จั๋วเว่ยผิงไม่ได้รับผิดชอบเื่นี้แล้ว มีคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเธอ!
จั๋วเว่ยผิงไม่ยอมแพ้ เธอเหมือนกับลูกเจี๊ยบที่โกรธจัดพลางกล่าวรับประกันต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน “ต้องมีเหตุผลแน่นอนเื่นี้ฉันดูแลเอง!”
เมื่อสับเปลี่ยนจั๋วเว่ยผิงไป ขณะสอบสวนเซี่ยเสี่ยวหลานและคนอื่นอีกครั้งบรรยากาศก็เคร่งเครียดขึ้น
ข้อหาของเซี่ยเสี่ยวหลานคือ ‘ค้ากำไรเกินควร’ ส่วนพวกคังเหว่ยและเส้ากวงหรงคือ ‘รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย’ ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ค้ากำไรเกินควรยังพอคุยกันได้แต่รวมกลุ่มก่อความวุ่นวายอาจถูกจำคุกสองสามปีได้ง่ายๆ เลย—พวกคังเหว่ยทั้งสามคนจะทำอย่างไร?
ในแววตาของเธอมีความกังวลหลิวหย่งผู้เป็ลุงบอกว่าโจวเฉิงและคังเหว่ยมีเส้นสายในซางตูตกลงมีเส้นสายอะไรกันแน่นะ สามารถแบกรับวิกฤติหนนี้ได้หรือไม่? ถ้ารู้แต่แรกเธอจะไม่ติดต่อคังเหว่ย พวกเขาก็คงไม่ต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องกังวลนะ!”
คังเหว่ยยังมีกะจิตกะใจปลอบคนอื่นนะ
เขาคือผู้มีประวัติใสสะอาด อีกทั้งเมื่อครู่ยัง ‘กล้าหาญยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม’ สมกับเป็ลูกชายของวีรบุรุษผู้ยินยอมสละชีพ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเส้ากวงหรง ในกลุ่มคนตรงนี้ใครจะมีปัญหาก็ได้แต่คุณลุงเส้าจะปล่อยให้เส้ากวงหรงโดนตัดสินโทษให้กลายเป็อันธพาลได้อย่างไร!
“คุณรายงานความผิดของตัวเองอย่างจริงจังหน่อย ยังมีหน้ามายิ้มระรื่นอีก!”
คนสอบสวนหนนี้ก็คือเพื่อนร่วมงานที่เรียกจั๋วเว่ยผิงออกไปพบหัวหน้ากัวเมื่อครู่นั่นเอง
ใบหน้าขรึมของเขาตอนที่มองคนอื่นมีความมุ่งร้ายปะปนอยู่ด้วย
คังเหว่ยและเส้ากวงหรงปฏิเสธที่จะให้การทั้งคู่คนขับรถไม่ปริปากสักนิดเดียว เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าไม่อาจยอมรับข้อกล่าวหาได้เขาจึงเบนสายตาไปยังหลี่เฟิ่งเหมย หลี่เฟิ่งเหมยเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนประชาชนคนธรรมดาถูกจับมายังสถานีตำรวจ ได้ยินคนพูดว่าร้ายแรงขนาดนั้นย่อมขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว
“กักตัวเธอไว้ในห้องเดี่ยว!”
นี่มิใช่การรังแกหญิงชนบทผู้ไร้ประสบการณ์ และได้เตรียมพร้อมคำหลอกลวงข่มขู่หรือวางกับดักในคำพูดจนทำให้หลี่เฟิ่งเหมยยอมรับความผิดหรอกหรือ?
คังเหว่ยลุกขึ้นยืนทันทีทันใด
“ถ้ามีน้ำยาจริงก็มาลงที่ฉัน! มาดูกันว่าจะปกปิดขี้หนู [1] เล็กน้อยไว้ให้มิดได้หรือไม่!”
ทางสถานีตำรวจยังค่อนข้างเกรงใจพวกของคังเหว่ยไม่ใช่แค่เพราะมีตำรวจผู้เที่ยงตรงอย่างจั๋วเว่ยผิงอยู่แต่เพราะว่าคังเหว่ยและเส้ากวงหรงใช้สำเนียงถิ่นปักกิ่งแท้ๆ แถมยังมีรถเก๋ง ทว่ารถนั้นถูกทิ้งไว้ที่ถนนแล้วตอนนั้นสถานการณ์อลหม่าน ตำรวจจึงไม่อนุญาตให้พวกคังเหว่ยขับรถมายังสถานีตำรวจ...แม้ว่ารถจะดูธรรมดา ทว่าคนที่เชี่ยวชาญเห็นทะเบียนรถก็สามารถเดาอะไรบางอย่างออกได้บ้างอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่แนวร่วมป้องกันและอีกหลายคนไม่เข้าใจตำรวจจากสถานีกำลังตรวจสอบโดยละเอียดเช่นกัน
คนขับรถปากหนักมาก เส้ากวงหรงและคังเหว่ยก็ไม่มีนิสัยอวดโอ้วงศ์ตระกูลพอจั๋วเว่ยผิงจากไป เพื่อนร่วมงานปาท่องโก๋ของเธอก็ไม่ได้อัธยาศัยดีขนาดนั้นเมื่อคังเหว่ยท้าทายอำนาจของเขา จึงโดนตีสั่งสอนในบัดดล
“ไอ้ชั่ว!” เส้ากวงหรงมึนงงไปชั่วขณะถึงพุ่งพราดขึ้นจากที่นั่ง
คนขับรถซึ่งไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบั้แ่แรกเริ่ม พอคังเหว่ยโดนตี ก็ทำให้คนขับรถร้อนรนเหมือนกัน
“คังเหว่ย นายไม่เป็ไรใช่ไหม?!”
