เฉินวั่งต๋ากล่าวต่อหน้าคนตระกูลเซี่ยว่าจะให้ที่ลงหลักปักฐานในหมู่บ้านชีจิ่งแก่หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งจะแบ่งสรรที่ดินให้ทั้งสองคน เขาเป็คนพูดคำไหนคำนั้นเื่นี้ต้องไม่ใช่การโกหกแน่นอน
เดิมทีเื่นี้ต้องได้รับการยินยอมจากในหมู่บ้านก่อนจากนั้นค่อยรายงานกับชุมชน เฉินวั่งต๋ามีลำดับขั้นตอนในการจัดการของตนเอง
หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจไปเร่งเร้าได้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความหมกมุ่นใดกับที่ดินแต่เมื่อทางหมู่บ้าน้าให้แม่ลูกแบ่งไร่นาและยังจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้พวกเธอหนึ่งแปลงเซี่ยเสี่ยวหลานก็คงไม่โง่งมบอกว่าไม่้า
เธอวางแผนไปซื้อบ้านในเมืองต่างหาก หลิวเฟินใฝ่ใจในที่ดินถ้าเกษตรกรมีพื้นที่ทำกิน ขอเพียงขยันอดทนทำงานต่อให้แย่ที่สุดก็ยังเติมท้องให้อิ่มได้ หลิวหย่งรีบร้อนออกเดินทางเขาจากไปได้วันที่สามก็เป็วันของการส่งผลผลิตให้กับรัฐพอดี
เพราะเื่นี้ คนตระกูลเซี่ยจึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง
หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตปลายฤดูร้อนของทุกปีทางชุมชนจะส่งใบประกาศจำนวนผลผลิตที่ทุกครอบครัวต้องชำระมาถึงเ้าบ้าน
ในปี 83 พื้นที่ใกล้เคียงของมณฑลอวี้หนานโดยทั่วไปจัดการ ‘แบ่งไร่นาสู่ครัวเรือน’ ได้สำเร็จ แม้ตระกูลเซี่ยไม่แยกครอบครัวทว่ามีไร่นาเท่าไรก็แบ่งปันเป็ของส่วนบุคคลทะเบียนบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินย้ายไปแล้วในหมู่บ้านต้าเหอนี้จึงไม่มีไร่นาของทั้งสองอีก ที่จริงแล้วนี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตผลผลิตเพราะตอนที่หลิวเฟินและลูกสาวเสียพื้นที่ของหมู่บ้านต้าเหอไปก็เป็เื่หลังจากการเกี่ยวข้าวแล้ว
บนใบประกาศส่งผลผลิตของหมู่บ้านนั้นย่อมเรียกเก็บโดยยึดถือจำนวนหมู่ของไร่นาก่อนหน้านี้เป็ธรรมดา
เวลานี้เหมือนการแหย่รังแตน แต่ไหนแต่ไรแม่เฒ่าเซี่ยเป็คนตระหนี่ถี่เหนียวตีเธอให้ตายก็ไม่มีทางยอมรับ
“ผลผลิตส่งรัฐของคนชั้นต่ำอย่างพวกมัน ตระกูลเซี่ยไม่จ่าย! ทะเบียนบ้านก็ย้ายไปแล้ว ที่นาก็เสียไปทำไมต้องให้เซี่ยต้าจวินจ่ายผลผลิตด้วย?”
ที่ดินทำกินมาก ปริมาณผลผลิตที่ต้องจ่ายให้รัฐก็มากตาม
ทุกปีตระกูลเซี่ยเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เท่าไรจะให้หญิงชราเซี่ยคอยดูแลทั้งหมด ผลผลิตถึงมือเธอแล้ว หากอยากจะนำออกมาย่อมไม่ง่ายดายนักหญิงชราเซี่ยไม่กล้าถกเถียงกับทางคณะหมู่บ้าน เธอจึงเอะอะโวยวายแค่เพราะไม่้าปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานกับมารดาอยู่อย่างสบายใจ
เซี่ยต้าจวินมุดหัวพูดไม่ออก
หลังทะเบียนบ้านพวกหลิวเฟินแยกออก ที่ดินซึ่งเป็ของพวกเธอจะถูกโอนย้ายไปนั่นหมายความว่าปีหน้าไม่สามารถเพาะปลูกได้ ไม่เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวในปีนี้ข้าวในส่วนของสองแม่ลูกในปีนี้ก็กองพะเนินอยู่ในยุ้งฉางของตระกูลเซี่ย แต่แม่เฒ่าเซี่ยกลับจะเอาธัญพืชจากหลิวเฟินและลูกแม่เฒ่าเซี่ยทั้งร่ำไห้ทั้งโวยวายไม่สนเหตุผล ทำให้เซี่ยต้าจวินไม่มีหนทาง
เขาจะเอาผลผลิตจากหลิวเฟินและลูกได้หรือ?
