จากคำพูดของเสิ่นจือเหยียน เห็นได้ชัดว่าเขาชื่นชมหวังเจิงผู้นี้
คิ้วเรียวของมู่หรงอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น “จากที่เสิ่นเซ่าชิงพูดมา ความน่าสงสัยในการก่อคดีของหวังเจิงนับว่าต่ำมากสินะ”
มู่หรงฉือหมุนตัวมาเรียกขันทีคนหนึ่ง สั่งเขาเสียงเบาสองประโยค ก่อนที่ขันทีคนนั้นจะรีบออกไปทันที
หลังจากนั้นก็ครุ่นคิด “หลังจากที่ขันทีจัดเตรียมโต๊ะกับเครื่องเขียนเรียบร้อยแล้วก็ปิดตำหนัก อีกทั้งยังมีคนคอยเฝ้าเอาไว้ เชื่อได้ว่าไม่มีโอกาสให้คนเข้ามาก่อคดี ต่อมา เปิ่นกงกับเหล่าคณะกรมพิธีการก็มาที่ตำหนักอู่อิงและเข้าไปเป็คนพวกแรก หากเหล่าบุรุษที่มาเข้าร่วมการสอบเ่าั้เป็ผู้ต้องสงสัยในการก่อคดี เช่นนั้นเวลาก็สั้นมาก อีกทั้งวิธีการลงมือก็เก็บซ่อนได้อย่างมิดชิดยิ่งนัก”
มู่หรงฉือย้อนกลับไปคิดถึงตอนนั้นอย่างละเอียด “หลังจากเปิ่นกงมาถึง ก็ไม่พบเห็นคนที่มีพฤติกรรมแปลกๆ”
เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “ลองถามขันทีที่จัดเตรียมโต๊ะกับเครื่องเขียนพวกนั้นก่อน”
“เปิ่นกงมีคำสั่งให้ไปเรียกคนที่เกี่ยวข้องมาแล้ว”
ั์ตาของนางสีเข้มขึ้น กล้าใช้วิธีโเี้เช่นนี้สังหารคน นางจะต้องจับตัวคนร้ายออกมาให้ได้
ใบหน้าของมู่หรงอวี้เ็าเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้น “หวังเจิงมาแล้ว”
หวังเจิงเกิดจากครอบครัวแม่ทัพ ั้แ่เด็กก็ฝึกศิลปะการต่อสู้ ร่างกายจึงถูกฝึกออกมาให้แข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิมั่นใจ เอวตรง ไหล่หลังผึ่งผาย หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้ามีความซื่อสัตย์ ั์ตาสีดำทอประกายมีชีวิตชีวาอยู่ภายใน
เขาประสานมือเข้าด้วยกันทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์รัชทายาท คารวะท่านอ๋อง และใต้เท้าเสิ่น”
เขารูปร่างสูงใหญ่ เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เป็อัจฉริยะคนหนึ่งเลยก็ว่าได้!
