บทที่ 4 ยาเม็ดสุริยะบริสุทธิ์: รางวัลพิเศษเกินคาด!
ณ ห้องพัก
หลี่โม่เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เขายืดตัวบิดี้เี ก่อนจะเปิดหน้าต่างออก
สายลมริมแม่น้ำพัดโชยมา เบื้องหน้าคือเขาชิงเยวียน ปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาทึบ สิ่งก่อสร้างลดหลั่นกันอยู่บนนั้น ราวกับั์ใหญ่ไร้คำพูดที่กำลังทอดมองนครเบื้องล่าง
"ทิวทัศน์้าคงจะดียิ่งกว่า" หลี่โม่พึมพำ
เมื่อมาถึงภพนี้แล้ว เขาจะยอมเป็คนธรรมดาได้อย่างไรกัน?
แต่ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ เกรงว่าในการรับศิษย์ เขาคงทำได้ไม่ดีเท่าหวังหู่ด้วยซ้ำ
รูปร่างดุจพยัคฆ์เหินหาว รากฐานกระดูกชั้นเลิศ
ในบรรดาผู้ร่วมเดินทาง ถือว่าเขามีพร์โดดเด่นที่สุดแล้ว
ศิษย์ใหม่จะถูกแบ่งตามพร์ออกเป็ศิษย์ชั้นนอก ศิษย์ชั้นใน หรือกระทั่งศิษย์สายตรง โดยใช้ระบบคัดออกผู้ที่อยู่ท้ายสุด เห็นได้ชัดว่า หากมีจุดเริ่มต้นที่ดี ผู้คนที่ได้พบเจอ ก็จะมีวาสนาเสริมส่ง ผลตอบแทนจากการเกื้อหนุนก็จะยิ่งสูงขึ้น
ไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น หากเขาถูกจัดให้เป็ศิษย์ชั้นนอก อิ๋งปิงก็คงไม่ได้เจอแน่นอน
"จริงสิ ท่านพ่อบอกว่าในเมืองมีหมอที่ท่านรู้จักคนหนึ่ง ฝีมือการแพทย์ดีมาก" หลี่โม่หันกลับมาเอ่ยเสียงเบาว่า "วันนี้เราไปดูกันหน่อยดีไหม?"
"ไม่จำเป็" อิ๋งปิงจิบชาอุ่นๆ พลางส่ายหน้า
"ไปสักครั้ง ได้ทุเลาอาการบ้างก็ยังดี" หลี่โม่กล่าวอย่างจนใจ
อิ๋งปิงไม่พูด นางเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา แม้ไอร้อนจะปกคลุม แต่ก็ไม่อาจบดบังแววตาที่ลึกล้ำมีชีวิตชีวา นางมองหลี่โม่ราวกับ้ามองหาอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเขา
"ในเมื่อท่านพ่อให้เงินมา ข้าต้องไปรายงานผลท่าน"
"สำนักหมอซานหยางก็ไม่ไกล เดินเพียงสองถนนก็ถึงแล้ว" หลี่โม่กล่าว
สำนักหมอซานหยางงั้นหรือ?
