เหออี้นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นพลางกอดหนังสือ “ศาสตร์การปลุกกำลังใจ” แล้วร้องไห้ด้วยความเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง น้ำตาซึมเลอะเสื้อเชิ้ตสีขาว ตอนนี้เธอสวมกระโปรงยูนิฟอร์มสั้นสีกาแฟขับความงามของเธอออกมาอย่างชัดเจน แล้วจู่ๆ ปลายกระโปรงของเธอก็สะบัดพลิ้วจนเผยให้เห็นส่วนเว้าชวนใจสั่น สือซานที่เห็นภาพนั้นก็ถึงกับตกตะลึงสติหลุดลอยไปไกล
“อะแฮ่ม...”
ผ่านไปพักใหญ่ในที่สุดสือซานก็ส่งเสียงพูดออกมาก “คุณคนสวย ลู่เฉินไม่อยู่ที่นี่แล้ว คุณดูสิ?”
“ฉัน...ฉัน...”
เหออี้เงยหน้ามองตู้สือซานดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอ “ออกไปไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!”
“ผม!”
สือซานจนปัญญาก่อนจะพูดออกมาอย่างปลงตก “แต่การที่คุณอยู่ที่นี่มันรบกวนชีวิตของผมนะครับ ได้โปรดคิดถึงจุดนี้ด้วย”
เหออี้เริ่มมีโทสะ “ไสหัวไป!”
สือซานถึงกับชะงักไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาไม่สามารถต้านทานอารมณ์ฉุนเฉียวของเหออี้ได้เลย
......
เวลาผ่านไปนานมากในที่สุดเหออี้พยุงตัวเองลุกขึ้นโดยถือหนังสือศาสตร์การปลุกกำลังใจไว้แน่น เธอมองไปรอบห้องด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์จากนั้นจึงหันหลังเดินออกประตูไป
สือซานรู้สึกโล่งใจไปในที่สุด จากนั้นเขาก็เคาะประตู 2-3 ที “ลู่เฉิน ออกมาเถอะเธอไปแล้ว”
สีหน้าผมดูแย่มาก สือซานรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรจึงตบลงมาที่ไหล่ผมเบาๆ “อย่าเศร้าไปเลย แค่ความเสียใจชั่วครู่เท่านั้นแหละ รอให้นายฟื้นตัวเป็ปกติเมื่อไหร่แล้วค่อยไปเจอเธอ เซอร์ไพรส์เธอไง ไม่ดีหรอ?”
ผมพยักหน้า สือซานที่ปกติจะปลอบคนไม่เป็กลับพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้ราวกับไม่ใช่สือซานคนเดิม
“แต่ว่า เหออี้นี่สวยมากๆ เลยนะ...” สือซานชื่นชมออกมาจากใจจริง
ผมหลุดยิ้มแล้วถามว่า “สวยขนาดไหน?”
สือซานทำเสียงเหมือนกำลังคิด “สวยแบบโลกตะลึง สวยไม่บันยะบันยัง!”
“ไม่เลวนะ รู้จักใช้สำนวนด้วย”
“เออน่า!”
......
“ลงไปกินปลาต้มผักกาดดองข้างล่างไป ฉันเลี้ยงเอง หิวมาทั้งวันแล้ว” สือซานเดินไปใกล้หน้าต่าง แต่พอสายตาของเขากลับเหลือบลงไปด้านล่างเขาก็ใรีบหดหัวกลับเข้ามาทันที “เธอ...เธอยังไม่ไปเลย...”
ผมขยับมาข้างเตียงแล้วชำเลืองมองลงไปปราดเดียวก็เห็นเหออี้นั่งอยู่ในรถพาดแขนไว้กับพวงมาลัยขณะที่ตัวและไหล่ของเธอกำลังสั่นเทิ้มอยู่
ภาพนี้บีบหัวใจของผมสุดๆ เ็ปจนพูดไม่ออก ผมอยากจะวิ่งลงไปและบอกกับเธอว่าผมไม่ตายแค่เกือบตายเท่านั้น
แต่ผมก็ใช้สติทั้งหมดระงับความหุนหันนี้ไว้ จากนั้นสือซานก็เดินลงไปชั้นล่างคนเดียวเพื่อซื้อของกินขึ้นมา
กระทั่งถึง 4 ทุ่มกว่าผมก็ยังไม่ได้ออนไลน์ ผมแอบอยู่หลังม่านมองไปที่เหออี้และอยู่เป็เพื่อนเธอเพื่อผ่านพ้น่เวลานี้ เพราะนี้อาจจะเป็ครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้จ้องมองเธอ
แต่กลางดึก่ประมาณ 5 ทุ่มก็มีผู้หญิงในชุดกระโปรงยูนิฟอร์มสีดำโผล่มาปลอบใจเหออี้ได้ครู่หนึ่งรถลัมโบร์กีนีของเธอก็ขับออกไป
ผมรู้จักผู้หญิงคนนั้น เธอคือมู่หรงิเยว่ หนึ่งในสี่ผู้าุโ “รื่อเยว่ซิงเฉิน” ของนิมิติญญาดาบศักดิ์สิทธิ์
......
