ม่อเสียมองหนานกงหลิงที่กำลังะเิอารมณ์ออกมาด้วยสายตาที่ตกตะลึง ผ่านไปหลายนาทีกว่าที่เขาจะดึงสติตัวเองกลับมา แล้วรีบโค้งคำนับอีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า “ท่านประมุข ม่อเสียขอยอมรับผิด”
ถึงแม้ว่าม่อเสียและม่อชั่งหลันจะมีอำนาจในนิกายหยุนไห่มาก แต่ถึงอย่างไร หนานกงหลิงก็เป็ประมุขของนิกาย ดังนั้นเมื่อหนานกงหลิงเอาจริงขึ้นมา ม่อเสียก็ต้องยอมอ่อนข้อและยอมรับผิด
“บางทีอาจจะเป็เพราะว่าข้าจองหองต่อหน้าท่านประมุขจนเกินไป ทำให้ท่านประมุขไม่พอใจ” ม่อเสียคิดในใจอย่างเงียบๆ และแอบตำหนิตัวเองไปด้วย
หนานกงหลิงเห็นม่อเสียยอมรับผิด สีหน้าจึงดูเย็นลงและกลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม แต่เขายังคงปรายตามองม่อเสียอย่างเ็าและกล่าวว่า “ในเมื่อยอมรับผิด งั้นครั้งนี้ข้าจะปล่อยเ้าไป แต่ครั้งหน้าจะต้องไม่เกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก”
“ส่วนศิษย์สายนอกคนนั้นไม่ถือว่ามีความผิดอะไร เดิมทีก็เป็ยู่ฮ่าวที่ยั่วยุเขาก่อน ทั้งยังป่าวประกาศว่าจะทำลายการบ่มเพาะ และตัดแขนตัดขาของเขา ดังนั้นการที่เขาสังหารยู่ฮ่าวก็นับว่ามีเหตุผล”
“ท่านประมุข แต่ว่า…” ม่อเสียคิดจะเปิดปากพูดอีกครั้ง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ตระหนักถึงสาเหตุที่หนานกงหลิงโมโห
“หืม?” หนานกงหลิงปรายตามองม่อเสียด้วยแววตาเย็นะเื ทำให้ม่อเสียต้องกลืนคำพูดของตัวเองลงคอ และฝืนใจกล่าวว่า “ท่านประมุข ท่านช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก”
หนานกงหลิงไม่สนใจคำพูดของม่อเสีย และหันไปถามหลินเฟิงที่อยู่ด้านล่างว่า “เ้าชื่ออะไร?”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นสบตากับหนานกงหลิง แววตาคู่นั้นดูสงบนิ่งและแฝงไปด้วยความลึกลับ
“หลินเฟิง!”
“หลินเฟิงงั้นหรือ ไม่เลว ตอนนี้เ้าเป็ศิษย์สายในของนิกายหยุนไห่แล้ว” หนานกงหลิงประกาศ ทำให้ฝูงชนแอบคิดในใจว่าความแข็งแกร่งของหลินเฟิงสามารถดึงดูดความประทับใจจากท่านประมุขได้ มิฉะนั้นท่านประมุขคงไม่ถามชื่อของหลินเฟิงด้วยตัวเองหรอก มิหนำซ้ำยังเลื่อนขั้นให้เป็ศิษย์สายในอีกด้วย ดูก็รู้ว่าเขาชื่นชมหลินเฟิงแค่ไหน รอหลังการทดสอบในรอบแรกจบลงเสียก่อน หลินเฟิงค่อยไปรับป้ายประจำตัวศิษย์สายในมา
หลินเฟิงเผยรอยยิ้มออกมา เป็รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยแปลกๆ ซึ่งมันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความซาบซึ้งหรือสำนึกบุญคุณแน่ๆ
“ถ้าอยากได้รับความเคารพ เ้าจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งและพร์ที่ยอดเยี่ยม มิฉะนั้นคนอื่นๆ ก็จะพูดจาดูถูกเ้า เหยียดหยามเ้า แม้แต่สังหารเ้า”
หนานกงหลิงเคยกล่าวประโยคนี้กับหลินเฟิง ซึ่งเขาไม่เคยลืมมันแม้แต่วินาทีเดียว!!! วันนี้ที่หลินเฟิงมายืนอยู่บนลานประลองเป็ตาย และเรียกความสนใจจากทุกคน ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพื่อทดสอบทัศนคติของหนานกงหลิงเท่านั้น และตอนนี้เขาก็ได้รับคำตอบนั้นแล้ว
ครั้งก่อนม่อเสีย้าส่งเขาให้กับคุณชายต้าเผิงและหลินเชียนจัดการ ถึงแม้ว่าหนานกงหลิงจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม ในมุมมองของเขา ระหว่างศิษย์สายนอกและผู้าุโสายใน ความสำคัญมันเทียบกันไม่ได้
แต่คราวนี้เมื่อม่อเสีย้าชีวิตของเขา หนานกงหลิงก็ไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งยังโกรธเกรี้ยวใส่ม่อเสียอีกด้วย หลินเฟิงเชื่อว่านี่ไม่ได้เป็เพราะความแข็งแกร่งและพร์ที่เขาแสดงออกมาเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะหนานกงหลิงรู้เื่ที่หน้าผาจงกู่นั่นด้วย ซึ่งอาจจะได้ยินมาจากผู้าุโเป่ยหรือผู้าุโคง ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ไว้หน้าม่อเสียเลยแม้แต่น้อย และยังออกหน้าช่วยหลินเฟิงแทน
แต่… แค่นี้ก็พอเหรอ?
