่สายของวันซย่านีทำยางรัดผมได้เกือบสองร้อยชิ้นแล้ว พอถึงเวลาสิบเอ็ดโมงเธอก็หยุดงานในมือลงแล้วไปทำอาหารให้ลูกๆ
มื้อเที่ยงต้องกินอาหารดีๆ หน่อย ยุคนี้ไม่ค่อยเจริญมากนักแต่อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าจะมีผักและเนื้อสัตว์กิน ซย่านีหยิบเนื้อหมูที่เอาตั๋วเนื้อสัตว์ไปแลกมาจากร้านขายเนื้อเมื่อไม่กี่วันก่อน จากนั้นเธอก็หั่นเนื้อหมูเป็ชิ้นๆ แล้วนำมาทำเป็หมูผัดถั่วงอก เธอเติมขึ้นฉ่ายและเต้าหู้ตากแห้งลงไปทำให้อาหารจานนี้มีทั้งผักและเนื้อสัตว์ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร
เมื่อลูกๆ กลับมาถึงบ้านแล้ว ซย่านีก็จัดจานและเตรียมชามกับตะเกียบไว้ให้ เธอกลัวว่าอาหารจะเย็นเสียก่อนจึงใช้ชามใบใหญ่วางคว่ำทับจานอาหารไว้
ซ่งตงซวี่กำลังยื่นมือไปยกชามขึ้นแต่ถูกซย่านีขวางเอาไว้ “ไปล้างมือก่อน!”
ซ่งตงซวี่โยนกระเป๋านักเรียนทิ้งแล้ววิ่งไปล้างมืออย่างรวดเร็ว ทางด้านซ่งวั่งซูกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่าน้องชายเสียอีก เมื่อก้าวเข้าประตูบ้านมาเธอก็ไปล้างมือก่อนแล้ว
ซย่านีหยิบชามที่ครอบอาหารออกเผยให้เห็นอาหารในวันนี้ ซ่งตงซวี่มองขึ้นฉ่ายกับเต้าหู้ตากแห้งแล้วก็แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา “อี๋ ขึ้นฉ่าย แม่ ผมไม่ชอบกินขึ้นฉ่ายเลย”
“มีให้กินก็ถือว่าดีแล้ว นี่ลูกยังจะกล้าเลือกกินอีกหรือ!” จากคนประหยัดกลายมาเป็คนฟุ่มเฟือยมันช่างง่ายจริงๆ เ้าเด็กคนนี้เพิ่งได้กินของดีไปไม่เท่าไหร่ ตอนนี้กลับรู้จักเลือกกินเสียแล้ว
ซ่งตงซวี่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาหยิบหมั่วโถวมานั่งกินหงอยๆ แต่เด็กชายคนนี้ก็เลือกตักกินแต่เนื้อในผัดถั่วงอก ซ่งวั่งซูเห็นเขาทำเช่นนี้ก็ทำตามด้วยเช่นกันเธอแย่งกินเนื้อหมูในผัดถั่วงอก พอเห็นแบบนั้นแล้วขมับของซย่านีก็เหมือนจะเต้นตุบๆ ขึ้นมาทันที
“ลูกสองคนอย่าเลือกกินแต่เนื้อหมูสิ กินผักด้วย” ซย่านีพูดขึ้นมา “ถ้าวันนี้ลูกกินขึ้นฉ่ายกับถั่วงอกไม่หมดล่ะก็ พรุ่งนี้แม่จะไม่ใส่เนื้อหมูแล้ว”
เด็กทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็หันไปมองซย่านีด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม แล้วก็คีบขึ้นฉ่ายกับเต้าหู้ตากแห้งใส่ชามอย่างเชื่อฟัง