“พี่ิเย่วหน้าตาแบบนี้เองสินะ...” ผมพึมพำออกมาหนึ่งประโยค
ั์ตาของสือซานเป็ประกาย จากนั้นเขาก็เช็ดน้ำลายพร้อมกับพูดขึ้นมา “เธอช่างงามหยดย้อยจริงๆ...”
ผมพยักหน้า ในเกมมู่หรงมีอาชีพเป็นักบวช แต่ไหนแต่ไรมาคำติดปากของเธอก็คือ “ฉันมู่หรงิเยว่เนื้อนมไข่มีพร้อมแจกให้ผู้แสวงบุญยากแค้นทั่วโลกหล้า!”
ผมเขม่นตาใส่สือซานแล้วพูดขึ้นมา “หยุดคิดเลยเถิดไปไกลได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็เหออี้หรือมู่หรงิเยว่ แกก็แตะต้องผู้หญิงสองคนนี้ไม่ได้!”
“ทำไมวะ?” สือซานถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้เว้ย!” ผมตอบแบบตัดบทจบ
“ชิ งั้นช่างมันก่อน กินข้าวได้แล้ว!”
“อือ”
ผมสองคนขะมักเขม้นจัดการกับข้าวตรงหน้า และเมื่อท้องอิ่มแล้วตู้สือซานก็ถามขึ้นมา “จะทำอะไรต่อล่ะ?”
“กลับไปออนไลน์ ไต่ขึ้นเลเวล 30 รักษาแผลใจ อย่าลืมสิตอนนี้ฉันเจ็บหนักมาก” ผมยิ้มเ้าเล่ห์
สือซานพยักหน้า “อืม ต้องรีบไต่เลเวลหน่อยต่อไปเราจะได้ก่อตั้งสมาคมคนเลเวลสูงช่วยกันกวาดล้างคนที่คิดจะมาเป็ศัตรูกับเรา โฮะฮ่าๆๆๆ! เข้าเกม ฉันต้องพุ่งทะยานสู่เลเวล 30 ให้ได้!”
“แกพุ่งให้ถึงเลเวล 15 ก่อนเถอะค่อยว่ากัน...”
“...”
......
ในหน้าคู่มือของเกมเทียนจ้ง เลเวล 30 คือเลเวลแบ่งระดับเพราะผู้เล่นที่ถึงเลเวล 30 แล้วอาชีพจะเลื่อนขึ้นเป็ขั้นสูงอย่างเป็ทางการซึ่งเรียกว่าจุดเปลี่ยนที่ 2 อีกอย่างผู้เล่นเลเวล 30 เท่านั้นที่จะสามารถมีสัตว์เลี้ยงหรือจับสัตว์ได้ ฉะนั้น่ที่เกมเพิ่งเปิดตัว ระยะแรกจะต้องมีผู้เล่นจำนวนมากพยายามอัปเลเวลอย่างเอาเป็เอาตายเพื่อคว้ารางวัลใน่จุดเปลี่ยนที่ 2 นี้แน่ๆ นอกจากนี้การมีสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งมาช่วยรบก็จะเป็ประโยชน์อย่างมาก
“อื้ม รีบเล่นให้ถึงเลเวล 30 ก็ดี หลังจากขึ้นจุดเปลี่ยนที่สองแล้วต้องมีทักษะที่เก่งกว่านี้แน่!”
หลังจากที่ผมพึมพำกับตัวเองแล้วผมก็ออนไลน์ทันที
“ซู่!”
ลำแสงส่องประกายระยิบระยับในความสลัว ผมปรากฏตัวอยู่ในสุสาน รอบด้านมืดสนิทมีเพียงตำแหน่งของป้ายหลุมศพที่เปล่งแสงแวววาวออกมา ตรงนี้คือที่ซ่อนตัวอย่างดี ผู้เล่นในเมืองฝูปิงเมื่อออฟไลน์ออกจากเกมไปล้วนต้องกางเต็นท์ให้ตัวละคร ซึ่งทำให้พวกที่ลอบออกล่าเลเวลมักพบกับเต็นท์ของมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง แต่สำหรับที่พักของผมไม่มีใครเฉลียวใจแน่นอน
“ครืนๆ...”
