“ท่านพี่ นกอินทรีตัวนั้นเท่มากเลย!”
“พี่สาม นกอินทรีั์เชื่อฟังท่านด้วย! ท่านสุดยอดมาก!”
ใต้ต้นพุทราสีเขียวเป็มันขลับ เสียงเล็กร้องะโของเด็กชายสองคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
บนกำแพงรั้ว เงาร่างสีน้ำตาลทองทรงพลานุภาพสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ ขนนกแวววาวอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ มีแสงสีเหลืองอ่อนลอดผ่านออกมาสว่างสดใส รูปร่างสูงใหญ่กรงเล็บเท้าแหลมคม สัตว์ปีกนักล่าในท้องนภา มักเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างพื้นที่ราบกับซอกหินบนูเาและผาสูงชัน ผู้คนรุ่นเก่าก่อนในหมู่บ้านย่อมรู้
นกอินทรีทองเพิ่งกินปอดหมูกับกระเพาะหมูพะโล้ไปเต็มๆ พอกินอิ่มแล้วก็จัดการขนบนปีกให้เป็ระเบียบขึ้น ไม่สนใจเด็กน้อยที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ข้างล่างสองคน
“พวกเ้าสองคนอย่าเข้าใกล้เกินไป มันไม่ใช่เสี่ยวหวงบ้านเรา อาจดุร้ายอยู่มาก” เจินจูเตือนเด็กชายสองคน แม้พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เ้าเด็กดื้อส่งเสียงเอะอะโวยวายเกินไป ไม่แน่ว่าอาจไปแหย่ให้มันหงุดหงิดเข้า
สองพี่น้องถอยออกมาสองสามก้าวอย่างเชื่อฟัง แต่ยังคงมองนกอินทรีทองแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น
“เ้าดู เล็บเท้าของมันแหลมคมมากเลย ข้างกำแพงนั่นมีรอยเล็บอยู่ด้วย”
“โอ้โห พอพระอาทิตย์ส่องโดนบนตัวมัน สีทองเต็มไปหมดเลย!”
“มันร้ายกาจมากเลย กินเนื้อพะโล้หนึ่งชิ้นใหญ่เพียงนั้นลงไปไม่กี่คำเอง ต้องหิวมากแน่เลยใช่ไหม?”
“…”
เจินจูมองศีรษะของสองคนที่ยิ่งเข้าใกล้กันเรื่อยๆ หมดคำจะกล่าว
นกอินทรีทองวนเวียนอยู่เนินหลังบ้านั้แ่เช้าแล้ว นางยุ่งมากจนตอนนี้ถึงมีเวลาให้อาหารมัน เมื่อครู่สายตานกอินทรีนี่เอาแต่มองนางอย่างล้ำลึก ความคับแค้นใจที่ซ่อนอยู่ในสายตาของมันเกือบจะไหลล้นออกมาให้เห็น มองจนดวงตาของนางเกือบจะเลิกขึ้นเพราะความสงสัยอยู่แล้ว
มารดาเถอะ สัตว์ประหลาดตามหุบเขาและท้องทุ่งพวกนี้ ตัวหนึ่งฉลาดกว่าอีกตัวหนึ่งจริงๆ
เมื่อวานนางไปซักเสื้อผ้าที่ลำธารูเา หนูขนสีเทาตัวนั้นก็วิ่งออกมา ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากนาง ดวงตาเล็กๆ กะพริบระยิบระยับมองมาที่นาง จนทำให้นางใจอ่อนไปพักหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดว่าจะให้ก้านผักกวางตุ้งสักก้านกับมันดีหรือไม่ หนูขนเทาก็วิ่งมาร้องถึงตรงหน้านาง เท้าเล็กวางของเปล่งแสงแวววาวอันหนึ่งลง แล้ววิ่งกลับไปที่เดิม
นางก้มหน้ามอง ไอ๊หยา! ของที่สีเหลืองส้มนี่เป็ทองคำกระมัง?