เซี่ยเสี่ยวหลานร้อนใจไม่แพ้กัน
นายตำรวจโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ “พวกคุณ้าทำอะไรไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนเสียเลย ที่นี่คือสถานีตำรวจนะ! พาหลี่เฟิ่งเหมยไปสอบสวน!”
คังเหว่ยรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง ราวกับเจ็บไปถึงกระดูกสันหลัง
จั๋วเว่ยผิงยังคงถูกอบรมสั่งสอนโดยผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าอยู่เวลานี้ใครจะมาช่วยเหลือพวกเขากัน? พอเห็นว่าหลี่เฟิ่งเหมยจะถูกพาตัวไปเซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกสับสนทีเดียว เธอมีสติปัญญา แต่ในเวลานี้คนเขาไม่ยอมคุยกับเธอด้วยเหตุผลเอาเสียเลย...เซี่ยเสี่ยวหลานพบกับความจริงอันแสนโหดร้ายขึ้นมาทันที! นี่ไม่ใช่อนาคต และเธอไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติผู้มีเส้นสายต่างๆนานา
นี่เป็ยุค 80 เธอยังสั่งสมกำลังไม่มากพอ เธอเป็แค่หญิงสาวชนบทที่สิ้นไร้ไม้ตอกคนหนึ่งเธอไม่ควรปฏิบัติตัวโดดเด่นเช่นนี้
คารมคมคายที่สามารถพูดให้ได้เปรียบมีประโยชน์อะไรกัน?
เธอก็เป็เพียงคนทำธุรกิจอิสระที่ไม่ถูกผู้อื่นให้ความสำคัญแม้แต่น้อย
เมื่อไม่มีสถานะใด คนอื่นย่อมไม่เคารพวาจาที่กล่าวออกมาด้วยซ้ำ
เธอดึงหลี่เฟิ่งเหมยที่เป็ป้าสะใภ้เข้ามาเกี่ยวข้อง
หลี่เฟิ่งเหมยโดน ‘เชิญ’ ไป แม้แต่ขายังยืนตรงไม่ได้
“ฉันพูดเอง เป็ความคิดของฉันทั้งหมด เธอแค่ช่วยเหลือ ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น!”
เซี่ยเสี่ยวหลานกำหมัดสองข้างไว้แน่น เป็ครั้งแรกที่รู้สึกสิ้นท่า
“สารภาพอย่างตรงไปตรงมาั้แ่แรกก็หมดเื่แล้วไม่ใช่หรือ?”
นายตำรวจไม่สนหลี่เฟิ่งเหมยแล้ว เขาหยิบปากกามาเพื่อเขียนบันทึก และบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานบอกเล่ารายงานปัญหาของตนเอง
เฮ้อ เด็กสาวสะสวยคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปขัดเคืองใครเข้าจึงต้องเล่นงานเธอถึงตาย ถูกจำคุกสองสามปี ต่อให้เป็คนสวยแค่ไหนก็หมดสิ้นแล้วในแววตาของเซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏแสงสลัว เงื่อนงำของเจิ้งจงฝูนั้นต้องได้ใช้ประโยชน์แน่ติงอ้ายเจินอย่าคิดว่าจะหนีหายได้เชียว... ตระกูลจูทำให้ความขัดแย้งขี้ประติ๋วกลายเป็สถานการณ์ที่ต้องสู้ยิบตา เกินความคาดหมายของเซี่ยเสี่ยวหลานไปมากแล้วเช่นกัน
ไม่โทษที่เซี่ยเสี่ยวหลานประมาท
แม้ชาติก่อนเธอได้ฝ่าฟันจนสัมฤทธิ์ผล ควบคุมคนใต้บังคับบัญชามากมายทว่าเธออาศัยความสามารถของตนเองเท่านั้น
เธอชำนาญการต่อสู้ทางธุรกิจ ถึงจะมีขั้นตอนของมัน ก็เป็ ‘อุบาย’ ที่เปิดเผยโจ่งแจ้งเสียมากกว่าแต่คู่แข่งของเธอตอนนี้คือเสือสิงห์กระทิงแรด เป็งูเ้าถิ่นประจำซางตูไม่มีทางปะทะกับเธออย่างเปิดเผย