อิ๋งปิงจิบชาเบาๆ ราวกับกำลังพินิจคำพูดเ่าั้ นางลดสายตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับคำ
“ก็ได้”
ยามพลบค่ำ
ในนครจื่อหยางยามพลบค่ำ แสงไฟสว่างไสว ริมแม่น้ำมีเรือบุปผาและโคมไฟ ถนนกว้างใหญ่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทั้งชนชั้นสูงที่สวมอาภรณ์แพรไหม และคนต่างถิ่นที่มองเห็นได้ในทันที
การที่สำนักชิงเยวียนเปิดรับศิษย์ใหม่สามปีครั้ง ทำให้เมืองนี้คึกคักยิ่งกว่าที่เคย ในบรรดานั้น ถนนจินหวนคึกคักที่สุด ที่นี่ค้าขายทุกสิ่งอันที่ผู้ฝึกยุทธ์พึงมี ไม่ว่าจะเป็สมุนไพร อาวุธ หรือม้า
สำนักหมอซานหยาง
"รบกวนแจ้งให้ทราบด้วย" หลี่โม่หยิบจดหมายที่บิดาเขียนด้วยลายมือออกมาจากแขนเสื้อของเขา
เด็กปรุงยาเห็นชื่อผู้รับบนจดหมาย ดวงตาของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็จริงจังในทันที
"ขอเชิญท่านทั้งสองรอสักครู่ ท่านเ้าสำนักออกไปตรวจคนไข้ คาดว่าอีกสักพักคงกลับ"
"รบกวนด้วย"
หลี่โม่และอิ๋งปิงนั่งรออยู่ในห้องโถง
ครู่ต่อมา มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
คนที่เดินเข้ามาคือชายวัยกลางคนที่ดูมอมแมมจากการเดินทาง เสื้อคลุมผ้าป่านของเขาเต็มไปด้วยรอยปะ ใบหน้าผอมบาง เคราแพรวยาวจรดหน้าอก ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา
"ท่านเ้าสำนัก!" เด็กปรุงยาหยิบจดหมายที่ยังไม่ได้แกะออก ยื่นให้
ชายวัยกลางคนดึงจดหมายออกมาอ่านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
"เ้าหลี่ต้าหลงนี่นะ ยังอุตส่าห์ระลึกถึงตาแก่อย่างข้าได้"
คิ้วของอิ๋งปิงขยับเล็กน้อย
หลี่โม่ััได้ถึงความผิดปกติ ชายผู้นี้ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของเขา ไฉนเลยจึงพูดจาราวกับผู้เฒ่ากล่าวถึงผู้น้อย?
เด็กปรุงยาที่อยู่ข้างกายกล่าวอย่างผยองว่า “อาจารย์ของข้าปีนี้เก้าสิบหกแล้วขอรับ”
“เก้าสิบหก?” หลี่โม่ถึงกับอ้าปากค้าง
ใครๆ ก็ว่าเรียนแพทย์แล้วแก่เร็ว ไฉนเลยผู้นี้กลับยิ่งเรียนยิ่งหนุ่มเล่า?
หรือว่าเขาฝึกวิชาอะไรบางอย่าง ร่ำเรียนวิชาบำรุงรักษาสุขภาพ? โลกใบนี้ช่างไม่อาจใช้สามัญสำนึกวัดได้จริงๆ
“เป็เพียงวิชาเล็กน้อย มิอาจนับว่ามีสิ่งใดพิเศษ”
“บิดาเ้าบอกว่าคนที่มาตรวจคือแม่นางน้อยผู้นี้ เชิญเข้ามาเถิด” ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านผายมือเรียก
เมื่ออิ๋งปิงนั่งลงตรงหน้าเขา ชายผู้นั้นก็ดีดนิ้ว พลันมีเส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งพุ่งออกมา พันรอบนิ้วเรียวยาวขาวผ่องของนาง
หลี่โม่มองดูอย่างสนใจ
เด็กปรุงยาเห็นเขาดูกังวล จึงกล่าวว่า “วางใจเถิด โรคที่อาจารย์ของข้าไม่สามารถรักษาได้นั้น มีน้อยนักในใต้หล้า”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านเมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นว่าเขาพึงพอใจกับคำกล่าวนี้มาก
ทว่า
ในชั่วพริบตาต่อมา เขาก็ส่งเสียง "หืม?" เบาๆ พร้อมขมวดคิ้วแน่น
วิ้งงงงงง—
เส้นด้ายสีทองสั่นสะท้าน
พลันความเย็นะเืสายหนึ่งปรากฏขึ้น และลามเลื้อยอย่างรวดเร็วไปตามเส้นด้ายจากปลายนิ้วของอิ๋งปิง
เพียะ!
ราวกับถูกไฟฟ้าดูด ชายวัยกลางคนรีบตัดเส้นด้ายสีทองทิ้งทันที เขายังคงหายใจออกมาด้วยความหวาดผวา
“ดุดันยิ่งนัก!”
“เป็อย่างไรบ้าง?” หลี่โม่สูดลมหายใจลึกๆ แล้วถาม
คิ้วของคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านขมวดเข้าหากันจนเป็อักษร "川" เขาครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า
“เหลือเชื่อจริงๆ เหลือเชื่อจริงๆ ตามหลักแล้ว เ้าไม่ควรมีชีวิตรอดมาได้จนถึงวันนี้”
เขาประกอบอาชีพแพทย์มาแปดสิบปี โรคหายากที่ไหนเล่าที่เขาไม่เคยพบเจอ?
