่งงานกับคนอื่นทันทีหลังจากที่แม่จากไป!
"แต่ก็มี..."
“เช่นนั้นก็คงมีน้อยมาก” หลินกู๋หยู่หยุดชะงักชั่วคราว มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “อยู่คนเดียวย่อมดีกว่า ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระปราศจากความวิตกกังวล”
ลู่จื่อยู่จ้องมองที่หลินกู๋หยู่อย่างว่างเปล่า เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กระนั้นก็ไม่ได้พูดออกมา
เขามีความรู้สึกดีต่อหลินกู๋หยู่อยู่บ้าง แต่ด้วยสถานะของนาง หากแต่งงานกับเขา นางอยู่ได้ในฐานะอนุเท่านั้น ภรรยาของเขาจะต้องได้รับการคัดเลือกจากผู้าุโของตระกูล โดยเป็บุตรสาวจากครอบครัวที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงเทียบเท่ากัน
ลู่จื่อยู่เดินตามหลังหลินกู๋หยู่อย่างเงียบๆ
หลังจากตรวจเยี่ยมผู้ป่วยทุกคนในหมู่บ้านเสร็จแล้วก็เตรียมพร้อมที่จะกลับบ้าน
เมื่อหลินกู๋หยู่กลับถึงบ้าน นางก็เห็นว่าฉือหางได้เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว
หลินกู๋หยู่มองใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าผักสีดำในจานคือถั่วฝักยาว
นอกจากนี้ยังมีไข่ผัดกับพริกหยวกหนืดๆ ไข่ดูเหมือนยังไม่สุกดี นอกจากนี้ไข่แดงยังมีน้ำมันเยิ้มอีกด้วย
"ข้าต้มบะหมี่แล้ว" ฉือหางตักบะหมี่ลงในชามสามชามอย่างเป็ธรรมชาติ ก่อนจะนำไปวางบนโต๊ะ
หลินกู๋หยู่ ฉือหางและลู่จื่อยู่นั่งเรียงกันตามลำดับ ฉือหางแบ่งตะเกียบให้คนสองคนอย่างสบายๆ
เมื่อเห็นอาหารเหล่านี้ หลินกู๋หยู่ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย อาหารตรงหน้าสีสันค่อนข้างน่ากลัว เมื่อยกตะเกียบขึ้น นางไม่รู้ว่าจะเริ่มคีบจากตรงไหนก่อนดี
ลู่จื่อยู่มองไปที่อาหารบนโต๊ะ จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก โดยไม่แม้แต่จะหยิบตะเกียบ
ฉือหางเฝ้าดูลู่จื่อยู่ออกไปด้วยความงุนงง เขามองไปที่หลินกู๋หยู่ที่อยู่ข้างๆ เขาอย่างสงสัย "เขาไม่หิวหรือ?"
“เขาอาจจะนำอาหารมาเอง พวกเรากินกันเถอะ” หลินกู๋หยู่กล่าวขณะคีบบะหมี่ขึ้นมาแล้วเริ่มทาน
บะหมี่ต้มสุก แต่ว่าเป็การต้มที่สุกจนเกินไปเล็กน้อย ทั้งชามดูเหมือนแป้งหนืดเสียมากกว่า
บะหมี่นั้นได้ใส่เกลือและน้ำส้มสายชูแล้ว กินเข้าไปถือว่ารสชาติปกติ ไม่มีความรู้สึกอื่น
ทว่าหลังจากทานถั่วฝักยาวเข้าไปหนึ่งคำ คิ้วของเด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดเป็ปม จากนั้นก็คลี่ออกด้วยความทรมาน
ดูเหมือนว่านี่จะเป็อาหารของผู้เริ่มทำอาหารสินะ คงจะดีกว่านี้หากไม่ปรุงอะไรเลย ต้มถั่วฝักยาวใส่แค่เกลือลงไปรสชาติยังดีกว่านี้มาก
ในส่วนของไข่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางไม่สามารถคีบมันขึ้นมาได้ เมื่อเห็นไข่เหนียวหนืดเช่นนั้นก็ทอดถอนหายใจในใจอย่างจนปัญญา
ฉือหางนั่งอยู่ข้างๆ ทานบะหมี่เงียบๆ เขาคีบผักดองมาทานคำเป็ครั้งคราว
ลู่จื่อยู่พลันนำคนสองสามคนเข้ามา คนเ่าั้เดินเข้ามาพร้อมจานอาหาร อาหารในจานนอกจากจะมีสีที่ชวนน่ารับประทานแล้ว ยังส่งกลิ่นหอมกำจายอีกด้วย พวกเขาวางจานอาหารเ่าั้ลงบนโต๊ะทีละคน "นี่คืออาหารที่คนงานเตรียมไว้ให้ ทานกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ ลู่จื่อยู่ก็นั่งลงอย่างสบายๆ หยิบชามข้าวขึ้นมา หยิบตะเกียบอย่างสง่างามแล้วเริ่มทานอาหาร