หลิวเฟินไม่ใช้ชีวิตกับเขา ช่างเป็ ‘ออกจากบ้านตัวเปล่า’ อย่างที่อนาคตกล่าวกันจริงๆ สองแม่ลูกก้าวออกจากตระกูลเซี่ยสิ่งที่นำไปก็เป็เพียงมันเทศ 20 ชั่งเท่านั้น
นั่นคือธัญพืชหยาบซึ่งไม่มีราคาจำนวน 20 ชั่ง ไม่ใช่ทองคำแท่ง 20 ชั่งเสียหน่อย!
ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวหย่งโอบอ้อมอารีและเซี่ยเสี่ยวหลานมุ่งมั่นมีความสามารถสองแม่ลูกผู้อาศัยมันเทศ 20 ชั่งประทังชีวิตคงหิวตายไปนานแล้วตอนหย่าหลิวเฟินขอเพียงหลุดพ้นจากตระกูลเซี่ยโดยเร็ว ไม่ขอทรัพย์สมบัติใดด้วยซ้ำตามเหตุผลธัญพืชของปีนี้ก็ถือว่าผลผลิตอุดมสมบูรณ์อย่างน้อยเซี่ยต้าจวินควรส่งไปให้หลิวเฟินและลูกบ้าง... หลิวเฟินกลายเป็ภรรยาเก่าแต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงเป็ลูกสาวแท้ๆ ของเขานะ
นอกจากไม่ส่งอาหาร แม่เฒ่าเซี่ยกลับยังตอแยอีก นี่เป็เพราะเคยชินกับการรังแกหลิวเฟินได้สะดวกมากเกินไปแล้วไม่อยากให้สองแม่ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข!
แต่ถ้าพวกเธอยอมให้ขึ้นมาจริงเล่า?
ตระกูลเซี่ยก็จะเหลือผลผลิตไว้บางส่วน
หญิงชราเซี่ยไร้เหตุผลไม่เบา เอาแต่บังคับเซี่ยต้าจวินให้ไปจัดการเดี๋ยวเอะอะมะเทิ่ง เดี๋ยวแสร้งทำท่าน่าสงสารลากเซี่ยต้าจวินมาคุยว่าเซี่ยจื่ออวี้ไปเรียนที่ปักกิ่งนั้นยากลำบากแค่ไหนคนในบ้านประหยัดเสียหน่อย เซี่ยจื่ออวี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยจะได้มีกินมีใช้ขึ้นบ้าง
หวังจินกุ้ยแววตาลุกวาวคนอื่นล้วนบอกกันว่าสอบติดมหาวิทยาลัยไม่ได้ใช้จ่ายเงินมากมายด้วยซ้ำ ค่าเล่าเรียนไม่ต้องออกทุกเดือนมีเงินสนับสนุน เซี่ยจื่ออวี้เรียนมหาวิทยาลัยสักคนอย่างกับถลกหนังตระกูลเซี่ยออกมาหนึ่งชั้นเลยทีเดียว...ทว่าหญิงชราเซี่ยก็มิใช่บังคับขู่เข็ญลงกับเธอ หวังจินกุ้ยเลยไม่คิดจะบอกหรอก
“คุณแม่ พวกเซี่ยเสี่ยวหลานเขาอยู่กับตระกูลหลิว พวกเขาจะมีผลผลิตได้ที่ไหน?”
