Part พิช
เหี้ยเอ้ยยยยยยย! นานแล้วนะที่ตัวผมเองเหมือนจะลืมเื่นี้ไป ทำไมถึงได้นึกถึงขึ้นมาว่ะ หรืออาจจะเป็เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่มีเวลาว่างเลย ก็คงงั้น แต่ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้นึกถึงเื่นี้ขึ้นมาได้ บ้าจริง ผมได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆ
ถึงมันจะเป็เื่ราวที่ผ่านมาหลายปีแล้วก็จริงแต่ผมยังจำแววตาและสายตากวนๆ นั้นได้แม่น คงจะบอกได้ว่า เขาคือความกวนตีนที่ดันมาสะดุดตาและสะดุดตีนผมจริงๆ เื่มันมีอยู่ว่า
ย้อนกลับไปประมาณ 7 ปีที่แล้ว...........
.................ตอนที่ผมเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปหาเพื่อนรัก ผมก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็อดีตรุ่นพี่ร่วมสถาบันด้วยความบังเอิญ วินาทีแรกที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มแต่เต็มไปด้วยความกวนตีน ในใจผมตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวเลย ไอ้รุ่นพี่หน้าตีน ขี้เก๊กชิปหาย คนอะไรมองแว๊บแรกก็รู้สึกไม่ชอบไม่ถูกชะตาเอาซะเลย และดวงตาคมกริบปนความขี้เล่นและกวนตีนเอาไว้ก็สบตาผมกลับมาเช่นกัน ผมจ้องอยู่ได้ไม่นานก็ตัดสินใจเบนสายตาหนีผมละความสนใจจากใบหน้าหล่อนั้นทันที แล้วตั้งใจมองหาเพื่อนอีกครั้งโดยไม่คิดจะสนใจรุ่นพี่คนนั้นอีก
แต่ไอ้เพื่อนเชี้ยก็เสือกไปยืนรอผมอยู่ใกล้รุ่นพี่คนนั้นและเหมือนมันจะรู้จักรุ่นพี่คนนี้ซะด้วย อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมเดินผ่านหน้ารุ่นพี่คนนี้โดยไม่เคารพและทักทายสักนิด ก็คนมัน(ไม่ชอบหน้าอะเนอะจะให้เคารพคงไม่ไหว)
“ไงมึง รอนานป่ะวะ?” แล้วพูดกับไอ้บิวทำเหมือนไม่เห็นรุ่นพี่คนนั้นอยู่ในสายตา ปกติแล้วผมกับไอ้บิวเราลงจากห้องพร้อมกัน กลับบ้านก็กลับด้วยกัน ( อ๊ะๆ ! อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมกับไอ้บิวเราเป็เพื่อนรักกันครับ และที่สำคัญพ่อแม่ของเราก็เป็เพื่อนกันและทำธุรกิจร่วมกัน ) แต่วันนี้อาจารย์เรียกพบพอดี ผมเลยต้องให้ไอ้บิวลงไปรอหน้าตึก
“ไม่นานมึง นี่พี่เตโช รู้จักกันไว้เผื่อมีอะไรพี่เค้าได้ช่วยเหลือ” ไอ้บิวแม่งพูดเหมือนลูกน้องที่บ้านไม่มีเลยแหะ สงสัยสมองคงฟั่นเฟือนละมั้ง ไอ้นี่ก็ยืนเก๊กอยู่ได้ ชิ เห็นหน้าแม่งละหงุดหงิดยังไงไม่รู้
“เออๆ หวัดดีพี่” ผมเอ่ยทักทายแต่ก็ไม่ได้ยกมือไหว้
“หวัดดีครับน้องพิช” เสียงนี่อย่างหล่อ แต่เหี้ยเถอะเก๊กชิปหาย จะว่าหน้าแม่งนิ่งก็ไม่ใช่ เพราะหน้าออกจะกวนตีน ผมอยากรู้จริงๆ แม่งไม่เมื่อยหน้าบ้างรึไงว่ะ และที่สำคัญเสือกรู้จักชื่อผมอีก กูงงครับ ไอ้พี่คนนี้นี่มันรู้จักผมได้ไงว่ะ งองูล้านตัวเลยครับ