เห็นได้ชัดว่าไม่ ในความคิดของหลินเฟิง เพียงแค่นี้มันยังไม่พอ!!! มันยังห่างไกลจากคำว่าพอเสียด้วยซ้ำ
ตอนที่สัตว์อสูรปีศาจบุกโจมตี ม่อเสียก็โยนหลินเฟิงเข้าไปในดงสัตว์อสูร ซึ่งเื่นี้ หลินเฟิงไม่เชื่อว่าหนานกงหลิงจะไม่รู้!!!
ในวันนี้ม่อเสีย้าชีวิตของหลินเฟิงและกระทำการต่อหน้าฝูงชน ซึ่งหนานกงหลิงก็เห็นกับตา แต่ถึงอย่างนั้นหนานกงหลิงก็แค่ตำหนิม่อเสียต่อหน้าทุกคนเท่านั้น ซึ่งในสายตาของหลินเฟิง เพียงแค่นี้มันยังไม่พอ หนานกงหลิงคิดว่าแค่ดุด่าม่อเสียสักคำสองคำ แล้วทุกอย่างเป็อันจบ??? จากนั้นเขาจะรู้สึกสำนึกในบุญคุณ และยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อรับใช้นิกาย? คิดง่ายไปหน่อยไหม?!
หลินเฟิงมาจากโลกและไม่ได้มีนิสัยเหมือนทาส ที่เมื่อเ้านายหยิบยื่นเศษเสี้ยวความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ให้ แล้วจะซาบซึ้งไปจนตาย!!! ม่อเสีย้าจะเอาชีวิตของเขาถึงสองครั้ง แต่หนานกงหลิงแค่ตำหนิม่อเสียเพียงไม่กี่คำ แล้วจะให้ความแค้นทุกอย่างจบลง??? หึๆ ยังห่างไกลสินะ… ตัวเขาในตอนนี้ยังคงเทียบม่อเสียไม่ได้ ผู้าุโสายในก็คือผู้าุโสายใน ส่วนศิษย์สายนอกก็คือศิษย์สายนอก ต่อให้เป็ศิษย์ที่มีพร์โดดเด่นจนก้าวเข้าไปเป็ศิษย์สายในได้ แต่มันก็ยังคงห่างชั้นจากตำแหน่งผู้าุโสายในอยู่ดี!!!
“ระหว่างข้ากับม่อเสีย ต้องมีคนคนหนึ่งที่หายไป มีข้าก็ต้องไม่มีเขา มีเขาก็ต้องไม่มีข้า!!!”
หลินเฟิงคิดในใจ หนานกงหลิงจะต้องเลือกระหว่างเขากับม่อเสีย หากเลือกเขา นิกายหยุนไห่ก็จะกลายเป็บ้านของเขาและเขาจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อนิกาย แต่ถ้าหากเลือกม่อเสีย ไม่เพียงแค่นิกายหยุนไห่จะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากหลินเฟิง แต่ยังจะทำให้หลินเฟิงย้ายไปอยู่ฝั่งศัตรูของนิกาย เพราะเขาเกลียดม่อเสียมากจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับมัน!!! เขาได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะต้องสังหารม่อเสียให้ได้!!! และถ้านิกายหยุนไห่เข้ามาแทรกแซง เขาก็ต้องจำใจอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนิกายหยุนไห่
แต่หลินเฟิงก็ไม่โง่พอที่จะคิดว่า ด้วยความสามารถของตัวเองในตอนนี้จะทำให้หนานกงหลิงเลือกเขา นี่เป็เพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น การทดสอบของนิกายครั้งนี้เขาจะต้องโดดเด่นยิ่งกว่าม่อเสีย!!!
