เหวลึก ณ ยอดเขาัคชสาร เย่เฟิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเ็ปที่ไม่ได้ลดน้อยลง ทว่ามันกลับหนักขึ้นกว่าเดิม
“ไม่นึกว่าจะรอด” หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่นี้แต่ยังไม่ตาย ทำให้เย่เฟิงรู้สึกโชคดี จากนั้นเขาจะลุกขึ้นยืนแต่กลับรู้สึกถึงของนุ่มนิ่มที่หน้าอกตน ก่อนจะพบว่าร่างจูเชวี่ยเว่ยทับร่างเขาอยู่ และหน้าอกของนางกำลังแนบชิดกับหน้าอกของเขา ส่วนใบหน้านางก็อยู่ห่างเพียงคืบ
เย่เฟิงย้ายร่างจูเชวี่ยเว่ยไปไว้ข้าง ๆ อย่างเบามือ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็ไร เขาก็พยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงพบว่าที่นี่เป็พื้นที่ปิด ้าเต็มไปด้วยเมฆสีดำม่วงเกลือกกลิ้งไปมาไม่หยุดพร้อมกับแสงสว่างวาบที่เชื่อมกับท้องฟ้า
ส่วนคนเ่าั้ที่ไล่ล่าเขาก็นอนเกลื่อนพื้น แต่ดูเหมือนไร้สัญญาณชีพจร น่าจะเสียชีวิตจากแรงดูดที่ทรงพลังนั้น
อย่างไรก็ตามมีแท่นหินสูงอยู่ใจกลางพื้นที่แห่งนี้ ทว่ามีอาวุธชิ้นหนึ่งที่เปล่งแสงอยู่บนแท่นหินนั้น เย่เฟิงรู้สึกกดดันกับไอมารอันทรงพลังที่รายล้อมอาวุธชิ้นนั้น ร่างที่เพิ่งยืนตรงได้ก็ถูกกดทับจนตัวโค้งงอพร้อมกับกระอักเืออกมา เขาพยายามกัดฟันเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพบว่าอาวุธที่ไม่สมบูรณ์ชิ้นนั้นคือหอกไร้ด้าม
“ปลายหอกนี่ทรงพลังมาก! ไม่รู้ว่าเป็อาวุธระดับไหน” เย่เฟิงกล่าว พลังของมันทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เห็นชัดว่าหอกนี้ทรงพลังมากเพียงใด
“วูบ!” ตอนนั้นเองไอมารที่รายล้อมปลายหอกจู่ ๆ ก็เข้าปกคลุมร่างเย่เฟิง ทันใดนั้นเย่เฟิงรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ในขณะที่ไอมารบุกรุกร่างเขาไม่หยุด
“อ้าก!” เย่เฟิงกรีดร้อง ด้วยรู้สึกเ็ปทั่วร่างจากการบุกรุกของไอมารนั่น ราวกับจิติญญาถูก่ชิง ความเ็ปเช่นนั้นที่มาจากจิติญญายังคงดำเนินต่อไป ทำให้ในเวลาอันสั้นก็มาถึงจุดที่เย่เฟิงทนไม่ไหว ทว่าตอนที่เย่เฟิงเกือบหมดสติ จู่ ๆ ไอมารพวกนั้นก็ออกไปจากร่างเขา แล้วหวนกลับคืนสู่ปลายหอกเช่นเดิม
“อายุ 16 ปลุกิญญาาคู่ หนึ่งขั้นคราม หนึ่งขั้นฟ้า อำนาจหอกและอำนาจฟ้าดินล้วนบรรลุขั้นผันแปร ผนวกกับพลังเก้าธาตุด้วย ช่างเป็ร่างที่ไม่เลว เมื่อเทียบกับข้าตอนวัยเยาว์ ถือว่าดีมาก มีพร์เช่นนี้ทำเอาบิดาฆ่าเ้าไม่ลงจริง ๆ !”
ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากความว่างเปล่า เข้ามาในหูเย่เฟิง
“ใครน่ะ?” เย่เฟิงใพลางมองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่พบใคร มีเพียงซากศพเ่าั้
“บิดาก็อยู่ข้างบนเ้านี่ไง หรือเ้าไม่เห็น?”
