ในระหว่างที่เดินกลับมา ฉินอวี่ก็ต้องพบกับความแปลกใจ เพราะคนจำนวนมากที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ต่างจ้องมองตนเองอย่างตกตะลึง
ก่อนหน้านี้ฉินอวี่ไม่ทันสังเกตเห็นเพราะเอาแต่ให้ความสนใจกับแผ่นผนึกว่านเซี่ยง แต่ในเวลานี้... สายตาของพวกเขาทำให้ฉินอวี่ถึงกับสับสนจนทำอะไรไม่ถูก
ฉินอวี่ที่กำลังมึนงงได้เร่งฝีเท้าขึ้นจนมาถึงตรงหน้าของไป๋ฉี ฉวีหย่งซาน และหยางซานทั้งสามคน เมื่อมองเห็นท่าทีนิ่งทื่อเพราะความตกตะลึง ฉินอวี่ก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”
“ไม่... ไม่มีอะไร! เหลา... เหลาอู่... เ้า... เ้า...” ฉวีหย่งเซิงรู้สึกตัวขึ้นเป็คนแรก แต่ดูเหมือนจะมีน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย
ฉินอวี่ยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า จากนั้นจึงมองไปยังเหล่าผู้ฝึกตนทางด้านหลังที่ยังคงจ้องมองตนเองอีกครั้ง และพูดออกไป “นี่มันเื่อะไรกันแน่? ทำไมพวกเขาต้องมองมาที่ข้าด้วย?”
ฉวีหย่งเซิง หยางซาน และไป๋ฉีต่างยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาไม่มองเ้าก็แปลกแล้วล่ะ และคิดว่าอีกไม่นานนักชื่อเสียงหลี่โหย่วฉายของเ้า คงจะสั่นะเืไปทั้งแดนต้าโหมวเทียนแน่นอน
มีระดับฝึกฝนเพียงขั้นกุมารทิพย์แต่กลับเข้าไปใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงในระยะสองจ้างได้... นี่เป็เื่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนเลย!
อย่าว่าแต่ขั้นกุมารทิพย์เลย แม้จะเป็ทั่วทั้งแดนต้าโหมวเทียน คนที่สามารถเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงได้ในระยะสองจ้างเช่นนี้ยังมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ!
“เหลาอู่... ข้าจะบอกให้เ้ารู้นะ ข้าเองยังเข้าไปใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงได้ประมาณห้าสิบจ้างเอง!” ฉวีหย่งเซิงระงับความใเอาไว้ และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ม่านตาของฉินอวี่หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงตอบสนองกลับมา มิน่าล่ะทุกคนจึงได้จ้องมองตนเองเช่นนี้ มิน่าล่ะยิ่งเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงเท่าไรก็จะเป็คนที่มีระดับการฝึกฝนที่สูงมากขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่สงสัยคือ เขาสามารถััได้ถึงพลังผูกมัดที่ไม่อาจอธิบายได้เมื่อเข้าถึงระยะห้าจ้างได้อย่างชัดเจน เป็ไปได้หรือไม่ว่าคนอื่นๆ จะไม่เป็เช่นนี้? แต่ทำไมตนเองจึงสามารถเข้าใกล้ได้มากเช่นนี้?
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็หรี่ตามองไปยังมือขวาของตนเอง หรือจะมีสาเหตุมาจากมือข้างขวา? การที่ตนเองสามารถเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงได้อย่างง่ายดายน่าจะมีสาเหตุมาจากผนึกฝ่ามือของเืปีศาจ จะต้องเป็เช่นนี้แน่นอน!
พลังความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวเต็มอยู่โดยรอบแผ่นผนึกว่านเซี่ยง ยิ่งมีความเข้าใจต่อผนึกฝ่ามือได้ลึกซึ้งมากเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใกล้แผ่นศิลาได้มากขึ้น และผนึกฝ่ามือของตนเองก็มีที่มาจากเืปีศาจ เกรงว่า... ทั่วทั้งแดนต้าโหมวเทียนแล้ว นอกจากจอมอสูรโหมวเซี่ยนที่ถูกสะกดเอาไว้ ก็คงไม่มีผู้ใดที่จะมีความรู้เื่ผนึกฝ่ามือได้เหนือกว่าเืปีศาจอีกแล้ว
“แต่ก็ไม่รู้ว่าผนึกฝ่ามือนี้จะมีความวิเศษถึงขนาดไหนกันแน่ แล้วเืปีศาจกับแผ่นผนึกว่านเซี่ยงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรกันแน่ และการเรียกแบบนั้น... มันคืออะไรกัน?”
“คงได้แต่รอให้เสร็จสิ้นการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีเสียก่อน แล้วค่อยไตร่ตรองดูอีกครั้ง” ฉินอวี่พูดในใจ ภารกิจที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ จะต้องเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีให้ได้เสียก่อน!