ผมใช้แขนดันเศษดินที่ถมร่างอยู่เพื่อเปิดทางออกแล้วเอาส่วนหัวมุดออกมาเหนือกองดิน ตอนนี้ผมที่รับเปลวไฟิญญามาเป็จำนวนมหาศาลเลื่อนขั้นขึ้นเป็นักรบิญญาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นร่างกายของผมจึงเริ่มมีเืเนื้อก่อตัวขึ้นเป็ชั้นบางๆ ไม่ใช่แค่โครงกระดูกเปลือยเปล่าเหมือนตอนแรกอีกแล้ว ทว่ารูปลักษณ์แบบนี้กลับทำให้คนหวาดกลัวยิ่งขึ้น แม้แต่ตอนที่หันไปเห็นตัวเอง ผมยังใคิดว่าเห็นผีเข้าด้วยซ้ำ
“ผับๆ!”
เมื่อปัดผงดินที่ติดอยู่บนขาเสร็จและกำลังจะก้าวขาออกไป ทันใดนั้นก็มีแรงลมร้อนพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง
พลังหนามเพลิงอีกแล้วเหรอ
ผมดึงดาบออกมาบังตัวโดยสัญชาตญาณจนเกิดเสียงดัง “ชิ้ง” ยามดาบกระทบกับลูกไฟที่พุ่งเข้ามา แล้วทันใดนั้นผมก็กระโจนเข้าไปตวัดดาบใส่อีกฝ่าย 2 ครั้งจนคมดาบทะลุเกราะอกของฝ่ายตรงข้ามก่อนที่ดาบเล่มยาวจะมีไฟสีเขียวมรกตลุกโชนขึ้นมา จากนั้นผมตะคอกออกมาด้วยความฉุนเฉียว “ยังไม่ยอมแพ้อีก?”
“ฉึก!”
ดาบขจีไพรเจาะผ่านเกราะของฝ่ายตรงข้ามอย่างง่ายดาย กลุ่มเืกระจายฟุ้งลอยขึ้นมาพร้อมตัวเลขความเสียหาย—424!
ดาบเดียวปลิดชีพ!
ถือว่าเป็โชคไม่ดีของกุ่ยกู่จือ ทีแรกเขายังมีโอกาสแต่พอผมใช้ดาบปลิดชีพการประลองครั้งนี้ก็จบลงก่อนเวลาจนได้
“อึ๊ก...”
กุ่ยกู่จือส่งเสียงร้องออกมาแล้วล้มลงกองกับพื้น เลเวลของมันลดจาก 20 เหลือ 19 อีกครั้ง สิ่งที่เ้านี่พยายามเก็บมาแทบตายดันเอามาแลกกับการสั่งสอนของผมเนี่ยนะ?
ผมยืนตรงและกอดดาบอยู่ข้างๆ รอให้มันคืนชีพขึ้นมา พอผ่านไปไม่กี่วินาทีร่างไร้ิญญาของกุ่ยกู่จือก็ฟื้นคืนชีพออกมาจากหลุมศพ เขาดีดตัวจากท่านอนราบ ลุกขึ้นมายืนอย่างสง่างามก่อนจะยกหอกยาวชี้มาที่ผมแล้วพูดขึ้น “นาย นี่นายคือจูหยิ่งล่วนใช่ไหม ทำไมฝีมือของนายเหมือนกับของมันมาก?!”
ผมยิ้มอย่างขี้เล่นแล้วตอบ “งั้นเหรอ บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่จูหยิ่งล่วน ถ้ายังอยากจะประลองกันอีกคราวหน้าใส่ไอเทมเจ๋งกว่านี้หน่อยนะ ให้ฉันได้ฮึดอยากออกอาวุธเต็มแรงบ้าง”
“แก!”
กุ่ยกู่จือใช้สายตาโเี้จ้องเขม็งมาที่ผม “นายเป็ใครกันแน่? จากการเคลื่อนไหวที่สอดประสานและจังหวะการต่อสู้ของนาย ฉันไม่มีทางไม่รู้จักยอดฝีมืออย่างนายแน่ๆ ถ้านายไม่ใช่เทพาจูหยิ่งล่วน นายอาจจะเป็เม็ดฝุ่นลอยลมในเงามืด หรือว่าจะเป็...ลั่วเฉิน? (เม็ดฝุ่นที่ร่วงหล่น)”
“ไม่สิ...” กุ่ยกู่จือส่ายหัวอย่างเร็ว “ลั่วเฉินพิการไปแล้วเมื่อปีก่อน ไม่น่าใช่เขา เฮ้อ น่าเสียดาย!”