ฉือหางมองไปที่อาหารที่ลู่จื่อยู่นำมา จากนั้นมองอาหารสองจานที่ตนเองทำ
ในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก อาหารที่เขาทำนั้นแย่กว่ามาก
และเมื่อดมกลิ่น ก็ดูเหมือนกลิ่นอาหารที่เขาทำนั้นแย่กว่าเช่นกัน
"ไม่จำเป็แล้ว" หลินกู๋หยู่เห็นว่าการแสดงออกทางสีหน้าของฉือหางไม่ดีนัก นางจึงคีบถั่วฝักยาวขึ้นมากินต่อไปตามปกติ แสร้งทำเป็ว่าอร่อย "ข้าคิดว่ารสชาติไม่เลวเลย"
การแสดงออกทางสีหน้าของลู่จื่อยู่เปลี่ยนไป เขาคีบถั่วฝักยาวที่ฉือหางผัดด้วยตัวเองมาชิม จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา คายถั่วฝักยาวผัดลงบนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเขาก็ทานอาหารต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินกู๋หยู่มองดูฉือหางที่ทานแต่ผักดองและไม่กินกับข้าวอื่นๆ จึงคีบไข่เหนียวหนืดใส่ชามของเขา
ไข่แม้ไม่สุกแต่ก็ยังสามารถทานได้ พริกหยวกดิบก็สามารถทานได้เช่นกัน
เที่ยงวันของวันต่อมา หลินกู๋หยู่กลับมาก่อนเวลาเพื่อทำอาหารด้วยตัวเอง
นางไม่กล้าที่จะบอกฉือหางว่าอาหารที่เขาปรุงนั้นรสชาติไม่อร่อย ดังนั้นนางจึงได้แต่ทำงานให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้กลับมาเตรียมอาหาร
เวลาสิบวันผ่านไปในพริบตา
ภายใต้การรักษาของหลินกู๋หยู่ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเกือบจะหายดีแล้ว มีคนชราสองคนที่ต่อสู้กับโรคไม่ไหว เสียชีวิตไปแล้ว
เช่นเดียวกับผ้าห่มที่ผู้ที่เป็โรคฝีดาษเคยใช้ สิ่งของเครื่องใช้ของผู้คนที่เสียชีวิตจะถูกเผาทั้งหมด ภายใต้การกำชับของหลินกู๋หยู่
เดิมทียังมีหลายคนที่ไม่้าเผามัน เนื่องจากพวกเขาต้องเสียเงินเป็จำนวนมากในการซื้อผ้าฝ้ายมาทำผ้านวมเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาหวาดกลัวความตายมากกว่า พวกเขาส่วนใหญ่รอดจากไข้ทรพิษในครั้งนี้ก็เนื่องจากได้รับการช่วยเหลือจากหลินกู๋หยู่
ใครจะอยากนอนป่วยบนเตียงแล้วรอให้คนอื่นมาปรนนิบัติ?
สุดท้ายแล้วทั้งหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยไอร้อนของเปลวไฟ แสงไฟจากการเผาข้าวของเครื่องใช้ สว่างขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากเผาข้าวของเครื่องใช้เ่าั้ทั้งหมดก็เป็เวลากลางคืนแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ตามฉือหางกลับบ้าน
"พวกเราต้มน้ำเล็กน้อย อีกสักพักอาบน้ำแล้วเข้านอนกันเถอะ" หลินกู๋หยู่กล่าว ก้มลงไปหยิบฟืนจากด้านข้าง "เ้าไปเอาน้ำมา"
"อืม"
ฉือหางลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก หยิบน้ำหนึ่งถังเข้ามา เขายกมาโดยไม่รู้สึกลำบากใดๆ
ร่างกายของเขาดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้สึกอึดอัดทรมานอีกต่อไป
ฉือหางยกถังขึ้นมาเทน้ำลงในหม้อ
ในขณะที่หลินกู๋หยู่กำลังเติมฟืนลงในเตา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ดึกมากแล้ว จะมีใครมาอีก?
"ข้าจะไปดูให้" ฉือหางพูดแล้วก็เดินออกไปด้านนอก
"ท่านแม่!"