“ดีมาก” ซย่านียิ้มอย่างพอใจ “ขึ้นฉ่ายกับเต้าหู้ตากแห้งที่แม่ผัดก็รสชาติอร่อยใช้ได้เลยนะ”
พอซ่งวั่งซูลองกินไปหนึ่งคำดวงตาก็เป็ประกายขึ้นมา เธอกล่าวว่า “เต้าหู้แห้งอร่อยมากเลยค่ะ”
ซ่งตงซวี่ลองชิมขึ้นฉ่ายดูบ้าง ก็เบะปากทันที “ขึ้นฉ่ายนี่ มีแต่รสชาติขึ้นฉ่ายทั้งนั้นเลย”
ซย่านีหลุดหัวเราะออกมา “ถ้าขึ้นฉ่ายไม่มีรสขึ้นฉ่ายแล้วจะมีรสชาติอะไรได้อีกเล่า? พวกลูกลืมไปแล้วหรือไงเมื่อก่อนตอนที่พวกเราอยู่ที่บ้านย่า แม้แต่ขึ้นฉ่ายก็ไม่เคยได้กินแบบสดใหม่เลยด้วยซ้ำ”
ซ่งตงซวี่เห็นด้วยกับคำพูดนี้เป็อย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับอาหารที่บ้านย่าแล้ว ขึ้นฉ่ายกับเต้าหู้ตากแห้งที่แม่ทำยังอร่อยกว่าเยอะเลย
ซ่งวั่งซูกล่าว “แม่คะ ตอนนี้อาหารที่แม่ทำรสชาติอร่อยขึ้นเรื่อยๆ เลย”
“งั้นหรือ ถ้าอร่อยก็กินให้เยอะๆ นะ”
ซย่านียิ้มตาหยีมองลูกๆ กินข้าวอย่างมีความสุข จิตใจของเธอได้รับการเติมเต็มอย่างไม่อาจเทียบได้ นี่คงเป็ความสุขของการเลี้ยงดูลูกสินะ
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นขัดจังหวะรอยยิ้มของซย่านี
“นั่นใครน่ะ?” ซย่านีวางหมั่วโถวลงแล้ววิ่งไปที่ประตูพลางร้องถามคนที่อยู่ด้านนอก เมื่อเปิดประตูออกใบหน้าหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏสู่สายตาของเธอ
ตอนนี้เป็่ต้นเดือนเมษายนอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ผู้คนเริ่มพากันถอดเสื้อบุผ้าฝ้ายแล้วหันมาสวมเสื้อผ้า่ฤดูใบไม้ผลิแทน ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าซย่านีนั้นสวมเสื้อคอปกสีขาว ด้านนอกสวมเสื้อไหมพรมสีเทาที่ไม่ค่อยหนาเท่าใดนัก เขาพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นเสื้อคอปกสีขาวที่อยู่ด้านใน ท่าทางของเขาดูเหมือนเขาไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวเท่าไหร่ แต่ทว่ากลับออกมาดูดีตามแบบฉบับนักศึกษามหาวิทยาลัยโดยธรรมชาติ
นอกจากนี้ซย่านียังสังเกตเห็นว่าเขาตัดผมมาด้วย เมื่อก่อนชายหนุ่มตรงหน้ามีผมยาวจนแทบจะปรกลูกตา แต่ตอนนี้เขากลับตัดสั้นลงแล้วเผยให้เห็นคิ้วหนาอันงดงามดูไปแล้วหล่อเหลาสะอาดสะอ้านยิ่งนัก
ไม่ถูกต้องสิ นี่พวกเรายังไม่ได้หย่ากันเลยนะ เขาจะแต่งตัวหล่อขนาดนี้เพื่อไปนัดดูตัวแล้วงั้นหรือ?!