“รู้จักกันมาก่อนก็ไม่ ละพี่รู้ชื่อผมได้ไงอะ ?” ผมถามอย่างงงๆ เพราะเราเพิ่งทักทายกันเองหรือว่าเค้ารู้จักผมมาก่อน แต่ถ้าคิดงั้นก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง ก็รู้จักกับไอ้เพื่อนรักของผมนี่
“ใครก็รู้จักมึงมั้ยว่ะคุณหนูพิชสุดแสบ เอ่อแล้วพี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย หรือว่ามารับน้องโพ ?” ไอ้บิวหันมาแกล้งแซวผม
ชิ แสบตรงไหนว่ะ แค่พอใจจะทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจใครแค่นั้นเอง แล้วไอ้บิวก็ถามพี่เตโชหน้าส้นตีนอยู่นั่น ผมนี่อยากกลับบ้านจะแย่แล้ว เบื่อหน้าส้นตีนว่ะ และผมก็ได้แต่คิดว่าพวกแม่งไปสนิทกันตอนไหนว่ะทำไมผมไม่เห็นรู้เลย งงครับ
“อืม คงเลิกแล้วล่ะ พี่ไปก่อนละกัน ไว้เจอกันครับน้องพิช” รุ่นพี่หน้าตีนตอบไอ้บิวเสียงนิ่งๆ ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้มหล่อ เชี้ย คิดว่าตัวเองหล่อนักหรือไง เออ หล่อ แต่พี่มันก็หล่อจริงๆ
“แต่ผมว่าเราไม่เจอกันมันคงดีกว่า” ผมตอกกลับไปเสียงนิ่งๆ ทั้งที่ตอนนี้ภายในใจร้อนรุ่ม เท้านี่กระตุกยิกๆ เพราะอยากตะบันหน้าหล่อๆ นั่นเต็มที ขืนอยู่ต่อได้มีเื่กันแน่ เพราะผมไม่เคยเจอใครที่ทำให้ผมอารมณ์ขึ้นได้ขนาดนี้ทั้งๆ ที่พูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค
“ยังไงก็เจอ” รุ่นพี่หน้าตีน ขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะกระซิบเบาๆ ด้วยความมั่นใจ ดูมันจะมั่นใจมาก แล้วเดินออกไปยังรถของตัวเอง แต่แม่งคงรวยไม่ใช่เล่น เพราะรถที่พี่แกขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับนั่นมัน Lamborghini Huracan 2015 (สำหรับ 6 ปีที่แล้วแลมโบกินี่รุ่นนี้ถือว่าเป็รุ่นใหม่ล่าสุด)
“ไปได้ก็ดี ชิ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ ยังไงก็เจองั้นหรอ หึ คิดว่าแน่นักเหรอ พนันสักล้านก็ไม่เจอ หึย
“มึงจะหัวร้อนทำไมว่ะ เออ ว่าแต่พี่เตโชกระซิบไรมึงว่ะ บอกกูบ้างดิ” ไอ้นี่ก็เสือกจริงๆ
“ไม่รู้สักเื่คงไม่ตายหรอกมั้ง?” ผมด่าไอ้เพื่อนขี้เสือก
“เออ พูดงี้คือห้ามเสือก?” ไอ้บิวถาม ผมแค่พยักหน้าเบาๆ
“ไม่รู้ก็ได้ว่ะ ว่าแต่มึงไม่รู้จักพี่เค้าเหรอว่ะ?” ไอ้บิวถามผมก็ส่ายหน้าใส่มันทันที
“มึงไปอยู่ไหนมาว่ะเนี่ยถึงได้ไม่รู้จักพี่เตโช พี่เค้าดังจะตาย ทั้งหล่อทั้งรวย อิทธิพลไม่ต้องถาม %#€¥&#฿%#¥€$ ” ไอ้บิวเริ่ม มาอธิบายถึงความอลังการของไอ้พี่เตโชอะไรนั่นจนผมหมั่นไส้ต้องเบรกมันด้วยการเอามือไปปิดปากมัน
“พอ กูรำคาญ หยุดพูด สัส !!!” มันยอมหยุดพูดและพยายามดึงมือผมออกผมก็ดึงมือออก
“เออๆ ว่าแต่ทำไมมึงหงุดหงิดจังว่ะ?” ไอ้บิวถามด้วยความมึนงง เพราะมันไม่ได้เห็นผมโมโหอะไรแบบนี้มานานแล้ว