สายตาของหลินเฟิงฉายแววเด็ดขาด เขาเดินลงจากลานประลองอย่างช้าๆ ทุกฝีก้าวล้วนมั่นคงหนักแน่นดุจภูผา
หนานกงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาของเด็กคนนี้ช่างดูลึกลับยิ่งนัก เป็แววตาที่ลึกล้ำและยากที่จะคาดเดาได้ ด้วยพร์ของเขา หนานกงหลิงคิดว่าคงไม่ยากที่เด็กคนนี้จะประสบความสำเร็จ
“ทั้งแข็งแกร่ง ทั้งบ้าระห่ำ” ผู้คนต่างซุบซิบนินทากัน
“ถ้าข้ามีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ข้าก็กล้าบ้าระห่ำเหมือนกับเขา แต่ตอนนี้ต่อให้มีข้าสัก 10 คน ก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขาเลย หลินเฟิงงั้นหรือ ข้าจะจดจำชื่อนี้เอาไว้”
“เ้าจะจดจำไปทำไม? ยังไม่เห็นมีใครรู้จักเ้าเลยสักคน แม้แต่เสิ่นเฉินที่เป็อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอก ก็ยังเทียบกับหลินเฟิงไม่ได้เลย แล้วเ้านับเป็ตัวอะไรถึงได้กล้าพล่ามไร้สาระอยู่ได้”
“ศิษย์อันดับหนึ่งอะไรกัน ไม่เห็นโผล่หัวออกมาเลย เสิ่นเฉินอะไรนั่นเทียบไม่ได้แม้แต่รองเท้าของหลินเฟิงด้วยซ้ำ”
ศิษย์สองคนต่างพากันกระซิบกระซาบเบาๆ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขามีสีหน้าเ็าแค่ไหน และคนคนนั้นก็คือเสิ่นเฉิน ศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งนั่นเอง ก่อนหน้านั้นเขาเคยดูแคลนหลินเฟิงในหอซิงเฉิน และถูกหลินเฟิงทำให้อับอายแทน
“อย่างน้อยในบรรดาศิษย์สายนอก ถ้าข้าบอกว่าเป็ที่ 2 ก็ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็ที่ 1”
เมื่อเสิ่นเฉินนึกถึงคำพูดที่เขาเคยกล่าวกับหลินเฟิงก่อนหน้านี้ แล้วรู้สึกอับอายขึ้นมา ตอนที่พวกเขาทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน เขาทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าหลินเฟิง ซึ่งถ้าเปลี่ยนเป็ตอนนี้ เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะพูดต่อหน้าหลินเฟิง!
ยู่ฮ่าวเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่จิติญญาแห่งดาบ แต่กลับถูกฆ่าภายในกระบวนท่าเดียว!
“บางทีเขาอาจจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา” ในใจของเสิ่นเฉินเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
แน่นอนว่าสิ่งที่เสิ่นเฉินคิดนั้นเป็ความจริง หลินเฟิงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เป็แค่อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอกคนหนึ่ง แต่กลับเที่ยวโอ้อวดไปทั่ว ซึ่งคนแบบนี้มักจะมีวิสัยทัศน์ที่จำกัดและประสบความสำเร็จได้ยาก
“สหาย เ้าแข็งแกร่งกว่าข้าแท้ๆ แต่ก็ไม่ยอมปริปากพูดเชียวนะ” เมื่อเห็นหลินเฟิงเดินกลับมา หานหมานจึงชกหน้าอกของหลินเฟิงเบาๆ หนึ่งที ไอ้หมอนี่ชอบทำเื่เหนือความคาดหมายอยู่เรื่อย
“ใช่ หลินเฟิง เ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก” ใบหน้าของจิ้งหยุนพลันปรากฏรอยยิ้มที่สดใสขึ้นมา ไม่รู้ว่าหลินเฟิงบ่มเพาะพลังมาอย่างไรถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาอิจฉา หานหมานและจิ้งหยุนล้วนเป็ศิษย์สายนอก แต่ดูสนิทสนมกับหลินเฟิงมาก ด้วยพร์ของหลินเฟิง เขาจะต้องกลายเป็คนสำคัญของนิกายแน่ๆ ดังนั้นหานหมานและคนอื่นๆ จะต้องได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ทำไมถึงไม่เป็พวกเขาที่รู้จักหลินเฟิงก่อน?