เซี่ยต้าจวินแทบหมดสิ้นซึ่งความสามารถในการรับมือแล้ว
แม่เฒ่าเซี่ยเช็ดน้ำตาด้วยความน่าสงสาร “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้จื่ออวี้ก็หิวโหยที่โรงเรียนหรือ? ฉันว่าลุงของเสี่ยวหลานร่ำรวยแล้ว อาหารนิดหน่อยจะนับเป็อะไรกันวันนั้นไม่ควรยอมให้พวกมันย้ายทะเบียนบ้านเลย!”
เธอเป็หญิงชราจากชนบท ไม่เข้าใจนโยบายของประเทศจึงรู้สึกว่าโดนหลิวเฟินและลูกสาวโกงเข้าให้แล้ว ถึงได้โวยวายในวันนี้ในหมู่บ้านต้าเหอ หนึ่งคนเฉลี่ยมีนาประมาณสองหมู่เมื่อทะเบียนบ้านของหลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานย้ายออกไปตระกูลเซี่ยก็มีที่น้อยลงถึงห้าหมู่เต็มๆ !
จะเพาะปลูกธัญพืชได้เท่าไรกัน?
ที่เสียหายคือผลประโยชน์ของหญิงชราเซี่ยเธอเห็นใบประกาศส่งผลผลิตแล้ว เ็ปราวกับมีคนแซะเนื้อเถือกระดูกบนร่างกายเธอ!
“คุณแม่ อยู่ที่โรงเรียนจื่ออวี้ประหยัดหน่อยก็พอแล้ว อย่าบังคับน้องรองไปเอาผลผลิตเลยคนทางนั้นเขาไม่ใช่รับมือได้ง่ายๆ ”
ผู้ที่ยืนขึ้นมาเจรจาคือสะใภ้ใหญ่จางชุ่ยผู้เก่งกาจการเข้าใจหัวอกคนอื่นนั่นเอง
เซี่ยต้าจวินมองเธอด้วยความขอบคุณ
เมื่อหย่าแล้ว เขาไม่อาจตีหลิวเฟินเหมือนเมื่อก่อนได้รวมทั้งลูกสาว เซี่ยเสี่ยวหลานที่ปีกกล้าขาแข็งหลายวันผ่านมานี้ไม่เคยกลับหมู่บ้านต้าเหอเลยสักครั้ง เซี่ยต้าจวินจะไม่หงุดหงิดได้หรือ? คนหมู่บ้านชีจิ่งไม่ใช่เล่นคราวก่อนต่อยตีเซี่ยต้าจวินอย่างไม่ปรานีไปหนึ่งยกได้
ตาแก่เฉินจากหมู่บ้านชีจิ่งนั่นก็ต่อกรด้วยยากมากแถมยังรู้จักพวกพนักงานรัฐในเขตด้วยมิเช่นนั้นทะเบียนบ้านของหลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ย้ายออกได้โดยง่ายขนาดนั้น
เดิมทีอยู่ข้างนอกเซี่ยต้าจวินก็เป็แค่คนขลาดเขาไม่กล้านำปัญหาไปให้หลิวเฟินและลูกสาวชั่วคราว
อีกอย่าง เื่ไปเค้นเอาธัญพืชจากสองแม่ลูกก็ไร้เหตุผลใดๆอยู่แล้วด้วย...
แม่เฒ่าเซี่ยเปลี่ยนหน้าอีกครั้ง “เช่นนั้นค่าใช้จ่ายของจื่ออวี้จะจัดการอย่างไร? พวกเธอล้วนเป็คนดี มีแค่ฉันที่ชอบเป็คนเลวฉันทำเพื่อจื่ออวี้ทั้งนั้น”
ลูกชายคนโตเซี่ยฉางเจิงปริปากเสียที “อาของจื่ออวี้เปิดแผงขายของว่างอยู่หน้าประตูเซี่ยนอีจงค้าขายได้ไม่เลว ไม่กล้ารับรองว่าหาเงินได้เท่าไร แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าทำนาในชนบทแน่แม่ อาจื่ออวี้อยากชวนฉันและจางชุ่ยไปทำงานด้วยกัน ฉันอยากลองดู”
แผงขายอาหารว่างนั้นจางชุ่ยเป็คนเปิดเอง
น้องชายจางชุ่ยและภรรยาเป็เพียงคนที่เข้ามาช่วยต่างหากทว่าจางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงมีใจเห็นแก่ตัว ตระกูลเซี่ยไม่แยกครอบครัวพวกเขาไม่อยากหาเงินแทนคนอื่น แค่เปลี่ยนชื่อให้ธุรกิจของตนเองอยู่ในสถานะเปิดเผยอีกทั้งไม่ต้องให้ใครแบ่งเงินไป เซี่ยต้าจวินสิบคนมัดรวมกันก็หลักแหลมสู้สามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้
ดวงตาหวังจิ้นกุ้ยเปล่งประกายแม่เฒ่าเซี่ยโยนเซี่ยต้าจวินไว้อีกทางก่อน
“นี่ก็คือธุรกิจส่วนตัวที่คนเขาว่ากัน?”