“รุ่นพี่มึงอะ เจอหน้ากันครั้งแรกกูก็เกลียดหน้าแม่งแล้วว่ะ กูอยากเอาตีนไปตั้นหน้าแม่งชิป เก๊กอยู่ได้น่ารำคาญ ” ผมพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มที ไอ้บิวได้แต่ยิ้มแหย๋ๆ
“มันเป็บุคลิกเค้าเว้ย เออๆ ไม่ต้องทำตาเขียวเลย ลดดาเมจมึงลงเลย” มันยังจะเถียงอีกว่ะเห้ย บรรยากาศจากที่เคยมาคุร้อนระอุเริ่มเย็นะเืลงเรื่อยๆ
“เอานา มึงกับพี่เตโชคงไม่บังเอิญเจอกันอีกมั้ง” ไอ้บิวมันเลยต้องรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
“สาธุ” ผมพูดพร้อมยกมือพนมไว้ที่หน้าผากอย่างขำๆ เพราะสงสารเพื่อน
“ฮ่าๆๆๆ ถ้าโลกแคบก็ไม่แน่ว่ะ สาธุไปเถอะมึง เพราะโบราณเค้าบอกว่าอะไรที่เกลียดก็มักจะได้อย่างนั้นว่ะ ” ไอ้บิวเพื่อนทรยศเพิ่งปลอบใจได้ไม่นานแม่งหัวเราะใส่เลย แล้วยังจะพูดแกล้งแซวอีก โลกคงไม่แคบขนาดนั้นมั้ง
“ สัส !!!” ผมด่ามันได้คำเดียวจริงๆ เพราะหมดคำที่จะสรรหามาด่ามันแล้วจริงๆ
“เอาน่า ขำๆ” ไอ้บิวพูดยิ้มๆ
“เออๆ ไปกลับบ้านป่านนี้คนพี่บิ๊กกับพี่ดิวมารับแล้วมั้ง?” ผมพูดชวนแล้วเดินไปทางข้างตึกที่พี่บิ๊กชอบมาจอดรถรอเป็ประจำ ( พี่บิ๊กที่พูดถึงนี่คือคนขับรถส่วนตัวของผมเอง และยังเป็บอดี้การ์ดส่วนตัวของผมอีกด้วย ส่วนพี่ดิวก็เป็คนของบ้านไอ้บิวมัน พอพวกผมสองคนอยู่ด้วยกัน ลูกน้องก็เลยต้องทำงานร่วมกัน ดีหน่อยที่พี่บิ๊กกับพี่ดิวทำงานร่วมกันได้ดีเยี่ยมและเหมือนจะสนิทกันในระดับหนึ่ง นี่ถ้าสองคนนี่ไม่ถูกกันนะผมว่าได้ตีกันตายแน่ๆ )
หลังจากนั้นพวกเราทั้งสี่คนก็ขึ้นรถ พี่บิ๊กขับรถตรงกลับบ้านศิวรางค์ทันที ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ก่อนจะถึงบ้านก็แวะส่งไอ้บิวกับพี่ดิวก่อน
บ้านกับโรงเรียนก็ไม่ได้ใกล้กันนะ แต่ป๊ากับแม่บอกว่าจบมอปลายแล้วค่อยไปย้ายไปอยู่คอนโด ท่านบอกว่าอยากอยู่กับผมให้ชื่นใจก่อน ผมก็โอเคเอาที่พ่อแม่สบายใจละกัน ท่านสะดวกแบบนี้ผมก็ไม่ขัด
ไม่ใช่แค่ผมน่ะ แม้แต่คุณอาคุณป้ายังสงสัยว่าทำไมลูกชายของตัวเองไม่ยอมให้บอดี้การ์ดขับรถไปรับไปส่ง แต่กลับยอมเทียวไปเทียวมากับผมกันอยู่อย่างนี้ ผมเลยถามไอ้บิวมันไปตรงๆ ตอนแรกที่ถามก็แอบกลัวเหมือนกัน ( กลัวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออะ แต่พอลองเช็คดูแล้วมันคิดกับผมแค่เพื่อนจริงๆ )
มันกลับให้เหตุผลว่าอยากไปเรียนพร้อมผม เผื่อ ป.ตรี แยกกันเรียนต่างสาขาก็จะไม่ค่อยได้เจอ มันทำเหมือนบ้านผมกับบ้านมันห่างกันเป็ 1000 กิโลเมตร ทั้งที่ในความเป็จริงแล้วบ้านของเราห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตรด้วยซ้ำ ทุกคนรวมทั้งผมด้วยก็ไม่ขัดมาในเมื่อมันมีเหตุผล และ 95% ในตอนนั้นผมว่าผมคงเลือกเรียนคนละสาขากับมันแน่ๆ
[ และนี่คือการพบกันครั้งแรกของผมและเขา ผู้ชายที่ชื่อเตโช ]
1 ปี หลังจากนั้น............