ผมยิ้มกริ่ม กุ่ยกู่จือเป็ผู้มีประสบการณ์สามารถมองออกทะลุปรุโปร่ง ยอดฝีมือในเกมตัวจริงไม่ใช่ผู้มีวิทยายุทธ์สิบแปดฝ่ามือพิชิตัในโลกของจริง แต่กลับกันยอดฝีมือก็เป็แค่คนธรรมดาที่รู้จังหวะการต่อสู้ในเกม สามารถออกอาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมการเคลื่อนไหวให้คล้องประสานได้ดังใจเท่านั้น
สรุปรวบยอดในประโยคเดียวคือ ไม่มีอะไรนอกจากความชำนาญแค่นั้นเอง
......
ผมหิ้วดาบเหล็กสาวเท้าไปทางป้อมศีตเหมันต์และไม่ลืมที่จะหันกลับไปถามกุ่ยกู่จือ “เพื่อน ฉันอยากถามนายว่านายแพ้ด้วยคมดาบของฉันสามครั้งแล้ว นายจะยอมแพ้ได้หรือยัง?”
“ฉัน...” กุ่ยกู่จือมองผมด้วยสายตาเยียบเย็นพร้อมั์ตาที่มีเปลวไฟลุกโชน “ฉันไม่ยอมแพ้แน่นอน!”
ผมพยักหน้า “อื้ม ดีมาก ความจริงถ้าคิดอีกแบบเราก็เป็เพื่อนกันได้นะ ฉันไม่แนะนำให้นายเอาชีวิตมาทิ้งทุกครั้งที่เราสู้กันหรอกนะ แทนที่จะเป็แบบนั้นฉันว่าเรามาผูกมิตรกันไว้ดีกว่า บางทีอีกไม่นานอาจได้ก่อตั้งสมาคมแล้วร่วมมือกันกวาดล้างเมืองฝูปิงก็ได้ แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?”
“หา?!”
กุ่ยกู่จือสั่นเทิ้มไปทั้งตัวแล้วหลุดถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว “นาย...นายจะยอมร่วมสมาคมกับฉันเหรอ?”
“ทำไมจะไม่ล่ะ?”
“หึ!” กุ่ยกู่จือยิ้มหยามทันที “ยอดฝีมือตัวจริงเขาไม่พึ่งพาคนอื่นหรอก!”
“ก็นายไม่ใช่ยอดฝีมือ”
“...”
กุ่ยกู่จือเงียบไปสักพักสุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาจนได้ “ตอนนี้ฉันยังไม่คิดเื่นี้ ช่างมันก่อน แต่การดวลของฉันกับนายยังไม่จบคอยดูต่อไปเถอะ ฉันจะฝึกฝนเพิ่ม”
“อื้อ ดี!”
ผมหันหลังเดินจากมาพลางครุ่นคิดอยู่ในใจว่าถึงแม้กุ่ยกู่จือจะมีฝีมือธรรมดาแต่เขามีจิตใจที่แน่วแน่และมีสติปัญญาที่ดี ถ้าผมสามารถดึงตัวกุ่ยกู่จือมาร่วมกลุ่มได้จริงๆ กุ่ยกู่จือจะเป็คนที่มีบทบาทสำคัญในสมาคมที่จะตั้งขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
จุดประสงค์ที่จะก่อตั้งสมาคมเพื่ออะไรน่ะเหรอ?
ผมก็นึกถึงนิมิติญญาดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา จากนั้นในสมองของผมก็มีภาพความงามสง่าละเอียดลออที่ไม่มีใครเทียบเท่าของเหออี้จากฉากหนึ่งในอดีตผุดขึ้นมา
ใต้ต้นไม้เขียวชอุ่ม หญิงสาวชายหนุ่ม หนึ่งนักรบ หนึ่งนักธนู
เหออี้มองมาที่ผมแล้วเอ่ยถาม “ลู่เฉิน เป้าหมายในชีวิตของนายคืออะไร?”
“เงินทองและผู้หญิง” ผมตอบ
เหออี้ทุบหมัดหนักใส่ผมอย่างไม่พอใจ
เมื่อเป็แบบนั้นผมจึงพูดใหม่ “การงานและความรัก”
เธอเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมา “ต้องอย่างนี้สิ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้