หลินกู๋หยู่เพิ่งเสร็จจากการเติมฟืน เมื่อนางกำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ ก็มีก้อนนุ่มๆ บางอย่างพุ่งเข้ามาใส่ร่างของนาง
“ท่านแม่” โต้ซาเงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ด้วยดวงตาทั้งสองข้างที่เปียกปอนคล้ายลูกสุนัข มองหลินกู๋หยู่จากปลายเท้าจรดศีรษะอย่างอ่อนโยน “ท่านแม่ ข้าอยากนอนกับท่านแม่!”
ทันใดนั้น หลินกู๋หยู่ก็นึกได้ว่าเป็เวลานานแล้วที่นางไม่ได้เห็นเ้าก้อนซาลาเปา
ฉือหางเอนตัวพิงกรอบประตู มองหลินกู๋หยู่ด้วยสายตาเศร้าสร้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "พวกเ้าสองคนนอนบนเตียง ส่วนข้าจะนอนบนพื้น"
เตียงในห้องมีขนาดไม่ใหญ่มาก ปกติแค่พวกเขาสองคนนอนบนเตียงก็เกือบจะโดนตัวกันแล้ว
เมื่อเพิ่มเ้าซาลาเปาก้อนเล็กๆ อีกหนึ่งคน จึงกลายเป็เื่ยากที่จะนอนได้สามคนโดยไม่แนบชิดกัน
"อา? จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ... "
ฉือหางเดินช้าๆ เข้าไปอุ้มโต้ซาขึ้น เอื้อมมือไปแตะที่ปลายจมูกของเด็กน้อย "ดูเหมือนว่าพวกเรานอนบนเตียงด้วยกันสามคนไม่ได้"
“นอนเบียดๆ กันหน่อยก็น่าจะยังพอนอนได้อยู่” หลินกู๋หยู่พูดตะกุกตะกักเล็กน้อย
"ข้า้าท่านแม่ ข้า้าท่านแม่!" โต้ซาเห็นหลินกู๋หยู่ลุกขึ้น เขากางมือทั้งสองข้างออกจากกัน และชี้ตรงไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า หลินกู๋หยู่เอื้อมมือคว้าโต้ซาจากแขนของฉือหาง
ฉือหางยิ้ม "ตอนนี้อากาศยังร้อนมาก ข้านอนบนพื้นได้ ไม่เป็ไร อีกอย่างอาการป่วยของข้าก็ใกล้จะหายเป็ปกติแล้วด้วย"
ชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้านาง ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มประจบ สีหน้าอ่อนโยนว่านอนสอนง่าย ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสบายใจอย่างมาก
นางและฉือหางนอนบนเตียงเดียวกันเป็เวลานานแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยทำอะไรที่เกินเลยกับนาง "นอนบนเตียงด้วยกันดีกว่า"
หลินกู๋หยู่สั่งกำชับให้ฉือหางไปหาอ่างไม้ขนาดใหญ่ เทน้ำที่ต้มแล้วลงอ่างไม้เล็กน้อยและอาบน้ำให้โต้ซาก่อน
หลังจากอาบน้ำแล้วโต้ซาก็ง่วงนอนมาก เด็กน้อยขยี้ตาอย่างแรง พลันถูกหลินกู๋หยู่อุ้มขึ้นไปที่เตียง ไม่ทันไรก็ผล็อยหลับไปทันที
เมื่อรอให้โต้ซาหลับไป หลินกู๋หยู่ไปอาบน้ำเป็คนที่สอง ระหว่างห้องแยกออกจากกันด้วยการปิดผ้าหนึ่งผืน ถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปลี่ยนเป็ชุดนอนและกลับห้องไปนอน
สำหรับฉือหางแล้ว เขาอาบน้ำเร็วกว่ามาก เขาอาบด้วยน้ำเย็นก็ได้แล้ว เขายืนอยู่ในลานบ้าน เทน้ำเย็นในถังน้ำลงบนร่างกายของเขาโดยตรง หลังจากถูไถร่างกายอย่างง่ายสองสามครั้งก็ล้างออกแล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน
เมื่อเขาเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นหลินกู๋หยู่สวมเสื้อสายเดี่ยวสีขาวนั่งอยู่บนเตียง ในมือถือหนังสือที่นำมาจากน้องชายสี่ นางกำลังอ่านหนังสือ
“อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ?” หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหางปราดหนึ่ง จากนั้นวางหนังสือในมือไว้ที่อีกฝั่งของเตียง “ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูดกับเ้า”
เขาเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงอย่างเป็ธรรมชาติ โดยหันหลังให้หลินกู๋หยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ้างว้าง น้ำเสียงของเขาคลุมเครือไม่ชัดเจน "เื่อะไรหรือ?"