นางเช็ดมือเปียกโชกไปบนร่างกาย หยิบของขึ้นมาดูอย่างละเอียด โห... ก้อนเม็ดทองคำจริงด้วย ข้างบนหลอมลายเส้นและตัวอักษร ดูแล้วเหมือนเป็ตัวอักษรคำว่าอายุยืนเลย
ทองคำเลยนะ! กะน้ำหนักด้วยมือ อย่างไรก็ต้องหนักหนึ่งเหลียงกระมัง
เ้าเพื่อนตัวน้อยนี่ได้มาจากไหนกัน? ไม่ใช่ว่าขโมยมาจากครอบครัวไหนนะ? นางมองหนูขนเทาอย่างไม่มั่นใจ อดถามออกไปไม่ได้ “ได้มาจากไหน?”
เ้าเพื่อนตัวน้อยทำไม้ทำมือร้อง “จี๊ดๆ” ชี้ไปทางป่าเขาที่อยู่ลึกเข้าไป แล้วชี้มาทางนางอีกครั้ง
“ให้ข้า?”
เ้าเพื่อนตัวน้อยพยักหน้าอย่างน่ารัก
ดูท่าจะหมายความว่าเก็บมาจากป่าเขาที่อยู่ลึกเข้าไป หรือว่าไปเอามาจากบนร่างของมนุษย์กัน นางไตร่ตรองเล็กน้อย เดาแหล่งที่มาของทองคำขึ้น ทุกปีมีคนเข้าไปในเขาลึกของเทือกเขาไท่หางเพื่อไปเก็บสมุนไพรหรือหาของล้ำค่าไม่น้อย แต่เข้าไปง่ายออกมานั้นยาก คนที่โชคร้ายเจออันตรายที่ไม่คาดคิดเอาชีวิตไปทิ้งในนั้นก็ไม่น้อย เม็ดทองคำนี่น่าจะอยู่บนตัวของคนเ่าั้
สิ่งของบนตัวคนตายเลยนะ นางกลัวเล็กน้อย
เอาเม็ดทองจุ่มลงไปในน้ำแล้วถูไปมาด้วยฝ่ามือทันทีทันใด หยิบขึ้นมาดูหนึ่งรอบ ยังไม่พอใจอยู่จึงตักน้ำจ้าวเจี่ยวมาถูต่อสักพักหนึ่ง เห็นเม็ดทองคำมันวาวแล้ว จึงเช็ดคราบน้ำให้แห้งด้วยความพึงพอใจ
หนูขนเทาไม่เอ่ยเสียงมาโดยตลอด เอียงหัวมองนางอย่างเงียบสงบ ท่าทางน่ารักเหลือเกิน
เจินจูชอบใจ ล้วงก้านผักกวางตุ้งจากมิติช่องว่างออกมาหนึ่งก้านส่งให้มัน
ดวงตาเ้าเพื่อนตัวน้อยเป็ประกาย ร้อง “จี๊ดๆ” ไม่กี่ทีด้วยความตื่นเต้นและดีใจ คว้าก้านผักไปอย่างรวดเร็ว แล้วก้มหน้าแทะทันที
ฮ่าๆ มิน่าเล่าที่ยุคปัจจุบันมีคนเลี้ยงหนูเลี้ยง [1] ไม่น้อย อ้วนท้วนขนปุกปุย ท่าทางการแทะอาหารน่ารักเสียจนสามารถละลายใจคนได้ หนูขนเทานี่ค่อนข้างคล้ายชางซู่ [2] อย่างมาก นางมองอย่างมีความสุข แต่กลับไม่รู้เลยว่านางได้เริ่มรูปแบบในการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับหนูขนเทาแล้ว
ต่อมาหลังจากนั้นเป็เวลานาน่หนึ่ง หนูขนเทาตัวนี้มักจะกอบสิ่งของที่ส่องแสงแวววาวทุกชนิดมาปรากฏอยู่ในสายตาของนางบ่อยๆ
หนูขนเทาที่ฉลาดเฉียบแหลม อินทรีทองที่ฉลาดเฉียบแหลม รวมกับแมวดำที่จะกลายเป็ปีศาจ เฮ้อ... นี่นางกำลังจะกลายเป็แหล่งรวบรวมสัตว์ประหลาดแล้วหรือ