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้เจอรุ่นพี่หน้าส้นตีนคนนั้นอีกเลย สำหรับผมมันคงดีแล้วที่ไม่ต้องเจอใบหน้าหล่อขี้เก๊กนั่น แต่เอ๊ะ แล้วผมคิดถึงเื่นี้ทำไมเนี่ย เดี๋ยวก็เจอแม่งหรอก
ตอนนี้พวกผมก็จบการศึกษากันแล้ว และกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองอยากเรียน เพราะพวกเราได้ยื่นใบสมัครเรียนกันเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่สอบ
จริงๆ แล้วสำหรับพวกเราทั้งสามคนไม่จำเป็ต้องยื่นใบสมัคร ไม่จำเป็ต้องสอบ ยังไงก็ได้เรียนในที่ๆ เราอยากเรียนอยู่ดี เหตุผลคือบ้านรวยและมีอำนาจ แต่พวกเรา ทั้งผม ไอ้บิว ไอ้สมายด์ เราคิดว่าไม่ควรเอาเปรียบคนอื่นๆ และเราควรจะใช้ความสามารถของตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน ให้มันได้มาด้วยความพยายามของเราเองมันน่าภูมิใจกว่า
และถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ไหวจริงๆ ค่อยใช้เส้นสายของที่บ้าน ถึงตอนนั้นก็ไม่สาย
ผมเลือกมหาวิทยาลัย SK คณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ไอ้บิวแม่งก็ขยั้นขยอขอพ่อมันเรียนเหมือนผมให้ได้ สุดท้ายคุณลุงเลยต้องยอมให้มันเรียน สอบข้อเขียนผ่านไปด้วยดี ไม่ได้มีอะไรยากเลยสำหรับผม ก็เหลือแค่สอบสัมภาษณ์ซึ่งมันคือวันมะรืนนี้ ซึ่งผมคิดว่าจะขับรถไปเองไอ้บิวก็คงไปกับผมเหมือนเดิม ส่วนไอ้สมายด์มันเลือกเรียนวิศวะเครื่องกล มหาวิทยาลัย SS
ไลน์ ติ้ง ! ติ้ง !! ติ้งๆๆๆๆๆๆๆๆ !!!!
รัวขนาดนี้คงไม่มีใครแล้วนอกจากไอ้เพื่อนรักตัวแสบของผม พอล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูก็ใช่จริงๆ
ไอ้บิวตี้ : มึง
ไอ้บิวตี้ : ไอ้พิช
ไอ้บิวตี้ : ไอ้สัสพิช
ไอ้บิวตี้ : ทำไรอยู่ว่ะ ?
ไอ้บิวตี้ : ว่างป่าว?
ไอ้บิวตี้ : ไปเพื่อนกูหน่อย
ไอ้บิวตี้ : ???????
ไอ้บิวตี้ : เงียบ อ่านล่ะไม่ตอบนะมึง
ในขณะที่ผมกำลังจะพิมพ์ตอบมันกลับไป จู่ๆ โทรศัพท์ในมือก็สั่นพร้อมเสียงเรียกเข้า
...RRRRRRR........
................Trrrrrrrrrr.............พอผมกดรับเท่านั้นแหละมันก็พูดรัวมาเลย
ไอ้บิว : มึง ไอ้สัสพิช อ่านไลน์กูละไม่ตอบนะ สัสสส ทำเหี้ยไรอยู่ว่ะเนี่ย
ผม : เออๆ กูตอบไม่ทัน เล่นรัวมาขนาดนั้น
ไอ้บิว : มึงอะอ่านไลน์ช้า แม่รง
ผม : แล้วนี่มึงมีไร ?