แต่ความหนาวเย็นในร่างกายของคนผู้หนึ่งกลับดุดันถึงเพียงนี้ แทบไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย!
“แม่นางน้อย เ้าคงเคยถูกตรวจพบว่าเป็เส้นชีพจรขาดมาก่อน ใช่หรือไม่?”
“อืม” อิ๋งปิงพยักหน้า
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ กล่าวต่อไปว่า
“เป็เพียงการคาดเดาของเฒ่าผู้นี้ นี่อาจไม่ใช่เส้นชีพจรขาดผึง หากแต่เป็สภาพร่างกายพิเศษ ส่วนจะคืออะไรนั้น เฒ่าผู้นี้คงต้องไปค้นหาในตำราโบราณ”
“เมื่อไม่ใช่โรค ก็ย่อมไม่มีทางรักษาได้ ทำได้เพียงให้ยาเพื่อทุเลาความเ็ปเท่านั้น”
อิ๋งปิงประหลาดใจเพียงชั่วขณะ ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
การที่เขาสามารถมองเห็นได้ถึงระดับนี้ แสดงว่าฝีมือการแพทย์ของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับแนวหน้าของนครจื่อหยางเลยทีเดียว ตัวนางเองก็เพิ่งจะมาพบคำตอบภายหลังเมื่อไปถึงจงเสินโจว จากสถานที่ลับของสำนักเร้นลับที่สืบทอดมายาวนาน
กายาจันทราหงส์ไท่อิน
ในตำราโบราณเล่มนั้น ได้บันทึกถึงสิบกายาวาสนาไร้เทียมทาน ที่ผู้เขียนได้ตั้งชื่อว่าสิบกายาะ รวมถึงกายาจันทราหงส์ไท่อินด้วย เก้าในสิบกายาะล้วนเลือนหายไป เหลือเพียงตำนาน ส่วนสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้อย่างเป็รูปธรรม คือกายาัแท้แห่งแผ่นดินของจักรพรรดิหวู่ต้าอวี่ ผู้สามารถปราบปรามแผ่นดินและรองรับชะตาของชาติบ้านเมืองได้
“นี่คือยาเม็ดสุริยะบริสุทธิ์ที่เฒ่าผู้นี้ปรุงขึ้น ราคาเม็ดละสองร้อยตำลึงเงิน” ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งขึ้นมา
“นั่นก็ไม่แพง” หลี่โม่พยักหน้า เตรียมจะควักเงิน
ทว่าชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านกลับค่อยๆ ชูนิ้วขึ้นมาช้าๆ:
“ให้ได้แค่หนึ่งเม็ด”
หลี่โม่นิ่งอึ้งไป “.....”
ท่านพูดให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไร?
เด็กปรุงยากลืนน้ำลายพลางกล่าวไม่หยุดว่า
“ราคานี้ก็กระอักเืแล้วขอรับ หากมิใช่อาจารย์ต้องรักษาหน้า ก็คงไม่...”
“หือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านมองค้อน เด็กปรุงยาจึงรีบหุบปากลงอย่างกระอักกระอ่วน
“ไม่แพง ไม่แพง!”
“แต่ข้า้าร้อยเม็ด ขอบคุณ”
ราวกับเล่นกล หลี่โม่วางตั๋วเงินปึกหนึ่งลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘เพียะ’ ทั้งยังมีทองคำก้อนอีกสองสามก้อน
เด็กปรุงยาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง “!”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “?”
อิ๋งปิงก็เช่นกัน
ภายในสำนักหมอพลันเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มร่วง
ตั๋วเงินหนาปึก เมื่อดูคร่าวๆ ก็ราวหมื่นกว่าตำลึง ทองคำก้อนเ่าั้มีมูลค่าสูงยิ่งนัก เป็ของล้ำค่าอย่างแท้จริง แม้ทองคำจะมีการหมุนเวียนในตลาดน้อย แต่ก็ยังมีราคาตลาดรองรับอยู่ หากนำออกมาแลกเป็เงินตำลึง ยังสูงกว่าราคาตลาดเป็อันมาก!