“หง่าว” เสี่ยวเฮยกำลังแทะเนื้อพะโล้ทีละคำอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้าง
เจินจูลูบขนเสี่ยวเฮยให้เรียบลง หันกลับไปยิ้มแล้วกล่าวกับนกอินทรีทองที่อยู่บนกำแพง “เสี่ยวจิน พวกข้าไปแล้ว เ้าห้ามวางแผนอะไรใส่ต้นพุทราเด็ดขาดล่ะ เ้าเป็สัตว์กินเนื้อ นี่ไม่ใช่อาหารของเ้า เข้าใจหรือไม่? แล้วก็อย่าทะเลาะกับเสี่ยวเฮยนะ เสี่ยวเฮยโกรธขึ้นมาน่ากลัวมากเลย เ้ากินเนื้อของบ้านข้า ต้องช่วยพวกข้าเฝ้าดูแลหน่อย ห้ามให้นกตัวไหนบินมาอาละวาดในอาณาเขตของเ้าได้ ที่สำคัญที่สุดคือ กระต่ายบ้านข้าที่ปล่อยออกมาวิ่งเล่น เ้าจับไปกินไม่ได้นะ ไม่เช่นนั้น ต่อไปจะไม่มีเนื้อพะโล้ให้กินแล้ว”
น้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มอบอุ่น ภาษาพูดราวกับหยอกล้อเด็กน้อยวัยห้าปี
จะไม่ใช่เด็กน้อยวัยห้าปีได้หรือ การแลกเปลี่ยนการสื่อสารกับพวกเขา ล้วนเป็การเข้าใจครึ่งหนึ่งเดาครึ่งหนึ่ง
“ไปกัน วันนี้ที่บ้านยุ่งมาก พวกเราต้องไปช่วย วันอื่นค่อยมาดูมันเถอะ” ะโเรียกสองพี่น้องที่ยังคงหลงใหลอยู่ในหัวข้อนกอินทรีทองอยู่ เจินจูหมุนตัวกลับไปบ้านใหม่
สองพี่น้องหนึ่งก้าวสามหันหลังกลับอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป พวกเขาได้ยินว่ามักมีนกอินทรีตัวหนึ่งมาวนเวียนอยู่หลังบ้านตนเอง เพราะเป็เช่นนี้ กว่าจะมีวันหยุดหนึ่งวันไม่ง่ายเลย เป็ธรรมดาที่อยากจะมาเปิดหูเปิดตาดูบ้าง
“ท่านพี่ ท่านว่ามันจะเข้าใจหรือ?” ผิงอันถามด้วยความประหลาดใจ
“ต้องเข้าใจแน่นอน เสี่ยวเฮยยังเข้าใจเลย” ผิงซุ่นแย่งตอบ
“อื้ม น่าจะเข้าใจได้สักหน่อยกระมัง เหมือนเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวง สัตว์เหล่านี้ค่อนข้างมีสติปัญญาดี” เจินจูตอบตามความเป็จริง
“ท่านพี่ มันชื่อเสี่ยวจินหรือ?” ผิงอันไม่ปล่อยให้คำเรียกขานในคำพูดของผู้เป็พี่สาวเขาตกหล่นไป
“ฮ่าๆ มันไม่ใช่ว่าเป็อินทรีทองหรือ เรียกมันว่าเสี่ยวจินก็พอดีเลย” อย่างไรเสียที่บ้านมีเสี่ยวเฮยเสี่ยวหวงแล้ว ชื่อเสี่ยวจิน [3] ช่างเหมาะสมมากนัก
“อื้มๆ เสี่ยวจินก็ดี! เสี่ยวจินก็ดี!” ผิงซุ่นกล่าวคล้อยตามเจื้อยแจ้ว
“…”
หลัวจิ่งฟังสามพี่น้องหญิงชายพูดคุยหัวเราะสนุกสนาน มุมปากอดกระตุกไม่ได้ ครอบครัวนี้ตั้งชื่อได้เป็เอกฉันท์ดีจริงๆ
เขามองอินทรีทองที่ยังคงยืนตระหง่านบนกำแพงรั้ว สายตาวูบไหว อินทรีทอง… ถูกทำให้เชื่องง่ายเพียงนี้?