ไอ้บิว : กูมีเื่ขอร้องให้มึงช่วย ได้ป่าวว่ะ ? (น้ำเสียงร้อนรนก่อนจะเปลี่ยนเป็ไม่แน่ใจในตอนท้ายประโยค)
ผม : ว่ามาก่อน
ไอ้บิว : ไปเพื่อนกูที่ MD ได้ป่ะว่ะ กูมีนัดกับรุ่นพี่ที่กูกำลังจีบว่ะ
(MD คือห้างดังในเครือของคุณศรุติ ซึ่งเขาก็เป็เพื่อนของพ่อผมเอง และใกล้ๆ MD ก็มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ผมชอบแอบไปนั่งคนเดียวบ่อยๆ)
ผม : อ่าวแล้วทำไมมึงไม่ไปคนเดียวว่ะ เอากูไปเป็ก้างเพื่อ? จีบหญิงยังจะลำบากกูอีกนะมึง
ไอ้บิว : เหอะน่า ไปเพื่อนกูหน่อย พลีสสสสสส
ผม : เออๆ ว่างอยู่พอดี (ไปส่งมันในห้างแล้วค่อยไปนั่งเล่นที่สวนก็น่าดี เบื่อเดินห้างแล้ว)
ไอ้บิว : ขอบพระคุณครับเพื่อนรัก ขอบพระคุณอย่างสูง
ผม : ทีงี้พูดดีมาเชียวนะมึง
ไอ้บิว : เอาน่ามึง อีก 10 นาทีมารับกูด้วย ไปรถมึง ไม่ต้องเอาบอดี้การ์ดไปนะมึง
ผม : เค
หลังจากนั้นผมก็มารับแม่งที่บ้านแล้วก็ขับรถตรงไปยัง MD ทันที ก่อนออกจากบ้านก็สั่งลูกน้องไปแล้วว่าไม่ต้องตามอยากได้ความเป็ส่วนตัวซึ่งพี่บิ๊กก็เข้าใจ
ปี้น ! ปี้น !!! ผมตบแตรเรียกไอ้เพื่อนตัวดี
“มาแล้วๆ” ไอ้บิวรีบวิ่งมาขึ้นรถทันที หอบเหมือนหมามาเลย
“บอกมาดิมึงนัดใครไว้?” ผมถาม
“เอาน่า ไปถึงเดี๋ยวก็เจอ อันที่จริงมึงไม่ควรเสือก รึป่าว?” ดูความกวนตีนของไอ้บิวมันครับ
“เดี๋ยวกูถีบตกรถเลยมึง” ผมแกล้งขู่มันเล่น แต่ดูเหมือนจะได้ผลใช้ได้เลย หึหึ
“ใจเย็นๆ ครับเพื่อนรัก รับรองถ้ามึงเห็นมึงต้องบอกว่าน่ารัก ใช่ พี่น็อคน่ารักมาก” ไอ้บิวพูดจบก็ยิ้มหวานหน้าชื่นตาเชื่อมเลย เห็นแล้วขนลุกรู้สึกสงสารรุ่นพี่คนนั้นจริงๆ เลยที่ดันเป็คนที่ไอ้บิวชอบ และคงไม่ใช่ชอบแบบธรรมดาแน่ๆ
“ เออๆ เดี๋ยวกูส่งมึงที่พี่เค้าเสร็จกูไปนั่งเล่นที่สวน มึงเสร็จเื่มึงค่อยโทรหากูละกัน หรือไม่ก็ให้พี่ดิวมารับ” ผมบอกมันเอาไว้ล่วงหน้า เผื่อผมอยากนั่งเงียบๆ คนเดียวนานๆ
“จะไปนั่งสมาธิเหรอมึง ฮ่าๆๆๆ” เหี้ยนี่ก็พูดเกินไป
“กูแค่นั่งคิดอะไรเพลินๆ ป่าวว่ะ” ผมเถียงมันกลับไป
“เออๆ” ไอ้บิวตอบแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์แชทรัวๆ
ส่วนผมก็ขับรถตรงไป MD ทันทีด้วยความเร็วที่ผมพอใจ แต่ความเร็วระดับนี้สำหรับม๊าคงไม่น่าปลื้มสักเท่าไหร่ จริงๆ แล้วผมกับไอ้บิวไอ้สมายด์ พวกเราชอบแอบหนีไปแข่งรถกันบ่อยๆ แต่ก็มีบอดี้การ์ดตามไปด้วยทุกครั้งแต่ก็ต้องมีค่าปิดปากเล็กๆน้อยๆเพื่อไม่ให้เื่นี้ถึงหูคุณม๊าและคุณป้า ไม่อย่างนั้นก็ซวยกันหมด ส่วนป๊ากับลุงไม่ค่อยอะไรกับพวกเราเพราะรู้ๆ กันอยู่