มู่หรงฉือคิดในใจ คนเก่งกาจขนาดนี้หากเอามาใช่งาน จะต้องมีประโยชน์เป็อย่างมาก
แต่ว่านางเองก็รู้ แม่ทัพหวังแห่งกองกำลังรักษาความปลอดภัยเมืองหลวงเป็คนของมู่หรงอวี้มานานแล้ว หวังเจิงคนนี้รับหน้าที่เป็ทหารป้องกัน แน่นอนว่าจะต้องเป็คนของเขาเช่นกัน
“หวังเจิง หลังจากที่เ้าเข้าโถงใหญ่มา พบอะไรผิดปกติหรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถามขึ้น
“ข้าน้อยไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใดเป็พิเศษขอรับ” หวังเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์ ทั้งยังเจือความรู้สึกผิดที่เขาไม่อาจให้เบาะแสเพิ่มเติมได้
“ก่อนที่อาการป่วยของฟ่านเสี้ยวเหวินจะกำเริบ เ้าได้ยินอะไรหรือไม่?” มู่หรงฉือถาม หวังเจิงนั่งอยู่ด้านหน้าฟ่านเสี้ยวเหวิน ด้านหลังก็คือโต๊ะของฟ่านเสี้ยวเหวิน ขอแค่หันตัวไปเขาก็สามารถก่อคดีได้ ดังนั้นความน่าสงสัยของเขาก็ยังนับว่ามากอยู่
“เหมือนจะได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ แต่ว่าตอนนั้นกระหม่อมพยายามเค้นสมองคิดว่าจะตอบคำถามอย่างไรดี จึงไม่ได้สนใจมากนัก” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจและเสียดาย รู้สึกผิดที่ตนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันเวลา “หากรู้ว่าคุณชายฟ่านจะอาการกำเริบจนทำให้ตายจากไป กระหม่อมจะให้ความสนใจมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างคนทั่วไป แม้จะยืนอยู่ใกล้กันมาก ห่างกันเพียงแค่ก้าวเดียว ในสถานการณ์ปกติแล้วก็ไม่ได้ยินลมหายใจของกันและกัน
แต่เขาได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ กล่าวคือ ก่อนที่ฟ่านเสี้ยวเหวินจะมีอาการหอบหืดกำเริบจนล้มลงก็เริ่มมีอาการมาแล้ว่หนึ่ง เพียงแต่เขาฝืนอดทนเอาไว้
นางมองไปทางเสิ่นจือเหยียน จากนิสัยเถรตรงของหวังเจิง คงจะไม่เดินในเส้นทางที่ไม่มีทางหวนกลับ
มู่หรงอวี้พูดเสียงเข้ม “หากเ้าคิดเื่อะไรได้ก็รีบมารายงาน เ้าออกไปก่อนเถิด”
หวังเจิงรับคำ ประสานมือทำความเคารพก่อนจะเดินออกไป
เสิ่นจือเหยียนถาม “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง กระหม่อมรู้สึกว่าหวังเจิงไม่ได้พูดปดพ่ะย่ะค่ะ”
หัวสมองของมู่หรงฉือมีภาพคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา เวยเหวินชาง
เมื่อครู่ตอนนางกลับไปตรวจสอบเกสรอวี๋เหมยเหรินที่โถงตำหนักใหญ่ เขาก็รีบเข้ามาหา รูปการณ์น่าสงสัยมาก
ตอนนี้ขันทีที่เป็ผู้จัดเตรียมการสอบที่โถงตำหนักใหญ่ทั้งหกคนมาถึงแล้ว พวกเขาพากันคุกเข่าทำความเคารพ เพราะได้ยินว่าตอนที่สอบมีคนตาย อวี้หวางกับองค์รัชทายาทจึงเรียกพวกเขามาสอบถามอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาต่างประหม่า ทั้งวิตกกังวลและรู้สึกไม่เป็สุข มือทั้งสองข้างไม่รู้ว่าควรจะเอาไปวางไว้ตรงไหน
มู่หรงฉือจ้องไปยังพวกเขาที่พากันก้มหน้างุดไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ราวกับการหายใจสักครั้งจะเป็การไม่ให้เกียรติอวี้หวาง แล้ววันนี้ตนจะกลายเป็ศพนอนอยู่ที่นี่
พวกเขาทำงานอยู่ที่ตำหนักอู่อิงได้หลายปีแล้ว ไม่เคยเห็นหน้าอวี้หวางมาก่อน แต่พวกเขายอมไม่เจออวี้หวางไปตลอดชีวิต เพราะว่าการเจอหน้าอวี้หวางไม่ใช่เื่ที่ดี อวี้หวางลงมือเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำอะไรเคร่งครัด ขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างไม่อยากจะพบเจอเขา นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็ขันทีต้อยต่ำเล่า?
เสิ่นจือเหยียนพูดเสียงเย็นขึ้นมา “เป็พวกเ้าหกคนที่ตระเตรียมการสอบ ไม่มีคนอื่นอีกแล้วหรือ?”