เกษตรกรชั้นล่างถึงกลางมีเกียรติมากที่สุด สถานะทางสังคมดีที่สุดตระกูลเซี่ยก็คือเกษตรกรในชนชั้นล่างถึงกลาง
ทุนนิยมต้องถูกวิพากย์และเพิกถอนต่อหน้าสาธารณชนแม่เฒ่าเซี่ยเฝ้าคอยการได้เป็คนเมือง แต่ที่หวังคือเป็พนักงานและคนงานในเมืองมิใช่พ่อค้าหรือนักธุรกิจ
ทำธุรกิจส่วนตัวขายหน้าคนไปหน่อยหรือเปล่า?
จางชุ่ยจะไม่รู้ว่าหญิงชราเซี่ยคิดอะไรอยู่ได้อย่างไรตอนแรกจางชุ่ยก็คิดว่าธุรกิจส่วนตัวน่าขายหน้าแต่พอเริ่มเปิดร้านอาหารว่างหน้าประตูเซี่ยนอีจงตามคำแนะนำของเซี่ยจื่ออวี้เงินที่ทุกคนหามาได้กลับขจัดความกังวลของจางชุ่ยเสียสิ้น
ดูแคลนธุรกิจส่วนตัว?
ในกระเป๋าใส่ต้าถวนเจี๋ย [1] ใครจะดูแคลนใครก็ไม่แน่นะ
ตามการคาดการณ์ของเซี่ยจื่ออวี้ธุรกิจอิสระจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเื่ๆ ตอนนี้คนยากจนที่สุดคือเกษตรกร อีก 20 ปีผ่านไปคนยากจนที่สุดยังคงเป็เกษตรกร!
“คุณแม่ ทุกวันนี้ทำธุรกิจส่วนตัวไม่ได้มีหน้ามีตาอะไรแต่ทุกอย่างก็ทำเพื่อจื่ออวี้ ฉันและฉางเจิงอดทนเหนื่อยยากไม่เป็อะไรพอจื่ออวี้เรียนจบ พวกเราถือว่ามุมานะจนสำเร็จแล้ว”
แม่เฒ่าเซี่ยชอบฟังคำพูดประเภทนี้
คนตระกูลเซี่ยเชื่อมั่นว่าเซี่ยจื่ออวี้จะมีอนาคตก้าวไกล
นักศึกษามหาวิทยาลัยในยุค 80 ต้องล้ำค่ามากแน่นอน แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆอย่างไรก็ต้องฝ่าฟันสิบยี่สิบปี
อาชีพที่รัฐจัดสรรให้ เงินเดือนหนึ่งเดือนมีเท่าไหร่ก็มีแค่นั้นเซี่ยจื่ออวี้เองสามารถกินดื่มได้แบบไม่ต้องกังวลแต่จะเลี้ยงดูสมาชิกทั้งครอบครัวใหญ่ได้หรือ? แม่เฒ่าเซี่ยคิดได้ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!
“คุณแม่ ฉันไม่กลัวว่าทำธุรกิจส่วนตัวจะขายหน้าคนนะ ไม่อย่างนั้นให้ฉันไปช่วยส่วนพี่สะใภ้ใหญ่อยู่บ้าน...”
หวังจินกุ้ยโพล่งขึ้นมา หญิงชราเซี่ยจ้องเธอตาเขม็ง
“นั่นเป็น้องชายจากบ้านแม่เธอหรือ? นั่นเป็อาของจื่ออวี้นะ!”
เชิงอรรถ
[1]大团结 ต้าถวนเจี๋ย คือ ธนบัตรสิบหยวน