ขับรถไปได้สักชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงจุดหมายที่้า ผมกับไอ้บิวจอดรถเสร็จก็ตรงไปยังหน้าโรงหนังทันที เพราะไอ้บิวบอกว่ามันนัดรุ่นพี่เอาไว้ที่นี่
ในขณะที่กำลังรอรุ่นพี่คนนั้น สายตาของผมก็เหมือนจะเห็นใบหน้าของใครสักคนที่ดูคุ้นตาและผมจำได้ดี แต่มันคงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมยกมือขยี้ตาเบาๆ แล้วมองอีกครั้ง เหี้ยครับ ชัดเลย มันคือคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด ไม่เจอเป็ปี พอจะเจอแม่งก็เจอกันง่ายๆ และแม่งก็เดินตรงมาทางที่ผมกับไอ้บิวยืนอยู่ซะด้วยพร้อมรอยยิ้มหล่อๆ แต่ดูกวนตีนมาให้
ผมเชื่อแล้วครับ คนเราเกลียดอะไรไม่ชอบอะไรมักจะเจออย่างนั้นจริงๆ
“ไหนมึงบอกจะว่ากูจะไม่เจอแม่งอีกแล้วไงว่ะ?” ผมสะกิดแขนบิวไม่เบานัก จะบอกว่าทุบก็ได้นะ
“กูบอกแล้วไงว่าโลกกลม มึงไม่เชื่อกูเอง” บิวพูดแล้วหันไปยิ้มให้รุ่นพี่หน้าส้นตีน(เตโช)
“กูต้องซวยทั้งวันอีกแน่” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ
“เอาน่า ถือว่ามึงทำเพื่อกู” บิวพูดพร้อมยกมือตบลงบนไหล่ผมเบาๆ
“เชี้ยเถอะ นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงรู้?” ผมถามแบบอารมณ์เริ่มหงุดหงิด ถ้าเดาไม่ผิดแม่งหลอกผมมาแน่
“เออๆ ทนเอา กูไปล่ะ แต๊งมึง ” ไอ้บิวพูดแค่นั้นแล้วก็เดินไปกับพี่น็อค
“เชี้ย …พ่องมึง” ผมโคตรหงุดหงิดเลยอะครับ
“หึหึ น่ารัก” หน้าตากวนตีนไม่พอ พี่ยังจะมาชมผมอีก
“น่ารักกับผีสิพี่” ผมโวยวายทันทีที่โดนชมว่าน่ารัก ถ้าบอกว่าผมหล่อนี่จะไม่อะไรเลย หึย แต่เสียงจำเป็ต้องหล่อขนาดนี้มั้ยว่ะ
“ผีที่ไหนจะน่ารักขนาดนี้ น่ารักน่าหอม” พี่เตโชหน้าตีนยังคงพูดแกล้งแซวอย่างอารมณ์ดี
“พี่ว่าอะไรนะ?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ผิด
“น่ารัก ฟอดดดดด หึหึ” พี่เตโชหน้าตีนชมอีกครั้งแล้วเสือกขโมยหอมผมไปฟอดใหญ่อย่างรวดเร็ว
“............................” เชี้ย เอ๋อแดกไปเลย ผม ได้แต่ใช้มือลูบแก้มข้างที่โดนหอมเบาๆ
“ทำบ้าอะไรของพี่ว่ะเนี่ย ผละ” ผมโวยวายทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองโดนเอาเปรียบพร้อมใช้แขนขวาปล่อยหมัดทันที
“ฟอดๆ ฟอดๆ !!!!” แต่ไอ้พี่เตโชหน้าตีนหลบหมัดของผมได้สบาย แล้วจับข้อมือของผมล็อคเอาไว้ด้านหลังจากนั้นก็ก้มลงหอมแก้มนุ่มๆ อีกหลายๆ ครั้ง
“ปล่อยนะเว้ย” เมื่อดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดพ้นจากแขนแข็งแรงนี่สักที ผมจึงโวยวายแทน
“จะปล่อยดีมั้ยน๊าา หึหึ” ยังๆ ยังไม่ปล่อย แถมทำเสียงนุ่มทุ้มที่ข้างหูผมอีก หัวเราะในลำคอเบาๆ