หนึ่งในขันทีตอบกลับมาอย่างกล้าหาญ “เป็พวกหนูฉายหกคนขอรับ ไม่มีผู้อื่นแล้ว”
“เงยหน้าขึ้นแล้วบอกชื่อมา” สายตาเ็าของมู่หรงฉือกวาดมองไปบนตัวของทุกคน
“เตี้ยนเซี่ย้าให้พวกเ้าเงยหน้าขึ้น ไม่ได้ยินหรืออย่างไร?” เสิ่นจือเหยียนตำหนิ
ขันทีทั้งหกเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาหลุบลงไม่กล้ามองตรงไปยังเ้านาย ร่างกายสั่นเทาพลางบอกชื่อของตัวเองออกไป
แววตาของนางจ้องอยู่ที่จุดหนึ่ง ก่อนจะถาม “เครื่องเขียนของโต๊ะแถวที่สี่ ห้า หกจากฝั่งซ้ายของตำหนักใครเป็คนจัดเตรียม?”
ขันทีนามว่าเสี่ยวฮูเถาคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เป็หนูฉายเองพ่ะย่ะค่ะ...ที่เตรียม...เตี้ยนเซี่ยใส่ร้ายกระหม่อม หนูฉายไม่ได้ทำร้ายใคร...หนูฉายไม่ได้ทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ...”
จู่ๆ เขาก็ะโเสียงดังออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ พื้นใต้ร่างเขามีน้ำสีเหลืองเจิ่งนอง กลิ่นปัสสาวะค่อยๆ แผ่กระจาย
เสิ่นจือเหยียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปาก คนผู้นี้ถึงกับใจนปัสสาวะราดเชียวหรือ
“ลากตัวออกไป!” มู่หรงอวี้สั่งเสียงเย็น
“หนูฉายถูกใส่ร้าย...ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ย หนูฉายไม่ได้ฆ่าใคร...”
เสี่ยวฮูเถาถูกองครักษ์ลากตัวออกไป เสียงะโร้องโหยหวนเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไป
พริบตาเดียวเพื่อนร่วมงานก็ถูกลากออกไป มีความเป็ไปได้ที่จะไปพบยมบาล ขันทีอีกห้าคนที่เหลือแค่คิดก็รู้สึกเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด ทั้งยังเย็นเฉียบ ความกลัวที่มีต่อความตายทำให้พวกเขาตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเผือด
มู่หรงฉือถามอีกครั้ง “หลังจากพวกเ้าจัดเตรียมสถานที่เรียบร้อยแล้ว คนที่ออกจากตำหนักเป็คนสุดท้ายคือใคร?”
ขันทีห้าคนมองหน้ากันไปมา ขันทีสี่คนชี้ไปที่คนผู้หนึ่ง “เป็เขาพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่ถูชี้ตัวมีนามว่าเสี่ยวหยงจื่อ มู่หรงฉือหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะถาม “เ้าเป็คนที่ออกไปคนสุดท้ายหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนรู้สึกแปลกๆ เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้หัวเราะแปลกๆ เช่นนี้?
มู่หรงอวี้เหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ องค์รัชทายาทพบแล้ว
“กราบทูลเตี้ยนเซี่ย หนูฉายเป็คนที่ออกไปเป็คนสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวหยงจื่อตอบกลับอย่างใจเย็น ไม่รีบไม่ช้า ไม่หวาดกลัวประหม่า นิ่งสงบ ไม่ว่ารอบข้างจะมีพายุฝนรุนแรงหรือูเาไท่ซานจะล่มสลาย เขาก็ยังคงนิ่งสงบไม่ขยับ
ั้แ่ขันทีทั้งหกคนเข้ามา นางก็สังเกตเห็นเขาแล้ว สิ่งที่ต่างจากอีกห้าคนที่เหลือก็คือ เขาใจเย็นมากอย่างน่าประหลาดจนทำให้คนต้องสนใจ
“ก่อนหน้านี้เ้าทำงานที่ไหน?” มู่หรงฉือถาม เขาสงบ นางก็สงบ ดูสิว่าความอดทนของใครจะมากกว่ากัน
“เมื่อสามปีก่อนหนูฉายทำงานอยู่ที่ตำหนักของหรงเฟยพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบตามความจริง
ถึงเขาไม่ตอบหรือโกหกออกไป องค์รัชทายาทก็ย่อมมีวิธีสืบหาจนได้ ในกรมข้าหลวงที่คอยจัดสรรงานล้วนมีบันทึก แค่ตรวจสอบดูก็รู้
จู่ๆ นางก็ตวาดเสียงดุ “พูด! เหตุใดเ้าถึงได้วางแผนฆ่าฟ่านเสี้ยวเหวิน?”