หลินเฟิงยักไหล่อย่างกวนๆ ก่อนจะถามหานหมานว่า “เมื่อไรเ้าจะขึ้นไปบนลานประลองล่ะ?”
“ฮ่าฮ่า ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครขึ้นไป งั้นข้าก็จะขึ้นไปเอง” หานหมานหัวเราะออกมา ก่อนจะเดินไปยังลานประลองเป็ตาย
เพราะความสามารถที่น่าตกตะลึงของหลินเฟิง ทำให้ไม่มีใครกล้าขึ้นไป เนื่องจากพวกเขาไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับหลินเฟิง ในขณะที่หลายๆ คนกำลังลังเลอยู่นั้น หานหมานก็เดินขึ้นไปยังลานประลองเป็ตาย
การปรากฏตัวของหานหมานทำให้ทุกคนพากันตื่นใ ไอ้หมอนี่ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนหลินเฟิงจริงๆ ถึงได้กล้าเดินขึ้นไปบนลานประลองเป็ตาย แม้แต่หลินเฟิงก็ยังต้องแปลกใจ เ้าเด็กนี่…
“ข้าไม่รู้จักใครเลย ดังนั้นศิษย์สายในที่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 คนไหนก็ได้ ขึ้นมาประลองกับข้า?”
หานหมานที่ยืนอยู่บนลานประลองเป็ตายได้ะโออกมาอย่างกล้าหาญ ทำให้ั์ตาของทุกคนต่างเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง หรือนี่จะเป็อัจฉริยะอีกคน!!!
หลินเฟิงได้ท้าทายศิษย์สายในสองคนในเวลาเดียวกัน ส่วนหานหมาน เขาไม่รู้จักชื่อศิษย์สายในเลยสักคน ไม่มีตัวเลือกไว้ในใจั้แ่แรก ดังนั้นจึงประกาศท้าประลองกับใครก็ได้ เื่แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…
หลินเฟิงมองหานหมานด้วยสายตาตกตะลึง!
“ฮิฮิฮิ” จิ้งหยุนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เ้าบ้านี่ทำให้ทุกคนใเกินไปแล้ว
บรรยากาศรอบๆ ตัวล้วนตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งมีศิษย์สายในคนหนึ่งก้าวขึ้นไปยังลานประลองและกล่าวเสียงฉะฉานว่า “ข้าเอง”
“เยี่ยม ข้าชื่อว่าหานหมาน”
“ข้า หวังฮั่น”
“ข้าชอบคนตรงไปตรงมา งั้นมาเริ่มกันเถอะ” หานหมานหัวเราะเสียงดังก่อนจะปลดปล่อยลมปราณออกมา ทันใดนั้นร่างกายของหานหมานราวกับจะผสานเป็หนึ่งเดียวกับปฐี ขณะที่หานหมานยืนอยู่บนลานประลอง เขารู้สึกราวกับว่าเขาคือปฐีและปฐีก็คือเขา
“ตูม…”
เมื่อหานหมานก้าวไปข้างหน้า ลานประลองเป็ตายก็พลันสั่นะเือย่างรุนแรง ทำให้จิตใจของฝูงชนต่างสั่นไหวไปด้วย แรงกดดันมหาศาลเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ก่อนจะพุ่งทะยานไปกดทับหวังฮั่น
“มันคืออำนาจ!” ั์ตาของหนานกงหลิงเป็ประกายขึ้นมา เขารู้สึกใเป็อย่างมาก ในตอนแรกเขานึกว่าคงมีเพียงหลินเฟิงที่โดดเด่น แต่ความจริงแล้วยังมีศิษย์สายนอกคนนี้อีกคน ที่สามารถเข้าถึง ‘อำนาจ’ ได้ ถึงแม้ว่าพลังของจิติญญาจะอยู่ในเกณฑ์ทั่วๆ ไป และความตระหนักรู้ใน ‘อำนาจ’ ก็ไม่ลึกซึ้งเท่าหลินเฟิง แต่ยังนับได้ว่าเป็รุ่นเยาว์อัจฉริยะคนหนึ่งที่น่าจับตามอง
“ฮ่าๆ นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ หลังจากที่นิกายหยุนไห่เงียบเหงามาเป็เวลานาน ในที่สุดก็มีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดปรากฏตัวขึ้นมาถึงสองคน!!!”
ั์ตาของหนานกงหลิงฉายแววปลื้มปีติออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทดสอบของนิกายในครั้งนี้ พวกเขาได้ค้นพบเพชรเม็ดงามเข้าแล้ว