“ไปกันเถอะ!” ฉินอวี่ละความคิดทั้งหมดเอาไว้ และพูดอย่างเรียบเฉย
ระหว่างทาง พวกฉวีหย่งเซิงทั้งสามคนยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา หรือพูดให้ชัดคือพฤติกรรมของพวกเขาทั้งสามคนดูไม่เป็ธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ก็คอยสงสัยถึงสถานะของฉินอวี่ แต่เมื่อฉินอวี่เข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงในระยะสองจ้างได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้ทั้งสามคนใจนรู้สึกยำเกรง
นั่นเป็ระยะในรัศมีสองจ้างเลยเชียวนะ!
อีกไม่นาน คงจะต้องกลายเป็เื่น่าใสั่นะเืทั้งแดนต้าโหมวเทียนอย่างแน่นอน และหลี่โหย่วฉายก็จะกลายเป็จุดสนใจของทุกคนอย่างแน่นอน
“ภายหลังหลี่โหย่วฉายจะต้องพบกับความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาแน่นอน อีกทั้งยังมีผู้เฒ่าร้องไห้ หากสามารถผูกมิตรไว้ได้ ตระกูลฉวีก็ไม่ต้องกังวลเื่ในภายหน้าอีกแล้ว” ฉวีหย่งเซิงพึมพำในใจ
“มิน่าล่ะ ในตอนแรกเขาจึงสามารถรับหมัดของข้าได้อย่างง่ายดาย เกรงแต่เพียงว่า อีกไม่นานนักข้าคงจะถูกไล่ตามทันแล้วล่ะ สามสิบหกขุนพล์... บางที เขาอาจมีความหวังจริงๆ” หยางซานกล่าวในใจ
“สองจ้าง สองจ้าง! แม้จะเป็ถึงผู้นำตระกูลก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ บางที หากข้าไป๋ฉีคอยติดตามเขา ในภายภาคหน้าจะต้องเลื่องชื่อลือสะท้านไปทั้งต้าโหมวเทียน นับั้แ่ท่านปรมาจารย์สิ้นชีวิตไป ตระกูลไป๋ไร้ซึ่งเทพสังหารอีกครั้ง! แต่ตัวข้าไป๋ฉี... ปรารถนายิ่งนัก!”
ตอนนี้ในใจของฉินอวี่ก็กำลังครุ่นคิดอยู่กับเื่ของผนึกฝ่ามือ เขารู้สึกเสมอว่าผนึกฝ่ามือคงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และเป็ไปได้ว่าจะต้องมีความลับซ่อนอยู่ในนั้น น่าเสียดาย หลังจากเสี่ยวหลิงเข้าไปในผนึกฝ่ามือแล้วก็ยังไม่สามารถติดต่อกันได้เลย ไม่เช่นนั้นคงจะสามารถทำความเข้าใจเื่ของผนึกฝ่ามือผ่านทางเสี่ยวหลิงได้
“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าก็จะใช้ผนึกฝ่ามือนี้ััแผ่นผนึกว่านเซี่ยง ลองดูว่าข้าจะได้รับรอยผนึกนั่นมาหรือไม่?” ฉินอวี่พึมพำในใจ หากสามารถไว้ได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการเป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“หากสามารถผนึกฝ่ามือที่แข็งแกร่งไว้ได้ ผนวกกับความลับทั้งเก้าแห่งจูเทียน ของรางวัลที่เป็ผลกำไรจากการเข้ามายังเหวลึกแห่งนี้นับว่าเกินความคาดหมายไปอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดาย ผู้าุโนั่นก็เข้ามาที่นี่ด้วย เื่ทุกอย่างจึงยิ่งเปลี่ยนไปอย่างมากเลยทีเดียว” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง แม้ว่าเขาจะบ่นเช่นนี้ แต่ในใจก็ยังรู้สึกอบอุ่น
“ไปให้ถึงหอคอยเทียนกังก่อนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” ฉินอวี่ละความคิดในใจ
งานเลี้ยงของตระกูลโหมวของตี้หวังในครั้งนี้จัดขึ้นด้านตะวันออกของเมืองเทียนโหมวชั้นนอก ซึ่งจัดว่าเป็จวนที่ดูหรูหราที่สุด
แต่เมื่อพวกฉินอวี่ทั้งสี่คนมาถึง ถนนด้านหน้าจวนแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากแล้ว และในกลุ่มคนจำนวนมากนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มาเพื่อชื่นชมเหล่าอัจฉริยะของแดนต้าโหมวเทียน
มีคนเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เป็จำนวนมาก แม้ว่าจะมีเงื่อนไขที่เข้มงวด จำเป็จะต้องทายาทสายตรงของกองกำลังหลักจึงสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ แต่ในแดนต้าโหมวเทียนแห่งนี้ ให้ความสำคัญไปกับจำนวนของคนในรุ่นหลัง เป็เพราะทรัพยากรในการฝึกฝนนั้นมีอย่างจำกัด คนจำนวนมากจึงหวังว่าจะมีการสั่งสอนลูกชายหญิงั้แ่ต้น เพื่อมาร่วมการคัดเลือกพร์ที่ดีที่สุดเพื่อได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับหลิงตู้หวังที่มีลูกชายคนเดียวอย่างหลิงซวีคงจัดเป็ผู้หาได้ยากในแดนต้าโหมวเทียน
และความคิดของคนจำนวนมากนั้นก็ยังรวมถึงฉวีหย่งเซิงเช่นกัน งานเลี้ยงครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยโหมวจิ่นซิ่วอัจฉริยะหญิงแห่งตระกูลโหมวของตี้หวัง ดังนั้น จึงเรียกได้ว่าบรรดาคนหนุ่มสาวทั้งรุ่นเกือบจะมาพร้อมหน้ากันอยู่ที่นี่
เมื่อพวกฉินอวี่ทั้งสี่คนมาถึง ผู้ฝึกตนจำนวนมากเ่าั้ต่างจดจำฉินอวี่ได้ เสียงคำอุทานอย่างใทยอยดังขึ้นทันที
ทุกคนต่างจ้องมองทางพวกฉินอวี่ทั้งสี่คนเป็สายตาเดียว ท้ายที่สุดต่างก็ส่งสายตาไปทางฉินอวี่
“นี่คือหลี่โหย่วฉายศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้หรือ?”