ซย่านีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
ซ่งหานเจียงยืนจ้องมองซย่านีอย่างประหม่ามาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ทำสีหน้าดีใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดในใจกับตนเองว่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ช่างพึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ เขาก็บอกไปแล้วว่าเขากับซย่านีเป็คู่สามีภรรยากันมาหลายปี เขาหน้าตาเป็เช่นไรซย่านีก็มองดูจนชินตาไปตั้งนานแล้ว เธอจะมาตื่นเต้นดีใจกับเพียงเพราะเขาลุกขึ้นมาแต่งตัวนิดๆ หน่อยๆ ได้อย่างไรกันเล่า
เมื่อวานซ่งหานเจียงไปทานอาหารเย็นที่บ้านศาสตราจารย์เฉิน ยังไม่ทันจะทานอาหารเสร็จศิษย์พี่ใหญ่เฉินเจียซั่งก็เริ่มถ่ายทอดเคล็ดลับ ‘การขอคืนดี’ ให้กับเขา
เฉินเจียซั่งกล่าวว่า “นายเองก็ไม่ได้ทำผิดหลักเกณฑ์ข้อไหนเลย เพียงแต่ยามปกตินายไม่ค่อยจะใส่ใจภรรยาเท่าใดนัก และชอบปล่อยปละละเลยให้ภรรยาต้องโดดเดี่ยว ถ้านายอยากฟื้นฟูความสัมพันธ์สามีภรรยาของนายกับซย่านีแล้วล่ะก็ มันง่ายมาก ข้อแรกนายต้องใช้หน้าตาให้เป็ประโยชน์ ถึงนายจะหน้าตาหล่อเหลาแต่ปกตินายก็ไม่ดูแลตัวเองปล่อยให้สภาพโทรมเกินไป ฉันว่าถ้านายดูแลตัวเองขึ้นอีกนิดแล้วเปลี่ยนภาพลักษณ์อีกหน่อย ตอนที่นายปรากฏตัวต่อหน้าภรรยาจะต้องดึงดูดความสนใจของเธอได้อย่างแน่นอน”
ซ่งหานเจียงแสดงท่าทางไม่เข้าใจ เขารู้สึกว่าตนเองเป็คนที่รักสะอาดที่สุดในบรรดาพวกผู้ชายแปดคนที่อาศัยในหอพักแล้ว เขามักจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบ่อยที่สุด
เฉินเจียซั่งมองเขาด้วยสายตาราวกับกำลังบอกว่า ‘เ้าหนุ่มคนนี้ เกินเยียวยาไปแล้ว’ ก่อนชายหนุ่มจะกล่าวขึ้นในที่สุด “เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะให้นายยืมเสื้อผ้าก่อนแล้วนายก็ไปตัดผมที่ร้านตัดผมด้วยล่ะ จากนั้นค่อยไปพบภรรยาของนาย”
ซ่งหานเจียงยังคงซักถามข้อสงสัยต่อไป “การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์จะดึงดูดซย่านีได้งั้นหรือ?”
เฉินเจียซั่งตอบอย่างหนักแน่น “แน่นอนอยู่แล้ว นายลองคิดดูสิปกติภรรยาของนายมักจะสวมเสื้อผ้าสีเทา หากอยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นมาสวมกระโปรงสีแดงแบบนั้นจะไม่ทำให้นายมองแล้วรู้สึกชอบขึ้นมาหรือ?”
ซ่งหานเจียงลองคิดตาม แล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ก็คงจะไม่หรอก” เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นซย่านีสวมชุดแดงเสียหน่อย
“…”
สุดท้ายเฉินเจียซั่งก็กล่าวว่า “นายทำตามที่ฉันบอกไปเถอะน่า!”
เพราะแบบนี้ซ่งหานเจียงก็เลยเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตนเองตามที่เฉินเจียซั่งบอก แล้วจึงมาปรากฏตัวต่อหน้าซย่านี้
“คุณมาที่นี่ทำไมหรือ?” ซย่านีถามแล้วเธอก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา “คุณมาที่นี่เพราะเื่หย่ากับฉันหรือเปล่า? คุณเอาสมุดทะเบียนบ้านกับทะเบียนสมรสมาแล้วใช่ไหม?”
ซ่งหานเจียงจะเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ใช่ คือว่าผมมา...”