“อยากตายรึไง” ผมเอ่ยเสียงเย็น ท่าทางที่นิ่งเงียบ แต่ต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง บรรยากาศรอบตัวดูดุดันเหมือนจะมีรังสีอำมหิต ทำให้เตโชทำใจต้องผละออกเล็กน้อยก่อนจะกระตุกยิ้มแบบชิวๆ
“ครับๆ ห้ามต่อยเพราะถ้าต่อยต้องโดนลงโทษเหมือนเมื่อกี้นะ เข้าใจมั้ยครับน้องพิช?” ไอ้พี่เตโชพูดเสียงหล่อปนอ่อนโยน
“ อืม” ผมพยักหน้ารับเบาๆ เมื่อไอ้พี่เตโชยอมปล่อย ผมก็ก้าวถอยห่างทันที
“ไม่ต้องมองอย่างนั้นหรอก ถ้าไม่เต็มใจต่อไปจะไม่ทำ แต่ถ้าน้องพิชเต็มใจก็อีกเื่” ผมเผลอส่งสายตาอะไรออกไปกันนะ แล้วดูไอ้พี่นี่มันพูดสิ
“ไม่มีวัน” ผมพูดอย่างมั่นใจว่ามันคงไม่มีวันนั้นแน่นอน
“เรียน SK ไม่ใช่เหรอ งั้นคงได้เจอกันบ่อยๆ” ไอ้พี่เตโชหน้าส้นตีนพูดแล้วยิ้มกริ่ม
“ทำไม?” มันคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวและผมก็ถามออกไปทันที ทำไม ถึงต้องเจอกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปจนจบประโยค ส่วนที่เหลือก็ปล่อยมันค้างเอาไว้ในความคิด
“อยากรู้?” ไม่อยากรู้แล้วจะถามมั้ย
“พี่ได้คิดก่อนถามป่ะเนี่ย?” ผมถามแบบกวนๆ
“หึหึ มหาวิทยาลัยเดียวกัน” จบครับ ถ้าพี่มันพูดมาอย่างนั้น
“แล้วนั่นจะไปไหน?” ไอ้พี่เตโชหน้าส้นตีนเอ่ยถามทันทีในขณะที่ผมเดินไปทางลิฟต์
“หาที่เงียบๆ” ผมตอบแบบเซ็งๆ
“ ครับ แล้วเพื่อน ?” ไอ้พี่เตโชยังคงถามต่อ
“ เพื่อนผมโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว และผมคิดว่าเพื่อนพี่คงไม่ทำอะไรเพื่อนผมหรอกมั้ง อ่อ ถ้าเป็เพื่อนผมอันนั้นไม่แน่ ผมไปละ บาย ” ผมตอบรัวรวดเดียวจบแล้วเดินออกมาเลย
“ แล้วเจอกันครับน้องพิช ” เสียงไอ้พี่เตโชดังแว่วตามหลังมา
“ คงไม่เจอ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ในขณะที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวลงอย่างช้าๆ
เมื่อลงมาถึงชั้นล่างของห้างเป็ที่เรียบร้อยผมก็เดินไปเอากล้องถ่ายรูปในรถแล้วเดินตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ติดกับห้างทันที บรรยากาศวันนี้ดีมากๆ และที่ดีไปกว่านั้นคือวันนี้มุมโปรดของผมไม่มีใครมาใช้บริการ บริเวณตรงนี้มองเห็นวิวสระเก็บน้ำขนาดใหญ่ พอตกเย็นดวงอาทิตย์ก็ตกลงที่ด้านนี้พอดี มีต้นไม่ล้อมรอบให้ความร่มเย็น เป็วิวที่สวย สบายตา สบายใจ ทำให้เราผ่อนคลายไปกับธรรมชาติตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกเลยที่ผมจะชอบที่นี่
นั่งเล่นไปเรื่อยและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงเื่ไอ้พี่เตโชหน้าส้นตีนนั่นด้วย มองแว็บเดียวก็รู้แล้วว่าสายตานั่นมัน้าอะไร สื่อออกมาอย่างชัดเจนไม่มีการปิดบังสักนิด อยากได้ อยาก ้า อยากกลืนกิน ไม่ใช่สิ่งของนะครับ แต่ทุกอย่างที่ดวงตานั้นสื่อออกมาทั้งหมดนั้นคือ ผม