“เป็แค่คนระดับฝึกฝนขั้นกุมารทิพย์ระดับกลาง ข้าว่าก็ไม่เห็นจะมีอะไรโดดเด่น?”
“ไม่รู้ว่าเ้าเด็กคนนี้เป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ได้อย่างไร”
“ร่ำลือกันว่า หลี่โหย่วฉายผู้นี้เป็เพียงคนขุดหลุมผู้ต่ำต้อยในแดนสุสานร้าง แต่กลับไปต้องชะตากับผู้เฒ่าร้องไห้อย่างไม่คาดคิด จึงได้มีสถานะได้เช่นนี้”
“หากไม่มีผู้เฒ่าร้องไห้ หลี่โหย่วฉายจะไปมีอะไรกัน” ชายหนุ่มที่มีหน้าตาอัปลักษณ์มองฉินอวี่ และพูดด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
แค่คนขุดหลุมที่แสนต่ำต้อย ได้กลายเป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ผู้สูงส่ง ช่องว่างระหว่างสถานะเช่นนี้ทำให้เกิดคนริษยา ดังนั้น คำพูดของคนเหล่านี้จึงเต็มไปด้วยความก้าวร้าว
ฉินอวี่หยุดนิ่งไปชั่วคราว ร่างกายเอนไปเล็กน้อย ร่างกายของชายหนุ่มอัปลักษณ์ได้ถูกยกลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และมือใหญ่นั้นได้บีบคอชายหนุ่มคนนี้ไว้แน่นราวกับกรงเล็บขนาดใหญ่
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเป็สีเหมือนตับหมูในทันที มองฉินอวี่ที่อยู่ตรงหน้า สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาส่งเสียงร้องอู้อี้เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ด้วยฉินอวี่กำลังบีบคอเขาไว้แน่น จนเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ฉินอวี่จ้องมองชายหนุ่มคนนี้และยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดออกไป “จำเอาไว้ อย่ามาท้าทายล้ำเส้นข้า ไม่ว่าพวกเ้าจะมีสถานะเช่นไร แต่หากคิดจะดูถูกข้า ก็รับรู้ไว้ด้วยว่าตนเองมีคุณสมบัติพอหรือไม่ หากตัวข้าหลี่โหย่วฉายไม่ใช่สิ่งของ พวกเ้าก็คงจะไม่ได้เป็แม้สิ่งของสินะ? คิดจะด่าข้า ดูถูกข้า เยาะเย้ยข้า ทางที่ดีที่สุดก็ช่วยไสหัวไปให้ไกล ไม่เช่นนั้น พวกเ้าก็ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาด้วย”
พูดจบ ฉินอวี่ก็กวาดสายตาไปยังผู้ฝึกตนที่กำลังใอยู่โดยรอบ จากนั้นก็โยนชายหนุ่มคนนั้นทิ้งไปบนพื้น และะโขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะลดต่ำลงมาเตะชายหนุ่มคนนี้จนกระเด็นลอยออกไป
ชายหนุ่มลอยลิ่วขึ้นไปในอากาศราวกับกระสอบทราย จากนั้นจึงตกลงมาห่างออกไปสิบจ้าง จากนั้นฉินอวี่ก็กวาดสายตามองไปยังทุกคน ก่อนจะพูดอย่างยิ่งผยอง “จริงสิ ข้ายังเป็คนอารมณ์ไม่รุนแรงเท่าไรนัก แต่อาจารย์ของข้า... คงจะอธิบายไม่ถูกเลยทีเดียว ดังนั้น หากคิดจะทำอะไรคนของข้า ขอให้คิดถึงผลที่ตามมาด้วย หากเทียบกับคนที่ต้องตายในฝีมืออาจารย์ของข้า พวกเ้า... นับว่ายังไม่ได้เื่เท่าไร?”
ผู้ชมรอบบริเวณจึงเงียบสนิทจนไร้เสียงใดๆ