ใช้เนื้อพะโล้แค่ไม่กี่ชิ้น? แม้เขาจะยอมรับว่าพะโล้ของสกุลหูอร่อยจริงๆ แต่…พวกมันไม่ใช่ว่าควรจะกินเนื้อสดหรือ?
เขางุนงงเล็กน้อย
ช่างเถิดบางคนอาจเป็เพราะมีวาสนาต่อสัตว์โดยธรรมชาติกระมัง เขาหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นจึงกลับไปจัดเก็บกระท่อมกระต่ายต่อ
แม้กำแพงรั้วบนเนินลาดจะสร้างไว้ดีแล้ว แต่โพรงกระต่ายยังสร้างขึ้นมาไม่ทัน สองสามวันนี้กำลังยุ่งกับเื่ย้ายบ้าน งานเช่นนี้เลยล่าช้าไป หลัวจิ่งไม่ได้ไปรบกวนที่บ้านใหม่ คนมากปากมาก การปรากฏตัวของเขาคงทำให้คนมากมายวิพากษ์วิจารณ์ เขาจึงสมัครใจช่วยอยู่ดูแลกระต่ายเอง
เจินจูไม่มีความคิดเห็น ในเมื่อเขาไม่ชอบปรากฏออกไปในที่คนมาก ก็ตามใจเขาแล้วกัน
ตอนพาเด็กชายสองคนเร่งไปถึงบ้านใหม่ของพวกเขา ในบ้านใหม่กำลังคึกคักอย่างมาก
หน้าห้องโถงมีเงากายพริ้วไหวดั่งหยกชิ้นงามยืนอยู่ในชุดสีขาวนวลของพระจันทร์ ดึงดูดสายตาของทุกคนให้หยุดอยู่ที่ร่างนั้น
หูฉางหลิน หูฉางกุ้ย จ้าวเหวินเฉียงและคนอื่นๆ กำลังล้อมเขาแล้วพูดคุยด้วยความระมัดระวัง
ร่างกายซูบผอมเรียวเล็กยืนอย่างตรงแน่ว พระอาทิตย์อันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิสะท้อนอยู่บนผิวขาวจนเกือบจะโปร่งใสของเขาอย่างช้าๆ คิ้วที่เดิมทีตกลงราวกับัับางอย่างได้ก็ไม่ปาน เมื่อเงยหน้ามองไป เห็นเงากายที่ปราดเปรียวงดงามสีเหลืองอ่อนก็สะท้อนเข้าในม่านตาของเขา
เด็กสาวตัวน้อยเหมือนจะสูงขึ้นแล้ว สีหน้าเปล่งปลั่งมีความชุ่มชื่น ดูท่าว่าความเป็อยู่ผ่านไปได้ไม่เลวเลย ในดวงตากู้ฉีที่อ่อนโยนสว่างสดใสเปื้อนรอยยิ้มขึ้น
ชาวไร่ชาวนาที่อยู่บริเวณโดยรอบพากันกระซิบกระซาบเอะอะมากความ ผู้คนที่กระจายอยู่เริ่มเป็กระจุกเข้าใกล้สังเกตกลุ่มของกู้ฉีอย่างละเอียด ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เฮ้! เ้าหนุ่มนี่มาจริงๆ ด้วย ไม่ใช่ได้ยินว่ากลับมาป่วยอีกครั้งหรือ? เจินจูมุ่ยปาก เอาเถอะ ผู้ที่มาเป็แขกจึงฉีกยิ้มขึ้น เดินเข้าไปทักทายต้อนรับอย่างมีมารยาท หลังจากนั้นให้ท่านพ่อของนางพาคนเข้าห้องโถงไป ส่วนนางเองหาข้ออ้างหนีไปชงชาในห้องครัว
ในห้องโถง หูฉางกุ้ยตกตะลึงเหงื่อผุดขึ้นหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาต้อนรับกู้ฉีมาจนถึงที่นั่ง แต่กู้ฉีบอกปัด เอาแต่กล่าวว่าผู้าุโและเด็กน้อยต้องมีระเบียบในการจัดเรียง มีผู้าุโอยู่ที่นี่จะมีเหตุผลใดให้ชนรุ่นน้อยนั่งบนที่นั่งสำหรับบุคคลสำคัญได้อย่างไร สองฝ่ายฉุดรั้งกันอยู่พักหนึ่ง กว่าจะจัดการที่นั่งลงได้ไม่ง่ายเลย และในที่สุดเหตุการณ์ถึงได้สงบลง
ในโต๊ะเลี้ยงมีเพียงพวกเขาสองพี่น้องที่เคยเจอกู้ฉี ตอนเริ่มแรกยังพอทักทายอย่างสุภาพได้สองสามประโยค โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่รู้จะชวนพูดคุยอย่างไร แต่ยังดีที่ชายชราสกุลหูได้ผ่านเื่ราวบนโลกมาโชกโชน ได้ยินเื่ราวของกู้ฉีมาเล็กน้อย จึงยิ้มแล้วชวนพูดคุย อายุเท่าไร? บ้านอยู่ไหน? ที่บ้านยังมีใครอีกบ้าง?...
กู้ฉียิ้มแล้วตอบทีละคำถาม ทั้งสุภาพและยังถ่อมตัวอีกด้วย ไม่นานจึงได้รับความชอบพอถูกใจจากทุกคน
ยามนี้ในห้องโถงได้ยินเพียงเสียงสอบถามของชายชราสกุลหูที่ทุ้มแหบกับเสียงตอบของกู้ฉีที่สดใสสง่างาม
ผู้ที่มาเป็เพื่อนกู้ฉียังคงเป็หลิวผิงกับเฉินเผิงเฟย ส่วนกู้จงค่อยรับภาระเล็กๆ น้อยๆ ทั้งยังขี้บ่น กู้ฉีออกจากบ้านจึงไม่ชอบพาเขามาด้วย
ผู้ติดตามของกู้ฉีสองคนนั่งอยู่โต๊ะด้านข้างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร คุณชายของตนเองนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายชราที่หยาบกระด้าง กู้ฉีพูดคุยกับพวกเขาด้วยท่าทีที่อ่อนโยนน่าคบหา ฉากนี้จะมองอย่างไรก็ไม่เข้ากัน
ด้านโต๊ะผู้หญิงฝั่งนั้น สายตาของผู้หญิงที่เป็คนในครอบครัวล้วนจับจ้องไปที่กู้ฉี พวกนางจะได้มีโอกาสเจอคุณชายอายุน้อยที่สูงศักดิ์และงดงามมีสง่าเช่นนี้ได้เท่าไรกัน แม้ดูแล้วเขาจะมีท่าทางอาการป่วยอยู่บ้าง แต่เสื้อผ้าดิ้นเงินดิ้นทองที่สวมใส่อยู่ มีรูปร่างหน้าตาสูงศักดิ์งดงามเฉพาะตัว พอมองแล้วรู้ได้เลยว่าเป็คนมีฐานะครอบครัวร่ำรวย
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนเอาแต่มองอย่างตกตะลึงปากค้าง เลยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากด้วยความเขินอายไว้ แต่ดวงตายังจ้องกู้ฉีไม่กะพริบ
