หย่อนเบ็ด
ยิ่งเสิ่นอันอันนึกถึงเื่นี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่ามีคนราดน้ำกรดใส่หัวใจของเธอ ทำให้เธอทุกข์ทรมานเจียนตาย
เมื่อฮั่วเฉิงโจวได้ยินคำว่า “สามีของฉัน” เขาก็กำพวงมาลัยแน่นขึ้น
เส้นเืสีน้ำเงินบนหลังมือนูนออกมาเล็กน้อย ตัดกับผิวขาวซีดของเขาอย่างชัดเจน
แต่ด้วยลักษณะนิสัยค่อนข้างสงบ เขาจึงระงับอารมณ์อย่างเงียบๆ “อันอัน ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม?”
เสิ่นอันอันดึงสติกลับมาจากอดีต พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย “ได้ค่ะ”
“อาจเกี่ยวกับเื่ส่วนตัวของคุณนะ” ฮั่วเฉิงโจวเตือนเพิ่ม
เธอหยุดคิดชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ถ้าไม่ใช่คำถามที่ยากมาก ฉันน่าจะตอบได้ค่ะ”
หลังจากได้รับคำยืนยัน ฮั่วเฉิงโจวก็กล้าถามต่อ “ผมได้ยินคนพูดกันว่า...คุณกับสามีของคุณมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน”
ในขณะนั้น รถเบนท์ลีย์ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของบริษัทจิ่งเซิ่งกรุ๊ปพอดี
แสงจากไฟข้างถนนส่องสลัวกระทบใบหน้าของฮั่วเฉิงโจว สร้างเงากรอบหน้าที่สวยงาม
“ก็ไม่ดีค่ะ” นี่เป็สิ่งที่ทุกคนในเมืองอวิ๋นเฉิงรู้ดีจนแทบจะไม่ใช่เื่ส่วนตัว เธอจึงไม่จำเป็ต้องปฏิเสธ “เรา...จะหย่ากันแล้วค่ะ”
ฮั่วเฉิงโจวเบิกตาขึ้น ทว่าอารมณ์ทั้งหมดของเขามีเลนส์บางๆ กั้นไว้
“ขอโทษที่ถามแบบนี้ ผมเสียมารยาทไปหน่อย” คำพูดและการกระทำของเขาดูสง่างาม แม้เขาจะถามคำถามเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคือง
“ไม่เป็ไรค่ะ” เสิ่นอันอันส่ายหน้าพร้อมจับที่เปิดประตูรถ “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ฉันต้องกลับแล้วค่ะ เฉิงโจว ค่าอาหารคืนนี้...”
เขาขัดจังหวะเธอด้วยรอยยิ้มจากดวงตา “ไม่ต้องหรอก เอาไว้คราวหน้าคุณค่อยเลี้ยงผมคืน”
เธอคิดทบทวนก่อนตอบตกลง “ก็ได้ค่ะ”
เขาไม่ได้หมดตัวจากการจ่ายมื้อนั้น อีกทั้งมันยังดูห่างเหินเกินไป ไม่จำเป็จริงๆ
เสิ่นอันอันลงจากรถ กล่าวลาเขา และกลับเข้าไปที่บริษัท
ฮั่วเฉิงโจวจ้องมองแผ่นหลังของเธอที่ทอดยาวด้วยแสงจันทร์ จดจ้องอยู่อย่างนั้นเป็เวลานาน
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขาดเงิน แต่ที่เขาบอกว่าครั้งหน้าค่อยให้เธอเลี้ยง ไม่ใช่ว่านั่นเป็การชวนเธอออกข้างนอกหรือ?
สาวน้อยยังคงไร้เดียงสาเกินไป เธอไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา
ฮั่วเฉิงโจวจุดบุหรี่แล้วคาบไว้ที่ปาก เขาสูบเข้าไปทีละเล็กละน้อย
หลังจากไฟมอดดับลง เขาสูดควันเฮือกสุดท้ายก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น ควรจะมีเื่สักเื่หรือใครสักคนให้ลองท้าทายดู
เขามีบุคลิกเ็าและใช้ชีวิตอย่างสงบมาตลอดยี่สิบแปดปี เขารักษาวินัยและเก็บตัวอยู่เสมอ ถึงเวลาที่ควรลองััความรักแล้วกระมัง
...
หลังรับประทานอาหารมื้อแรกร่วมกันไปไม่นาน มื้อที่สองก็ตามมาติดๆ
เย็นวันศุกร์ ฮั่วเฉิงโจวโทรหาเสิ่นอันอันในเวลาเลิกงาน
เขาบอกว่ามีร้านหม้อไฟเปิดใหม่ที่ชั้นสี่ของแวนด้าและชวนเธอไปที่นั่น
เสิ่นอันอันคิดว่าครั้งที่แล้วเขาเลี้ยงเธอ ครั้งนี้เธอก็ควรเลี้ยงเขาเช่นกัน จึงไม่กล้าปฏิเสธ
ทันทีที่เธอเดินออกมาจากบริษัท ก็มีลมเย็นๆ พัดโชยมาเบาๆ
ฮั่วเฉิงโจวลงจากรถมานานแล้ว พอเธอเข้ามาใกล้ก็ทำตัวเป็สุภาพบุรุษเปิดประตูรถให้
เมื่อเธอขึ้นนั่งเรียบร้อย เขาก็สตาร์ตเครื่องยนต์และแสร้งมองไปรอบข้าง เพื่อเหลือบมองใบหน้าเล็กๆ ที่เรียวบางและมีเสน่ห์ของเธอ
ดวงตาที่แสนี้เีของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเริ่มเปิดบทสนทนา “อันอัน ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับจิ่งเซิ่งกรุ๊ปมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็สาวน้อยอย่างคุณที่ดูแลมัน”
........................................................................................................................................
ความรักเริ่มผลิบาน เติบโตอย่างไร้ควบคุม
เสิ่นอันอันเขินเล็กน้อยกับคำชมของฮั่วเฉิงโจว “สาวน้อยอะไรกัน ฉันอายุยี่สิบห้าแล้ว”
“ผมแก่กว่าคุณสามปี ในสายตาของผมคุณคือสาวน้อย”
ฟังดูเหมือนจะไม่เป็ไรนะ?
ฮั่วเฉิงโจวมีชั้นเชิงในการพูด เขาสามารถย่นระยะห่างได้โดยไม่ต้องอ้อมไปไกล
และเสิ่นอันอันก็ไม่ได้ป้องกันตัวเอง จึงถูกเขาหลอกถามอยู่เสมอ
แม้แต่ที่อยู่ของเธอ เธอก็พูดออกมาแล้ว
เมื่อมาถึงร้านหม้อไฟ ฮั่วเฉิงโจวก็จอดรถและเดินเข้าไปข้างในกับเธอ
เขาชอบอาหารรสจัด แต่เสิ่นอันอันกินเผ็ดไม่ได้ ดังนั้นผู้าุโกว่าจึงเลือกน้ำซุปเห็ดเพื่อสุขภาพอย่างเต็มใจ
เขารอให้เธอเลือกอาหารเสร็จก่อน แล้วค่อยสั่งเนื้อนุ่มกับลูกชิ้นกุ้งสดอีกอย่างละจาน
จากนั้น บริกรก็เปิดเตาแก๊ส น้ำซุปในหม้อทองแดงเดือดอย่างรวดเร็วและพ่นไอน้ำออกมาตลอดเวลา
ตอนนี้เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังเดือดปุดๆ เช่นเดียวกับหม้อซุป
รักครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ทั้งยังไม่สามารถควบคุมได้
ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเสิ่นอันอันก็ดังขึ้น
เป็หลี่ม่านที่โทรมา
แม้จะเลิกงานแล้ว แต่เสิ่นอันอันก็กลัวจะมีเื่ด่วนที่บริษัท เธอจึงกดรับสาย “มีอะไรเหรอ?”
“ประธานเสิ่นคะ...” หลี่ม่านพูดอย่างลังเล “ประ...ประธานเจียงมาค่ะ บอกว่า้าพบคุณ”
หลี่ม่านยังพูดไม่จบก็เหมือนเจียงอี้เฉินจะแย่งโทรศัพท์ไป
น้ำเสียงเย็นเยียบจากปลายสายดังขึ้นชัดเจน ทุกคำพูดเ็าเข้าไปถึงกระดูก “เธออยู่ไหน?”
เสิ่นอันอันเหลือบมองคนฝั่งตรงข้าม แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันกำลังกินข้าวอยู่ข้างนอก”
“กินที่ไหน?” เจียงอี้เฉินถามต่ออย่างไม่ลดละ
“ไม่เกี่ยวกับคุณ” เสิ่นอันอันหงุดหงิดกับท่าทีก้าวร้าวของเขา “มีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีก็แค่นี้นะ”
หลังพูดจบ เธอก็ให้ความสนใจกับใบหน้าของฮั่วเฉิงโจวโดยไม่รู้ตัว เธอเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ดูสบายๆ และรักษาท่าทีเกียจคร้านเช่นเดิม
เสียงของเจียงอี้เฉินดังมาก เขาคงได้ยินหมดแล้ว
“เสิ่นอันอัน เธอกำลังกินข้าวกับคนป่าคนเถื่อนจากไหนเหรอ?” เจียงอี้เฉินเย้ยหยัน “คนที่นอนกับเธอคืนนั้นใช่ไหม? บอกมาว่าเขาเป็ใคร?”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งไร้มารยาท เธอพูดไม่ออกชั่วขณะและวางสายโทรศัพท์ไป
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอก็อายเล็กน้อย “เฉิงโจว ฉันขอโทษ ฉัน...”
ฮั่วเฉิงโจวเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็ไรอันอัน ถ้าคุณมีเื่ด่วนคุณกลับก่อนก็ได้”
ทักษะการอ่านใจของเขาทรงพลังมาก สามารถอ่านความคิดของเธอได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
ตอนแรกเสิ่นอันอันคิดจะกลับไปที่บริษัทจริงๆ เพราะเธอไม่้าให้เจียงอี้เฉินมาสร้างปัญหาในบริษัท แต่ตอนนี้...
ตามใจเขาเถอะ อย่างไรเสียก็มี รปภ. อยู่ คงไม่เป็ไรมาก
ไม้ขีดซีกเดียวเผาจิ่งเซิ่งไม่ได้หรอก
เธอออกมาสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงานไม่บ่อยนัก ทำไมจะต้องมาอารมณ์เสียเพราะเขาด้วย?
เสิ่นอันอันกดปิดโทรศัพท์ “ไม่ค่ะ ไม่ได้ยุ่งอะไร”
“งั้นพวกเราก็มากินอย่างสงบ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นกันเถอะครับ”
“ได้ค่ะ”
รอยยิ้มในดวงตาของฮั่วเฉิงโจวชัดเรื่อยๆ ใช้ไม้นวมดีกว่าไม้แข็งหลายเท่านัก
น่าเสียดายที่เจียงอี้เฉินไม่เข้าใจความจริงข้อนี้
เมื่ออาหารใกล้จะหมด เขาก็อ้างว่าขอไปเข้าห้องน้ำและรีบไปจ่ายเงิน
หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็เดินออกมาด้วยกัน เสิ่นอันอันกำลังจะจ่ายเงิน แต่พนักงานก็ยิ้มและพูดว่า “แฟนของคุณชำระเรียบร้อยแล้วค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้