หากเธอเป็เ้าของกิจการผู้ยิ่งใหญ่ บ้านจูทำอะไรเธอไม่ได้แน่ทว่าเธอเป็เพียงเ้าของธุรกิจอิสระตัวเล็กๆ... ในสายตาของตระกูลจูนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอเต็มไปด้วยจุดอ่อน
ในสมองของเส้ากวงหรงเกิดเสียงวิ้งๆ หึ่งๆ
การทะเลาะเบาะแว้งทำให้รู้สึกสดชื่นชั่วคราว ทว่าสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็ต้องตกระกำลำบากที่สถานีตำรวจอันคับแคบ
เคราะห์ร้ายหนนี้ให้บทเรียนบทหนึ่งแก่เส้ากวงหรงและคังเหว่ย พยัคฆ์ร่อนเร่บนที่ราบถูกสุนัขข่มเหง [2]โดยปกติทั้งสองคิดว่าตนเองเก่งกาจไม่น้อย แต่พอไม่อาศัยชื่อเสียงของวงส์ตระกูล พอความจริงปรากฏก็กลับกลายว่าทุกอย่างไม่เป็อย่างที่คิด
หากโจวเฉิงอยู่ตรงนี้ เขาจะทำอย่างไรกัน?
คังเหว่ยครุ่นคิดจนปวดสมอง
คนขับรถนึกถึงคำพูดของเลขาโหวที่กำชับว่าห้ามใช้ชื่อเสียงของเ้านายก่อเื่ข้างนอกทว่าหากตอนนี้ยังไม่รายงานที่มาอีก มิใช่ว่าจะกลายเป็คดีที่หักล้างไม่ได้หรือ?
เขาวานคนส่งสาร อีกฝ่ายนำกระเป๋าเงินของเขาไปด้วยเป็ไปได้ไหมว่าไม่ได้ไปแจ้งเลขาโหว?
คนขับรถเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ และรู้สึกถึงเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วหน้าผาก
“ผมจะโทรศัพท์”
นายตำรวจเงยหน้ามองเขา คนขับรถจริงจังมาก กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ผมจะโทรศัพท์ ต่อสายหาเลขาโหวของคณะกรรมการประจำเมือง”
“ผมก็รู้จักพวกคนใหญ่คนโตของเมืองซางตูนะ แต่พวกเขาไม่รู้จักผม! เลขาโหวคือใคร ผมไม่เคยได้ยิน!” นายตำรวจผู้เจนโลกหัวเราะเยาะเย้ย
เลขาโหวยืนอยู่ด้านนอกนั่นเอง
ที่เขามาถึงช้า เพราะต้องทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุให้แจ่มแจ้ง เขาวิเคราะห์ได้แล้วว่าเส้ากวงหรงและคังเหว่ยไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรเลยไม่ใช่ฆาตกรรมหรือวางเพลิง แต่เป็การปะทะกับพวกแนวร่วมป้องกันคิ้วของเลขาโหวจึงผ่อนคลายได้
“หัวหน้าหยาง คุณดูนี่สิ?”
หัวหน้าหยางยืนกับเลขาโหวอยู่ข้างนอกนานสองนาน ขณะนี้มีสีหน้าน่ากลัวยิ่งนัก
เลขาโหวไม่ได้จิตใจดีงามเสียหน่อย ขอเพียงคนโดนตีไม่ใช่เส้ากวงหรง เขาก็ยังทนต่อไปได้เขาเพียง้าให้หัวหน้าหยางสังเกตสถานการณ์ด้านในจนชัดเจน
หัวหน้าหยางจะพูดอะไรได้ สีหน้าโมโหโกรธเกรี้ยว มองค้อนผู้อำนวยการสถานีที่ตามอยู่ด้านหลังมายกใหญ่อดกลั้นไม่ได้แล้ว จึงเปิดประตูสถานีออกด้วยลูกเตะเดียว
“แล้วคุณรู้จักผมหรือไม่?!”
เชิงอรรถ
[1]老鼠屎 ขี้หนู หมายถึงผู้ที่ทำสิ่งไม่ดีต่างไปจากกลุ่มของตนและทำให้ทั้งกลุ่มเสียหายไปด้วย คล้ายสุภาษิต ‘ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง’
[2]虎落平阳被犬欺 พยัคฆ์ร่อนเร่บนที่ราบถูกสุนัขข่มเหงหมายถึง เสือที่ห่างจากป่าลึกซึ่งเป็อาณาเขตของตนลงมาบนพื้นราบย่อมถูกสุนัขข้างล่างข่มเหงได้เช่นกันเปรียบเปรยถึงผู้มีอำนาจสูญเสียความได้เปรียบไป