“โอ้โห นี่เป็คุณชายสกุลใด รูปงามจริงๆ น้องสะใภ้ ครอบครัวเรารู้จักคนเช่นนี้ั้แ่เมื่อไรกัน?” หูชิวเซียงจ้องกู้ฉีไม่วางตา เข้าใกล้เหลียงซื่อแล้วถามเสียงเบา
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนได้ยินเช่นนั้นเลยเอนกายเข้าไปใกล้ตั้งใจฟังทันที หูอู้จูเองก็ตั้งหูรอฟังตามไปด้วยเช่นกัน
“อืม... น่าจะเป็คุณชายห้าของเ้าของร้านฝูอันถัง กล่าวกันว่าเป็ลูกหลานครอบครัวขุนนางในเมืองหลวง ชอบทานกระต่ายที่สกุลหูพวกเราเลี้ยงไว้ ครอบครัวเราเลยต้องนำกระต่ายไปส่งที่ฝูอันถังเว้นสามวันห้าวัน” น้ำเสียงของเหลียงซื่อมีความลำพองใจอยู่เล็กน้อย แม้นางไม่เคยพบกู้ฉี แต่นางเคยเห็นเ้าของร้านหลิวกับองครักษ์เฉินที่สูงใหญ่แข็งแรงผู้นั้น หูฉางหลินเคยบอกกับนางเื่ฝูอันถังนิดหน่อย นางเลยพอเดาออกอยู่บ้าง
“ลูกหลานครอบครัวขุนนางที่มาจากเมืองหลวง? ว้าว” เช่นนั้นก็โดดเด่นมากเลยน่ะสิ ไม่คิดเลยว่าที่บ้านจะรู้จักบุคคลใหญ่โตเช่นนี้ได้ หูชิวเซียงดวงตาเป็ประกาย
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนยิ่งสายตาเป็มันวาว มาจากเมืองหลวง ทั้งยังหน้าตาดีเพียงนี้อีก ความสูงศักดิ์ที่มีทั่วทั้งกายนั้น พอมองก็ดูรู้ว่าเป็คุณชายของครอบครัวขุนนางใหญ่โต หัวใจนางเอาแต่เต้น “ตึกๆ” หากว่าสามารถแต่งให้กับคุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ได้แม้เป็อนุนางก็ยินดี
“ทำไมเขาถึงมาที่เล็กๆ นี่กัน? เพื่อกระต่ายไม่กี่ตัวอย่างนั้นหรือ?” เฝิงซื่อกลับสงสัยเล็กน้อย คนมีเงินไม่เคยทานอาหารอันโอชะ [5] หรืออย่างไร สกุลหูเลี้ยงกระต่ายไม่กี่ตัวสามารถประจบลูกหลานคนใหญ่คนโตที่มาจากเมืองหลวงได้แล้ว?
สิ่งเหล่านี้เหลียงซื่อก็ไม่รู้ เป็ครั้งแรกที่นางได้เจอกู้ฉีเช่นกัน
เชิงอรรถ
[1] หนูเลี้ยง คือ หนูจำพวกที่คนทั่วไปเลี้ยง เช่น หนูแฮมเตอร์
[2] ชางซู่ คือ หนูแฮมเตอร์
[3] เสี่ยวเฮย เสี่ยวหวง และเสี่ยวจิน ทั้งสามชื่อนี้เป็สีทั้งหมด ล้วนเรียกตามสีขนของสัตว์ ได้แก่ สีดำ สีเหลือง และสีทอง ตามลำดับ
[5] อาหารอันโอชะ หมายถึง อาหารชั้นเลิศที่เป็อาหารป่าและอาหารทะเล ซึ่งเป็รายการอาหารรสเลิศของจีนในสมัยโบราณ ได้แก่ อุ้งตีนหมี รังนก หูฉลาม ปลิงทะเล หางกวาง โหนกอูฐ เป็ต้น