เสียงนั้นดูชราวัยทั้งยังเรียกตัวเองว่าบิดา เห็นชัดว่าอายุมากแล้ว
เย่เฟิงมองไปข้างบน แต่กลับไม่พบใคร ทันใดนั้นเองเขาฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเผยสีหน้าใแล้วกล่าว “ท่านคือปลายหอกนั่น?”
“ฉลาดดีนี่!” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
เย่เฟิงเตรียมใจไว้แล้ว แต่หลังจากได้ยินประโยคนี้ก็ยังคงใอยู่ดี ปลายหอกเป็เพียงส่วนหนึ่งของอาวุธหนึ่งชิ้น แล้วจะพูดคุยได้อย่างไร? อีกทั้งยังรู้เื่ของเขาอย่างละเอียด นี่ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“ไม่ต้องใไป ปลายหอกนี่คืออาวุธที่บิดาใช้ก็เท่านั้น ข้ามีนามว่าราชันมารชื่อเทียน เมื่อหกพันปีก่อนข้าถูกศัตรูล้อมปราบทำลายร่างข้า แล้วผนึกจิติญญาข้าไว้ที่ยอดเขาแห่งนี้ โดยผนึกข้าไว้ในหอกมารที่บิดาใช้” เสียงนั้นกล่าวช้า ๆ ด้วยความเศร้าเสียใจ
“ราชันมารชื่อเทียน!” เย่เฟิงได้ยินก็ต้องใ เห็นทีข่าวลือในเมืองหลวงที่เกี่ยวกับยอดเขาัคชสารจะเป็ความจริง ราชันมารชื่อเทียนก็น่าจะเป็มารผู้นั้นที่ถูกผนึกที่ยอดเขาัคชสารในยุคโบราณ
เย่เฟิงเคยได้ยินว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ ทว่ายังมีผู้ฝึกยุทธ์สายมาร และผู้ฝึกยุทธ์สายปีศาจ
ผู้ฝึกยุทธ์สายมารบำเพ็ญวิชามาร แม้จะฝืนลิขิต์ แต่เมื่อบำเพ็ญตบะได้ในระดับหนึ่งก็สามารถมีพลังอันกล้าแกร่ง ส่วนผู้ฝึกยุทธ์สายปีศาจก็คือผู้บำเพ็ญวิชาปีศาจ พวกเขาคืุ์ เพียงแต่เปลี่ยนเป็บำเพ็ญวิชาปีศาจ ทำให้พวกเขามีลักษณะนิสัยของสัตว์อสูร ได้รับความสามารถจากสัตว์อสูร พลังจึงไม่ใช่เื่เล่น ๆ
อย่างไรก็ตามเ้าของเสียงนั้นมีนามว่าราชันมารชื่อเทียน เห็นชัดว่าเป็ผู้ฝึกยุทธ์สายมาร ดูจากจุดนี้ข่าวลือไม่ใช่เื่เท็จแน่นอน อีกอย่างตบะของมารผู้นี้ยังอยู่ขั้นราชันมาร
เย่เฟิงใมาก ไม่นึกว่าข่าวลือที่มิอาจตรวจสอบความจริงได้ เขาจะเป็คนพิสูจน์ความจริงนี้เอง
ราชันมารถือว่าเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชัน อย่าเอ่ยถึงอาณาจักรจ้าว เพราะแม้แต่จักรวรรดิจิ่วโยวก็เกรงว่าจะไม่มี เห็นชัดว่าราชันมารแข็งแกร่งมากเพียงใด