“ตอนนี้เ้าหายเป็ปกติแล้ว” หลินกู๋หยู่มองที่แผ่นหลังของฉือหาง นางไม่มั่นใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงเอ่ยลองเชิง “ข้าอยากจะไปจากที่นี่แล้ว”
ผ่านไปครู่ใหญ่ ยังไร้เสียงตอบกลับจากฉือหาง
และในขณะที่คิดว่าฉือหางจะไม่พูดแล้ว จู่ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายหันกลับมา เขามองนางอย่างเงียบๆ ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย "แล้ว... หลังจากที่เ้าไปจากที่นี่แล้ว เ้าจะไปที่ไหนหรือ?"
“ข้ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเื่นี้เลย” หลินกู๋หยู่ยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเื่นี้มากนัก นางพูดอย่างลังเลว่า “ข้าจะเช่าบ้านและอาศัยอยู่ในเมือง จะได้รักษาคนป่วยด้วย จะได้หาเงินเลี้ยงตัวเองได้”
สำหรับทักษะทางการแพทย์ของหลินกู๋หยู่นั้นฉือหางรู้ชัดเจนแล้ว นางสามารถพาคนที่ไปเยือนอยู่หน้าประตูนรกกลับมาได้ นั่นชี้ให้เห็นว่าความสามารถของนางนั้นไม่ธรรมดา
"เ้ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเื่นี้อย่างถี่ถ้วน อย่าออกไปในเวลานี้เลย รอให้เ้าคิดเกี่ยวกับเื่นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน แล้ว ... " ฉือหางพูดติดอ่าง แต่กระนั้นเขาก็ไม่พูดถ้อยคำที่ว่า 'ข้าจะยื่นหนังสือหย่าให้เ้า' ออกมาแต่อย่างใด "เมื่อถึงเวลานั้นค่อยหารืออีกครั้งเถอะ"
หลินกู๋หยู่ถูกเขาทำให้สับสนอย่างสมบูรณ์ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย "นั่นเป็เื่ของข้า ข้าจัดการเองได้"
ศีรษะของฉือหางก้มต่ำ มือทั้งสองของเขาจับเสื้อผ้าบนเข่าอย่างกระสับกระส่าย เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า "เ้าอยู่กับข้าไม่ได้หรือ?"
"นี่มัน" เมื่อสองสามวันก่อน ถ้อยคำที่หลินกู๋หยู่ได้พูดคุยกับลู่จื่อยู่ถึงเื่ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ภายนอกดูเหมือนจะดี แต่ภายในนั้นไม่ใช่ เวลานี้คิดไม่ถึงว่านางจะไม่สามารถพูดถ้อยคำเ่าั้ออกมาได้ "ข้าชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า"
ฉือหางยื่นมือไปจับมือของหลินกู๋หยู่ ดวงตาสีเข้มจ้องมองนาง "ข้าจะไม่คัดค้านในสิ่งที่เ้าอยากทำ ข้าแค่คิดว่า..."
แสงสะท้อนของเปลวไฟริบหรี่ บรรยากาศในยามนี้สลัวเบาบางเช่นเดียวกับหัวใจที่กระวนกระวายของฉือหาง
“ข้าจะปฏิบัติต่อเ้าอย่างดี ข้าจะรับฟังทุกสิ่งที่เ้าพูด”
เขาจับมือของนางไว้แน่น ดวงตามองไปที่เด็กสาวเต็มไปด้วยความจริงใจ
ท่าทีและสีหน้าที่อ่อนโยนทำให้หัวใจของหลินกู๋หยู่แทบจะละลายแล้ว นางไม่สามารถบอกได้ว่าเป็ความรู้สึกแบบใด ความรู้สึกอบอุ่นจากฝ่ามือแผ่ซ่านไปยังหัวใจของนาง ร่างกายของนางก็รู้สึกอบอุ่นเช่นกัน
ฉือหางใจสั่นขวัญเเขวน เขาลืมไปแล้วว่าการหายใจคืออะไร
“ข้า” หลินกู๋หยู่จ้องไปที่ฉือหางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เมื่อสายตาคู่นั้นจับจ้องมาที่นาง หัวใจของนางก็เต้นตึกตักไม่เป็จังหวะแล้ว เสียงของนางเบามาก “เราตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ราวกับหัวใจจมดิ่งตกลงสู่ก้นบึ้งของเหว สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือความขมขื่น เป็ความขมขื่นไร้ที่สิ้นสุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้