อย่างไรเสีย เมื่อรวมกันแล้วก็มากถึงสองหมื่นตำลึงเงิน แม้จะอยู่ในนครจื่อหยาง ที่ราคาที่ดินนั้นสูงดุจทองคำทุกตารางนิ้ว มันก็เพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์หรูได้สักหลัง
“ข้ามีเงินเก็บส่วนตัวอยู่บ้าง”
หลี่โม่ยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “น่าจะพอแล้วกระมัง?”
“ร้อยเม็ด เ้ามาที่นี่เพื่อซื้อไปค้ากำไร หรือจะซื้อกลับไปกินเป็อาหารกันเล่า?”
“ได้แค่ขวดเดียว สิบสองเม็ด”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านมุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะผลักขวดไปข้างหน้า
“ก็เอาเถิด”
หลี่โม่พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาประสานมือคำนับ จ่ายเงินตามจำนวนเม็ด ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับอิ๋งปิง
มองดูเงาร่างของคนทั้งสองที่หายลับไปในยามค่ำคืน ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมผ้าป่านลูบเครา พลางครุ่นคิดอย่างสงสัยยิ่งนัก
“ไหนว่าเด็กสองคนนี้ความสัมพันธ์ย่ำแย่มิใช่หรือ? ไฉนจึงห่วงใยกันขนาดใช้เงินถึงเพียงนี้?”
เขาหยิบเส้นด้ายสีทองที่จับตัวเป็น้ำแข็งบนพื้นขึ้นมา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
หากเป็สภาพร่างกายพิเศษบางอย่างจริงๆ...
พร์ของเด็กผู้นี้ เกรงว่าคงยากจะคาดเดาได้!
“อาจารย์ขอรับ มีข่าวสารจากสำนักมาขอรับ”
เด็กปรุงยาอุ้มเหยี่ยวกลับมา ปลดกระบอกไม้ไผ่ที่มันคาบอยู่ลง ก่อนจะป้อนเนื้อแห้งให้มัน
บนจดหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า
【เรียนหกผู้าุโเซวี่ยจิง โปรดเปิดเอง】
เมื่ออ่านจดหมายแล้ว เขาก็ทำปากขมุบขมิบ มองไปที่ลานด้านหลัง
“กลับสำนักเถิด นำเตาปรุงยาไปด้วย”
“ขอรับ”
เด็กปรุงยาที่ผิวพรรณงดงามดุจหยกพยักหน้า วิ่งไปที่ลานด้านหลัง ก่อนจะออกแรงพร้อมส่งเสียง ‘ฮึบ’
เตาหลอมทองแดงรูปัพยัคฆ์สูงเท่าคนสองคน ที่ส่ายโคลงเคลง ถูกแบกขึ้นบนไหล่บอบบางของเขา
อีกด้านหนึ่ง
ยามราตรีที่คึกคักกำลังจะมอดลง ผู้คนน้อยลง เหลือเพียงแสงตะเกียงข้างถนนที่ยังไม่ดับสนิทกำลังริบหรี่
ควันไฟและชีวิตชีวาของตลาดหายไป ท้องฟ้าเบื้องบนจึงปรากฏทางช้างเผือกเต็มดวงระยิบระยับ
“น่าเสียดายจริงๆ”
“ได้ยินว่าของว่างในนครจื่อหยางยามราตรีมีมากมายนัก คราวหน้าคงต้องรีบมาให้เร็วขึ้น”
ในมือของหลี่โม่มีปลาเสียบไม้ย่างใบหลิวอันเป็ของขึ้นชื่อของนครจื่อหยางอยู่สองไม้ เมื่อกัดคำหนึ่ง รสชาติสดใหม่หอมกรุ่นก็แผ่ซ่านไร้ซึ่งกลิ่นคาวแม้แต่น้อย กระทั่งก้างก็ยังกรอบเคี้ยวเพลิน
“ลองชิมดูไหม?”
หลี่โม่ หันกลับไปพร้อมยื่นปลาให้
อิ๋งปิงมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ นางเห็นเด็กหนุ่มที่มุมตาที่ยังคงเปื้อนน้ำมัน ก็อดรู้สึกสงสารขึ้นใจไม่ได้
เมื่อได้หวนคืนภาพ บางคิดว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปตามที่คาดไว้
แต่เขาคนนี้กลับกลายเป็ข้อยกเว้น
“ทำไม?”
นี่เป็ครั้งแรกที่ อิ๋งปิง เป็ฝ่ายเอ่ยปากถาม
หลี่โม่อารมณ์ดียิ้มกว้าง
“ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ ก็ต้องใช้ไม้อ่อนสิ”
“เผื่อว่าเ้าเป็พวกว่าง่าย พอใจอ่อนขึ้นมาเมื่อใด ก็จะได้กระโจนเข้าสู่อ้อมอกข้าอย่างไรเล่า?”
สิ้นคำกล่าว บรรยากาศก็เริ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
อิ๋งปิงที่ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ จ้องมองด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่านางไม่แม้แต่จะใส่ใจคำพูดล้อเล่นของเขาเลยสักนิด
แน่นอนว่าคงจะหวังให้ยัยก้อนน้ำแข็งผู้นี้มีอารมณ์ขันมิได้หรอก…
“เอาเถอะน่า เอาเถอะน่า”
“แต่ก่อนเ้าคงต้องเจ็บช้ำน้ำใจเพราะข้าไม่น้อย ถือว่านี่เป็การชดเชย หรือเป็การลงทุนก็ได้”
“รวมๆ แล้วก็แค่สองพันกว่าตำลึงเงิน พอข้าเข้าสำนักชิงเยวียนได้เมื่อใด นี่ก็จะเป็เพียงเงินเล็กน้อยเท่านั้น”
หลี่โม่โบกมือทำท่าทางราวกับคนรวยล้นฟ้า
เื่ความเก่งกาจเอาไว้ทีหลัง กว่านับจากนี้เป็ต้นไป เขาจะไม่มีทางยากจนเป็อันขาด
คิ้วของอิ๋งปิงขมวดเล็กน้อย
เขามั่นใจเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในภาพชาติก่อน หลี่โม่ได้เข้าเป็เพียงศิษย์ชั้นนอกเท่านั้น และยังเป็ไปอย่างยากลำบากอีกด้วย
รากฐานกระดูกของเขานั้นเรียกได้ว่าธรรมดา ไร้ซึ่งสิ่งพิเศษใด
ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังมีจื่อไรเลย ดูท่ากำลังฝันว่าจะโดดเด่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…
ฮู้—
ลมราตรีพัดผ่าน ทำให้เงาตะเกียงสั่นไหว แสงที่ส่องต้องใบหน้าอันฮึกเหิมของเด็กหนุ่มจึงวูบไหว สว่างบ้างมืดบ้าง
อิ๋งปิงพลันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ในห้วงความทรงจำที่ถูกปิดผนึก ภาพเลือนรางที่ดูห่างไกลและแปลกหน้าพลันฉายวาบขึ้น
นั่นคือครั้งหนึ่งที่นางเองเคยค้อมกายคารวะผู้าุโท่านหนึ่งของสำนักชิงเยวียน ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่มองมาอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งสาบานตนว่าจะเปิดเส้นชีพจรให้ได้ภายในครึ่งปี
ยามนั้น ตัวนางเองเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?
“ความรู้สึกนี้ ข้ายอมรับมัน”
น้ำเสียงไพเราะเพิ่งจะขาดหายไป
[ลงทุนสำเร็จ: ยาเม็ดสุริยะบริสุทธิ์สามอักขระจำนวนสิบสองเม็ด]
[ลงทุนสำเร็จ: คำพูดของท่าน ส่งผลให้จิตใจของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลง]
[การลงทุนครั้งนี้ เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเป้าหมายอย่างสำเร็จ ผลตอบแทนที่ได้รับจะเกิดการพลิกผันอย่างมหาศาล]
[ยินดีด้วยท่านได้รับผลตอบแทนพิเศษ!]
“เปลี่ยนแปลงจิตใจ?”
หลี่โม่ไม่เข้าใจ เขาไม่ได้พูดอะไรพิเศษเลยนี่นา
ธิดาฟ้าลิขิตก็คือธิดาแห่งฟ้าลิขิตจริงๆ ฉะนั้น… เื่แค่นี้ก็สามารถเข้าใจได้
ผลตอบแทนพิเศษ... รางวัลพลิกผันมหาศาล...
ดูอย่างไรก็นับเป็ลางบอกเหตุว่าจะได้ของดีชิ้นโต!
“กินปลาเผาไหม? หอมมากเลยนะ”
“ไม่กิน”
“นี่ไง เ้าปลาตัวน้อยมาแล้ว...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้