“ไม่มีอะไรให้ต้องใ ราชันมารแล้วอย่างไร ก็แค่ถูกปิดผนึกไว้ที่นี่นานหกพันปี แต่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเ้าอยู่ระดับไหนก็มักจะมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเ้าปรากฏตัวอยู่เสมอ” เสียงของราชันมารชื่อเทียนดังออกมาอีกครั้ง
“ขอถามผู้าุโได้หรือไม่ว่าพาพวกเรามาทำอะไรที่นี่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม ที่แห่งนี้ปิดผนึกยอดฝีมือที่แกร่งกล้าไว้เช่นนี้ เย่เฟิงย่อมไม่คิดว่าตนจะมาเข้ามาที่นี่โดยไม่มีเหตุผล
“ที่ข้าพาพวกเ้ามาที่นี่ก็เพราะจะฆ่าก็เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ว่าเ้ามีพร์ไม่เลว ป่านนี้เ้าได้กลายเป็ศพเหมือนพวกเขาไปแล้ว!” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง
“พวกเรามิเคยล่วงเกินผู้าุโ แต่เหตุใดท่านจึงฆ่าผู้บริสุทธิ์เล่า?” เย่เฟิงเอ่ยถามต่อขณะมองซากศพที่นอนเกลื่อนพื้น หลังจากเย่เฟิงที่ตื่นใก็กลับมามีสติ แม้เผชิญหน้ากับจิติญญาของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมาร ก็ยังคงวางตัวไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งเกินไป
“ฆ่าผู้บริสุทธิ์?” ราชันมารชื่อเทียนได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงเ็า ก่อนจะพูดว่า “ก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์อ่ยางพวกเ้านี่แหละ ที่ปิดผนึกข้าไว้ที่นี่ตั้งหกพันปี หรือบิดาไม่ควรแก้แค้น?”
น้ำเสียงของราชันมารชื่อเทียนมีความผันผวนเล็กน้อย จากนั้นเขาส่งเสียงทอดถอนใจ แล้วพูดต่อไปว่า “เอาเถอะ บิดาไม่อยากพูดเื่นี้กับชนรุ่นหลังอย่างเ้า ข้าขอถามเ้า เ้ายินดีเป็ผู้สืบทอดของบิดาหรือไม่? เมื่อภายภาคหน้าวิชามารประสบความสำเร็จ เ้าจะต้องสังหารทุกคนที่ทำผิดต่อบิดา”
“ไม่!” เย่เฟิงกล่าวปฏิเสธอย่างไม่มีความลังเลใด ๆ
“ไม่งั้นหรือ?” น้ำเสียงของราชันมารชื่อเทียนเปลี่ยนเป็เย็นเยือก พร้อมกล่าวต่อว่า “เ้ารู้หรือไม่ ใน่ยุครุ่งเรืองมีผู้คนมากมายมาขอร้องให้บิดาสอนพวกเขา แต่บิดาไม่สนใจสักคน บัดนี้บิดาเห็นค่าพร์ของเ้า จึงอยากให้เ้าเป็ผู้สืบทอดของบิดา แต่เ้ากลับปฏิเสธ โอกาสเช่นนี้ใช่ว่าชั่วชีวิตเ้าจะหาได้ บิดาจะให้โอกาสเ้าอีกครั้ง ยินดีหรือไม่?”