สำหรับผม คนๆนี้ อันตรายเกินไป ไม่ว่าจะความเร็ว พละกำลัง สายตา ท่าทีที่คุกคาม และทุกๆอย่างรอบๆตัวเขามันดูอันตราย และที่สำคัญเค้าคล้ายกับผมเกินไป
เื่ที่เรียนก็เหมือนกัน จริงๆไอ้พี่เตโชมันต้องเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องบอกว่าได้เจอกันบ่อยๆ หรือว่าไอ้พี่เตโชมันต่อโทว่ะ
หรือว่าผมจะลงเรียนที่อื่นดีว่ะ ได้ไม่ต้องเจอแม่ง
หลังจากกลับจากสวนสาธารณะผมก็นอนคิดทั้งวันทั้งคืนกับเื่นี้ และสุดท้ายผมก็ได้คำตอบ คือผมจะไม่เรียนที่ SK แต่จะยื่นลงที่ GK แทน วันสอบสัมภาษณ์ผมก็ไม่ไปพลอยทำให้ไอ้บิวก็ไม่ไปเช่นกัน ตามผมมาลงเรียนที่ GK เหมือนกันแต่คนละคณะกับผม มันคงยอมฟังคุณลุงคุณป้าล่ะมั้ง
[ และนี่คือการพบกันครั้งที่สองของผมและเขา ผู้ชายที่ชื่อเตโช ]
จะว่าไปแล้วผมจะคิดถึงไอ้พี่เตโชทำไมว่ะเนี่ย ฟุ้งซ่านจริงๆ เลย นอนดีกว่าพรุ่งนี้ร้านกาแฟรออยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
————————————————————
!!!!!! โอ๊ะโอลืมแนะนำตัวเลยแหะ !!!!!!!
สวัสดีผมชื่อ พิช พีชญะ ศิวรางค์ อายุ 23 ปี สูง 171 ซม. น้ำหนัก 70 กก. จบจากมหาวิทยาลัย GK คณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัว
หล่อ ขาว หุ่นดี รวย อารมณ์ดี ขี้เล่น เฟรนลี่แต่ไม่ใช่กับทุกคน เวลาโกรธมักจะเงียบ เ้าเล่ห์ เ้าแผนการ และมีรอยยิ้มที่ทำให้ใครๆ ต่างตกหลุมรัก ผู้หญิงมักเข้าหาไม่ขาดสาย ส่วนผู้ชายก็มีบ้าง แต่ขอโทษครับไม่เคยมีใครได้หัวใจไปสักคน
งานอดิเรกของผมก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็สนามแข่งรถ บางวันก็อยู่แบบชิวๆตามสไตล์ วาดภาพ ถ่ายรูป ชั่งชิวๆที่ร้านกาแฟ อินดี้จัดเพราะชอบไปคนเดียว
ครอบครัวศิวรางค์มีลูกชายแค่ 2 คน คือ พี่พีชและผม พี่พีช เป็คนค่อนข้างเงียบ ไม่ชอบพูด ส่วนผมเป็ลูกชายคนเล็กของตระกูลศิวรางค์ที่ใครๆ ก็มักจะมองว่าผมเป็พี่ชายคนโตอาจเป็เพราะนิสัย และบุคลิกความแข็งแกร่ง ความสุขุมละมั้ง
ครอบครัวผมทำธุระกิจเกี่ยวกับส่งออกอาหารแปรรูป และแม่ยังมีงานอดเรกคือเปิดร้านจิวเวลรี่ในห้างดัง DM ของเพื่อนป๊าอีกด้วย งานอดิเรกที่เหมือนไม่ใช่งานอดิเรกเพราะตอนนี้แม่ผมกำลังจะเปิดสาขาที่ 10 แล้วครับ
งานหลักของผมตระกูล ก็ เห้ออออ จะบอกว่าชอบก็ชอบ จะบอกว่าเบื่อก็เบื่อ
เดอะแก๊งมี 2 กลุ่มหลัก คือ
- มัธยมปลาย บิว กับสมายด์
- มหาวิทยาลัย นีล ซัน เจ เบล
........................................................