“พ่อ?”
ซ่งหานเจียงยังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะก่อนแล้ว ซ่งวั่งซูรีบวิ่งปรู๊ดออกมาจากตัวบ้านราวกับลูกะุปืน เธอร้องเรียกบิดาอย่างตื่นเต้นดีใจ “พ่อ พ่อคะ พ่อมาได้อย่างไร? พ่อกินข้าวมาหรือยัง? หนูกับแม่และก็หยางหยางกำลังกินข้าวกันอยู่เลยค่ะ! พ่อรีบเข้ามาก่อนสิคะ”
ซ่งวั่งซูพูดไปพลางดึงมือซ่งหานเจียงเข้าไปในเรือนหลัก
ตอนที่ซ่งหานเจียงมาที่นี่ เขากินหมั่นโถวรองท้องไปแค่ลูกเดียวเท่านั้นแต่เขารู้ว่าซย่านีไม่ได้เตรียมอาหารไว้ให้ตน เขาจึงกล่าวว่า “พ่อกินข้าวมาแล้ว พ่อมาที่นี่เพื่อเอาของมาให้แม่เฉยๆ”
ซ่งหานเจียงวางกองหนังสือสองกองที่ถือไว้ในมือซ้ายลงบนม้านั่งเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังของตน เขาตบกองหนังสือแล้วกล่าวว่า “ผมคิดว่าความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของคุณค่อนข้างเร็วกว่าเด็กๆ อีกไม่นานหนังสือเรียนระดับชั้นป.1 และป.2 ของพวกเด็กๆ ก็คงไม่น่าจะพอให้คุณใช้ศึกษาได้อีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างนั้นผมก็เลยตั้งใจไปหาหนังสือเรียนชั้นประถมเหล่านี้มาให้คุณโดยเฉพาะ ในนี้มีทั้งหนังสือภาษาจีนและหนังสือคณิตศาสตร์แถมยังมีั้แ่ชั้นป.1 ถึงป.5 ครบเลยนะ” ชายหนุ่มปลดสายรัด้ากองหนังสือออกแล้วหยิบหนังสือเรียนคณิตศาสตร์ระดับชั้นป.2 ออกมา จากนั้นก็พลิกไปหน้าที่สอนการคูณ “ในนี้มีแบบฝึกการคูณอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คุณสามารถใช้หนังสือพวกนี้ฝึกฝนดูได้แล้วลองฝึกแก้โจทย์ดูนะ เดี๋ยวสัปดาห์นี้พอคุณเชี่ยวชาญเื่การคูณแล้วค่อยเริ่มเรียนเื่การหารกันในสัปดาห์หน้านะ”
คราวนี้ซ่งหานเจียงทำตามที่เฉินเจียซั่งกล่าวไว้ในวิธีการข้อสอง ซึ่งก็คือการแสดงความเอาใจใส่ต่อภรรยาของตน
ซ่งหานเจียงรู้ว่าเขาทำเื่นี้ได้ไม่ดีพอ เขาจึงขอคำแนะนำจากศิษย์พี่อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและเฉินเจียซั่งก็ตอบคำถามเขาอย่างอดทน “ยกตัวอย่างเช่นเธอ้าสิ่งใด นายก็เตรียมสิ่งนั้นไว้ให้เธอแล้วก็พยายามเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้เธอเป็ประจำ ทำให้เธอประหลาดใจและมีความสุข”
จากนั้นซ่งหานเจียงก็ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนไปหนึ่งตลบ เขาถึงได้เอาหนังสือเรียนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมมาให้ซย่านียกชุดไปเลย
ซย่านีถึงกับพูดไม่ออก “…” เธอขอบคุณเขาจริงๆ แต่เธอกับเขาจะหย่ากันอยู่แล้ว นี่เขายังไม่ลืมที่จะควบคุมให้เธอเรียนหนังสืออีกหรือ!