ราชันมารชื่อเทียนเกิดหวั่นไหวเล็กน้อย เขาเป็ถึงราชันมาร เขาอยากได้ผู้สืบทอด แต่กลับถูกปฏิเสธ สำหรับเขาแล้วมันคือเื่น่าอัปยศ
“ไม่!” เย่เฟิงกล่าวปฏิเสธด้วยความแน่วแน่เช่นเดิม ซ้ำยังไม่ตรึกตรองไม่แม้แต่นิดเดียว
“ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เ้าไม่กลัวบิดาฆ่าเ้าหรือ!” เมื่อเย่เฟิงปฏิเสธอีกครั้งก็ทำให้ราชันมารชื่อเทียนโมโห ในน้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความอาฆาต
“ท่านคือราชันมารผู้สูงส่ง เมื่อหกพันปีก่อนถูกคนทำลายกายเนื้อ นั่นเป็เพราะท่านไร้ความสามารถ แต่ท่านกลับไประบายกับคนอื่น ต่อให้ท่านมีพลังแกร่งกล้า ก็ไม่คุ้มค่าที่ข้าจะเคารพนับถือ ข้าเย่เฟิงมักจะทำตามเจตนารมณ์ของตัวเองเสมอ หาใช่เครื่องมือฆ่าคนของท่านไม่!” เย่เฟิงกล่าวเสียงกร้าวด้วยความแน่วแน่ หากสูญเสียความเป็ตัวเองและกลายเป็เครื่องมือของมารผู้นี้ สู้ให้เขาตายไปเสียดีกว่า
“ในเมื่อเ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เช่นนั้นบิดาจะฆ่าเ้าเสียตอนนี้เลย!” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“เข้ามาฆ่าข้าเลย!” ดวงตาของเย่เฟิงลุกโชนด้วยแสงที่น่ากลัว ดูเหมือนจะลืมว่าสิ่งที่เขาเผชิญหน้าด้วยคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมาร
“เ้าไม่กลัวตายจริง ๆ หรือ?” ราชันมารชื่อเทียนซักถาม แต่น้ำเสียงไม่เฉียบคมเหมือนเมื่อครู่นี้
“เหตุใดข้าต้องกลัว? เพราะว่าท่านไม่มีทางฆ่าข้า!” เย่เฟิงกล่าวอย่างมั่นใจ ส่วนดวงตาคู่นั้นก็ราวกับมองทะลุทุกสิ่ง
“อย่างไร?” ราชันมารชื่อเทียนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เพราะท่านร้องขอข้า หากท่านอยากฆ่าข้า ด้วยนิสัยของท่าน จะพล่ามไร้สาระมากเช่นนั้นกับข้าไปไย?” เย่เฟิงกล่าว คนเ่าั้ที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนตกตายอยู่ที่นี่ มีเพียงเย่เฟิงและจูเชวี่ยเว่ยที่รอดชีวิต มีหรือเขาจะโง่เขลาเชื่อว่านี่เป็เื่บังเอิญ
“ข้ายอมรับเลยว่าเ้าฉลาดมาก บิดาร้องขอเ้าจริง ๆ” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“เื่อันใด?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“เก็บปลายหอกของข้าไป หากวันหน้าเ้าตามหาร่างกายที่เหมาะสมกับบิดาได้ หอกมารของบิดาจะเป็ของเ้า” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“ให้ข้าตามหาร่างกายเพื่อมารโบราณ ท่านคิดว่าข้าจะตอบตกลงงั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวด้วยเสียงเย็น เป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่มากฝีมือเช่นนี้ เย่เฟิงไม่มีทางเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายง่าย ๆ หากเกิดอะไรขึ้นเขาคงต้องเสียใจทีหลัง
“เ้าไม่ตกลง แล้วเ้าอยากให้บิดาทำอะไร?” ราชันมารชื่อเทียนได้ยินเช่นนั้นก็เกิดร้อนใจ หากไม่ใช่เพราะเขา้าหอกมาร มีหรือเขาจะร้องขอชนรุ่นหลังที่อยู่เพียงขั้นรวมชี่?