เสิ่นจือเหยียนตะลึงค้าง คนร้ายคือเขา? เพียงครู่เดียวเตี้ยนเซี่ยก็สันนิษฐานจนพบตัวฆาตกรแล้ว? เอาอะไรมาเป็หลักฐานกัน?
ปกติแล้วเขาเป็คนชันสูตรพลิกศพ ทั้งแคว้นนี้ไม่มีใครวินิจฉัยคดีได้แม่นยำไปกว่าเขาแล้ว คิดไม่ถึงว่าเตี้ยนเซี่ยจะมีความสามารถที่น่าประหลาดใจเช่นนี้
จู่ๆ นางก็ะเิโทสะออกมา ทำเอาเสี่ยวหยงจื่อตัวสั่น จากนั้นเขารีบพูดแย้ง “หนูฉายไม่ได้ฆ่าใคร หนูฉายถูกใส่ร้าย”
“ท่านอ๋อง คนที่ลอบฆ่าฟ่านเสี้ยวเหวินบุตรชายคนโตของบัณฑิตฟ่านสมควรได้รับโทษอย่างไร? ตามกฎหมายแล้วควรลงโทษอย่างไร” มู่หรงฉือเลื่อนสายตาไปทางมู่หรงอวี้
“ตามกฎหมายก็ปะา ขันทีกระทำความผิดลอบฆ่าฟ่านเสี้ยวเหวินด้วยวิธีการโเี้ ตามเหตุผลแล้วต้องโทษถึงตาย” เสียงของมู่หรงอวี้เหมือนกับผู้พิพากษาที่ทุบค้อนตัดสิน
“หากคนร้ายไม่ยอมรับผิดเล่า?”
“เพิ่มความผิดขึ้นอีกหนึ่งขั้น ปะาครอบครัวสามชั่วโคตร”
เสิ่นจือเหยียนได้ยินแล้วก็เข้าใจทันที พวกเขาพูดรับส่งอย่างเข้ากันเป็ปี่ขลุ่ยก็เพื่อ้าบีบให้คนร้ายยอมรับผิด
เป็อย่างที่คิด ครั้นเสี่ยวหยงจื่อได้ยินคำว่า ‘ปะาสามชั่วโคตร’ ร่างกายก็สั่นเทา แววตาสั่นไหว สีหน้าหม่นหมองลงทันทีราวกับขี้เถ้า
ส่วนอีกสี่คนที่เหลือครั้นได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็คล้ำเหมือนสีดิน ก้มหน้าลงต่ำ กังวลว่าจะถูกสงสัย
มู่หรงฉือพูดออกมาอย่างมีเหตุผล “จือเหยียน คดีฟ่านเสี้ยวเหวินถูกสังหารสามารถตัดสินได้แล้ว คนร้ายคือเสี่ยวหยงจื่อรับโทษปะา สาม...”
“เตี้ยนเซี่ย หนูฉายยอมรับผิดแล้ว” เสี่ยวหยงจื่อะโออกมาด้วยความโกรธเสียใจ “เป็หนูฉายเองที่เอาผงเกสรอวี๋เหม่ยเหรินไปโปรยที่โต๊ะของฟ่านเสี้ยวเหวิน...”
“เ้าไปเอาเกสรอวี๋เหม่ยเหรินมาจากไหน? เ้ากับฟ่านเสี้ยวเหวินไม่มีความแค้นใดต่อกัน เหตุใดถึงได้ลอบสังหารเขา?” นางถามต่อ
“หนูฉายยอมรับผิดแล้ว ขอเตี้ยนเซี่ยโปรดเมตตา อย่าปะาคนในครอบครัวของหนูฉายเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาขอร้องอย่างร้อนใจ
“ในเมื่อยอมรับผิด มิสู้เ้าพูดความจริงออกมา ไม่เช่นนั้นก็ยังคงจะปะาสามชั่วโคตร” มู่หรงอวี้พูดเสียงเย็น
“ยังมีเื่ที่ข้าสงสัยอยู่เื่หนึ่ง เ้าคาดเดาได้อย่างไรว่าฟ่านเสี้ยวเหวินจะนั่งโต๊ะตัวนั้น?” เสิ่นจือเหยียนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“สามสิบหกคนที่เข้าร่วมการสอบ ลำดับการนั่งมีใต้เท้าเหอของกรมพิธีการเป็คนจัดแล้วส่งให้เปิ่นกงเป็ผู้ตรวจสอบ มีขุนนางน้อยใหญ่มากมายในกรมพิธีการ คนที่จะสามารถเห็นลำดับการจัดที่นั่งมีรองเ้ากรมซ้ายขวา ผู้ติดตาม ข้าราชการนอกที่ทำการ” มู่หรงฉือมองไปทางเสี่ยวหยงจื่อ “เ้าที่เป็ขันทีของตำหนักอู่อิงไปเห็นเอกสารของกรมพิธีการได้อย่างไร?”
เสิ่นจือเหยียนราวกับเข้าใจขึ้นมาทันที เป็ความคิดที่น่ากลัวมาก หากคิดให้ลึกลงไปแล้วก็คือ นี่เป็การก่อคดีเป็ขบวนการ!
สีหน้าของเสี่ยวหยงจื่อมีความลังเล สายตาเปล่งประกาย ตอนนี้เขาจมอยู่ในโคลมตมที่ไม่รู้ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี ไม่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร
ก่อนที่ขันทีคนหนึ่งจะพูดขึ้น “เตี้ยนเซี่ย หนูฉายมีเื่จะพูดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือพยักหน้า ขันทีคนนั้นกล่าว “สองวันก่อน หนูฉายเห็นเสี่ยวหยงจื่อออกมาจากตำหนักของหรงเฟยโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นหนูฉายอยู่ด้านหลังของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าหนูฉายเห็นเขา”
มู่หรงอวี้กล่าว “เขากลับไม่พูดเื่นี้ออกมา เช่นนั้นก็โบยเขาไปแปดสิบที”
“เขาไม่พูดก็ไม่เป็ไร ให้เปิ่นกงพูดว่าเขาลงมืออย่างไรดีกว่า” มุมปากของนางยกขึ้น หัวเราะเสียงเย็น “เขาเคยดูแลหรงเฟยมาก่อน ทั้งยังได้รับความเมตตาจากหรงเฟย เพื่อตอบแทนนางเขาจึงรับปากว่าจะลงมือทำเพื่อนาง เวยเหวินชางขุนนางผู้ติดตามในกรมพิธีการได้มาบอกลำดับที่นั่งกับเขาก่อน วันนี้ตอนที่เตรียมการสอบ เขาออกไปเป็คนสุดท้าย จึงอาศัย่ที่อีกห้าคนไม่เห็น โปรยเกสรดอกอวี๋เหมยเหรินลงบนโต๊ะของฟ่านเสี้ยวเหวินตามคำสั่งของหรงเฟย”
“เตี้ยนเซี่ยช่างเก่งกาจจริงๆ เพียงชั่วยามสั้นๆ ก็สามารถไขคดีได้แล้ว” เสิ่นจือเหยียนคลี่ยิ้มพลางกล่าวชม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้