“เว้นแต่ว่าท่านจะทำพันธะโลหิตกับข้า แล้วข้าจะช่วยท่าน” เย่เฟิงกล่าว
พันธะโลหิตก็คือสัญญาประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน เมื่อสัญญาถูกสร้างขึ้น ฝ่ายถูกกระทำจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของฝ่ายกระทำโดยไม่มีข้อเงื่อนไขใด ๆ แต่หากฝ่ายถูกกระทำละเมิดสัญญาจะต้องถูกพันธะโลหิตกัดกิน ซึ่งผลลัพธ์ของการกัดกินคือจิติญญาจะได้รับาเ็สาหัส จากนั้นจะกลายเป็คนสติไม่สมประกอบ แต่สถานหนักจะสลายเป็ผุยผงแทน ดังนั้นพันธะโลหิตเป็เื่ยากที่จะสำเร็จลุล่วง เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมความคิดของผู้อื่นได้ แม้เ้าจะเอาชนะเขา แต่ความคิดของเขาก็ใช่ว่าจะควบคุมกันได้
อย่างไรก็ตามการจะทำพันธะโลหิตได้นั้นทั้งสองฝ่ายต้องเห็นพ้องต้องกัน แต่หากไม่เห็นพ้องต้องกันและต่อให้เก่งกาจเพียงใด พันธะโลหิตก็ยากจะสมบูรณ์
สาเหตุที่เย่เฟิงเสนอพันธะโลหิต นั่นก็เพื่อปกป้องตัวเขาเอง ถึงอย่างไรหากเขาทำตามที่ราชันมารชื่อเทียนว่ามา แล้วเกิดเื่ขึ้นในภายหลังเขาก็ยากจะควบคุมได้ แต่หากใช้พันธะโลหิตมาผูกมัด เย่เฟิงก็เท่ากับมีสิทธิ์ควบคุม
“พันธะโลหิต? เ้าจะให้บิดาทำพันธะโลหิตกับเ้าที่อยู่เพียงขั้นรวมชี่งั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!” ราชันมารชื่อเทียนได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะ ก่อนจะกล่าวปฏิเสธคำขอของเย่เฟิงทันที
“หากไม่ตกลง เช่นนั้นก็อย่ามาสั่งข้าให้ตอบตกลงช่วยท่าน!” เย่เฟิงกล่าวเสียงกร้าว เขารู้อยู่แล้วว่าราชันมารชื่อเทียนจะปฏิเสธ
“เ้า...” ราชันมารชื่อเทียนถึงกับไปไม่เป็
“ช่างปะไร!” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ราชันมารชื่อเทียนก็ทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า “บิดาตกลงก็ได้ แต่ถ้าเ้าบังอาจใช้พันธะโลหิตมาข่มขู่บิดาให้ทำเื่อะไรก็แล้วแต่โดยที่ไม่ยินยอม ต่อให้บิดาถูกกัดกินจนสลายเป็ผุยผง บิดาก็จะฆ่าเ้าให้จงได้!”
“ดี!” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเดินไปยังแท่นหินที่อยู่ตรงใจกลางที่แห่งนี้ ซึ่งทุกย่างก้าวที่ก้าวออกไปจะมีไอมารมาปกคลุมร่างเขา แต่เย่เฟิงยังคงกัดฟันเดินไปยังแท่นหินนั่นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไปถึงแท่นหิน เย่เฟิงก็เอื้อมมือไปคว้าปลายหอกมาร ทันใดนั้นไอมารบุกโจมตี ทำให้ร่างเย่เฟิงต้องแบกรับแรงกดทับ ก่อนจะรู้สึกหายใจไม่ออก จากนั้นเย่เฟิงก็แผดเสียงะโอย่างกราดเกรี้ยว เขาใช้ความรู้ที่ตนมีต่ออำนาจฟ้าดินและอำนาจหอกเพื่อให้ตนเข้ากันได้กับปลายหอกมาร ซึ่งเป็เช่นนี้อยู่นานจนในที่สุดเขาก็ขยับตัวแล้วจับปลายหอก จากนั้นกรีดนิ้วหยดเืลงสู่ปลายหอกหนึ่งหยด จู่ ๆ ปลายหอกมารก็เปล่งแสงสีเื
“วูบ!” ทันใดนั้นมีลำแสงประหลาดสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายหอก ก่อนจะตรงเข้าสู่หว่างคิ้วของเย่เฟิง จู่ ๆ เย่เฟิงััได้ถึงรอยตราพันธะโลหิตในหัว นี่หมายความว่าเขาทำพันธะโลหิตกับราชันมารชื่อเทียนสำเร็จแล้ว
อย่างไรก็ตามรอยตรานี้จะติดตัวไปชั่วชีวิต จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร่วงโรย พันธะโลหิตจึงจะถูกขจัดออกไปเอง
ราชันมารชื่อเทียนจักต้องเชื่อฟังคำสั่งของเย่เฟิงทุกอย่าง หากละเมิดสัญญาก็จะถูกพันธะโลหิตกัดกิน นั่นหมายความว่านับแต่นี้เป็ต้นไปเย่เฟิงถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการควบคุมจิติญญาของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมาร
