“ท่านปู่”
เมื่อเซี่ยวจื่ออวี้เหลือบไปเห็นผู้มาใหม่ นางก็รีบวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปเกาะแขนของเซี่ยวเจิ้นด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูทันที
แม้ว่ารูปลักษณ์ของเซี่ยวเจิ้นจะดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบเศษ แต่ในความจริงแล้วเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานที่มีอายุมากกว่าร้อยปี
“เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ กลับมาคราวนี้เ้าดูสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะ”
เซี่ยวเจิ้นบีบจมูกเล็กของเด็กสาว ก่อนจะยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู
“หึ ข้าไม่ชอบใจเลย ท่านปู่ ท่านดูชายผมขาวผู้นั้นสิ เขาดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีเลยสักนิด บางทีเขาอาจจะเป็ชายชราแล้วก็ได้”
เซี่ยวจื่ออวี้แค่นเสียงออกมาอย่างหงุดหงิด นางไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อมู่เฟิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก พี่เฟิงคนนี้ยังเป็เพียงเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนผู้หนึ่งเท่านั้นอยู่นะ เข้าใจหรือไม่
“ฮ่าๆ ๆ ๆ โถ่ เสี่ยวยาโถว*ในใจเ้ารู้ดีแต่ปากยังปฏิเสธอีกรึ เช่นนั้นปู่ของเ้าจะไม่เหมือนคนอายุสองร้อยปีแล้วหรือ”
(*คำเรียกเด็กสาวคล้ายแม่หนูน้อย)
เซี่ยวเจิ้นหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะยกมือลูบหัวของเซี่ยวจื่ออวี้ด้วยความเอ็นดู จากนั้นเขาก็กำหมัดคำนับมู่เฉิน ลู่ชูเสวี่ยและคนอื่นๆ กลับอย่างไว้มารยาท และสุดท้ายเขาก็หันมองไปทางมู่เฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ท่านมู่ เด็กหนุ่มผู้นี้เป็อะไรกับท่านอย่างนั้นหรือ? อายุยังน้อย แต่ฝีมือในการหลอมโอสถกลับยอดเยี่ยมนัก”
เซี่ยวเจิ้นถามมู่เฉินด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ๆ เขาน่ะหรือ เขาเป็บุตรบุญธรรมที่น้องรองของข้ารับเลี้ยงเอาไว้ก่อนจะเสียชีวิต ที่ผ่านมาตอนเขาอยู่ในตระกูลมู่เขาคอยร่ำเรียนวิธีการสลักลายเส้นอย่างหนักมาโดยตลอด และเขาก็เพิ่งจะออกมาดูโลกภายนอกเมื่อไม่นานมานี้เอง”
มู่เฉินหัวเราะ ก่อนจะสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาให้มู่เฟิง
“แท้จริงแล้วเขาเป็บุตรบุญธรรมของท่านแม่ทัพมู่เทียนหรอกหรือ ความเก่งของเขาช่างสมเกียรติของท่านแม่ทัพมู่ยิ่งนัก”
เซี่ยวเจิ้นพยักหน้า ภายในใจของเขานึกชื่นชมมู่เทียนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าระหว่างพวกเขาจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน แต่เขาก็ยังนึกชื่นชมอีกฝ่ายในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง
‘นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็บุตรบุตรธรรมของมู่เทียน เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อนกันนะ...’
ลู่ชูเสวี่ยหรี่ตาลงขณะครุ่นคิด สายตาอันเฉียบคมจ้องมองด้วยความสงสัย
“เฟิงเย่”
“ผู้าุโ"
มู่เฟิงกำหมัดคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ
“เอาละ หนุ่มน้อย เ้ายินดีจะเรียนรู้การสลักลายเส้นโอสถจากข้าหรือไม่? มาเข้าร่วมกับวิหารปรมาจารย์โอสถของข้าเป็อย่างไร?”
เซี่ยวเจิ้นเอ่ยปากเชิญเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
“อะไรกัน ท่านจ้าววิหารเซี่ยว้ารับศิษย์อย่างนั้นรึ!”
“ช่างเป็เกียรติของเฟิงเย่ผู้นั้นยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าท่านจ้าววิหารเซี่ยวจะชื่นชมเขามากขนาดนี้!”
ผู้คนที่อยู่รอบๆ โดยเฉพาะนักสลักลายเส้นโอสถต่างก็นึกอิจฉาเด็กหนุ่มขึ้นมา กระทั่งมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ยังนึกประหลาดใจเช่นกัน
เซี่ยวเจิ้นผู้นี้ไม่ได้เป็เพียงจ้าววิหารปรมาจารย์โอสถเท่านั้น แต่เขายังเป็นักสลักลายเส้นโอสถขั้นสี่และผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานอีกด้วย นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งเป็หนึ่งในรองจ้าววิหารสลักลาย ดังนั้นเขาจึงถือได้ว่าเป็ผู้ที่มีอำนาจล้นมือ
“ทำไมกันเ้าคะ ท่านปู่ เหตุใดท่านถึง้ารับเขาเป็ศิษย์? ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาท่านไม่เคยเปิดรับศิษย์โดยตรงหรอกหรือ?”
เซี่ยวจื่ออวี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ
มู่เฟิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะ้ารับเขาเป็ลูกศิษย์
“เฟิงเอ๋อร์ รีบตอบรับเร็วเข้า”
มู่เฉินลอบส่งเสียงเพื่อกล่าวเร่งเด็กหนุ่ม
หากว่ามู่เฟิงสามารถกลายเป็ศิษย์ของเซี่ยวเจิ้นได้ ต่อให้เป็เป่ยอ๋อง หากคิดจะลงมือกับเขา เกรงว่าอีกฝ่ายคงต้องพิจารณาเื่นี้อย่างหนักเช่นกัน
แต่เวลานี้มู่เฟิงกลับมีสีหน้าลำบากใจ เขายังคงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง
“เป็อะไรไป เ้ามีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ?”
เสี่ยวเจิ้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เ้าคนน่าชัง เหตุใดยังรีรอไม่รีบตกลงอีก ท่านปู่ยินดีจะรับเ้าเป็ศิษย์ สิ่งนี้นับว่าเป็เกียรติต่อเ้ามากแล้ว เ้าไม่รู้หรือว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดอยากฝากตัวเป็ศิษย์ของท่านปู่”
เซี่ยวจื่ออวี้ต่อว่าอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
มู่เฟิงเกาศีรษะตัวเองก่อนจะกล่าวออกมาอย่างขมขื่นว่า “ผู้าุโ ข้าขออภัยด้วย ข้าสามารถเข้าร่วมวิหารสลักลายได้ เพียงแต่ข้าไม่สามารถเข้าร่วมเป็นักสลักลายเส้นโอสถได้”
“หื้ม ทำไมเล่า?”
เซี่ยวเจิ้นนึกประหลาดใจทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็ประหลาดใจเช่นกัน พวกเขาต่างมองมู่เฟิงราวกับมองดูคนโง่
“เพราะข้าเคยให้สัญญากับคนผู้หนึ่งเอาไว้”
มู่เฟิงยิ้มแห้ง
“สัญญา?”
เซี่ยวเจิ้นขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ข้าเคยให้สัญญากับผู้าุโท่านหนึ่งเอาไว้ว่าจะเข้าร่วมกับวิหารปรมาจารย์เครื่องราง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถเข้าร่วมวิหารปรมาจารย์โอสถของท่านได้"
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น
“ว่าอย่างไรนะ วิหารปรมาจารย์เครื่องราง! หรือว่าเ้ายังสามารถสลักลายเส้นเครื่องรางได้ด้วย?”
เซี่ยวเจิ้นคาดไม่ถึงกับเื่นี้
ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนตกตะลึง คนผู้นี้อายุยังน้อยนัก เื่ความสามารถด้านการสลักลายเส้นโอสถที่น่าตื่นตะลึงนั้นช่างก่อนเถิด แต่ใครจะคาดคิดว่าเขาจะยังสามารถสลักลายเส้นเครื่องรางได้อีก
แน่นอนว่าในบรรดาผู้คนเหล่านี้ย่อมมีนักสลักลายเส้นเครื่องรางรวมอยู่ด้วย พวกเขาทั้งหมดต่างก็มองมู่เฟิงอย่างคาดไม่ถึง
มู่เฟิงพยักหน้า ก่อนจะนำจดหมายรับรองฉบับหนึ่งมอบให้กับเซี่ยวเจิ้น
จดหมายแนะนำฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นโดยผู้าุโเฉียน ซึ่งเป็คนที่มู่เฟิงตกปากรับคำกับอีกฝ่ายไปก่อนหน้านี้
หลังจากเซี่ยวเจิ้นได้อ่านเนื้อหาก็แสดงท่าทีประหลาดใจออกมา เขาเงยหน้ามองมู่เฟิงและกล่าวขึ้นว่า “แม้เ้าจะมีความสามารถด้านการสลักลายเส้นเครื่องราง แต่ความเชี่ยวชาญของเ้าคือการสลักลายเส้นโอสถ การที่เ้ายังเรียนรู้การสลักลายเส้นเครื่องรางเช่นนี้จะไม่เป็การสิ้นเปลืองพร์ของเ้าหรอกหรือ?"
“จ้าววิหารเซี่ยว พวกข้าคิดว่าคำกล่าวนี้ของท่านดูจะไม่น่าฟังเท่าไรนัก ในเมื่อเ้าหนุ่มเฟิงเย่มีความสามารถในการสลักลายเส้นเครื่องราง ทำไมเขาจะเข้าร่วมวิหารปรมาจารย์เครื่องรางของเราไม่ได้กัน”
ทันใดนั้นสตรีในชุดสีดำผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบรรดานักสลักลายเส้นอีกหลายคน
จากรูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้ดูเหมือนว่านางจะอายุราวๆ สามสิบกว่าปี นางสวมใส่ชุดสีดำ ผิวขาวเนียนละเอียด องค์ประกอบบนใบหน้ารูปไข่นั้นดูงดงามอย่างยิ่ง และท่วงท่าอิริยาบถของนางก็ดูงามสง่างามเหนือผู้คนเป็อย่างมาก
“ท่านจ้าววิหารโม่”
เมื่อสตรีผู้นี้ปรากฏตัว ผู้คนรอบข้างต่างก็รีบทำความเคารพนางในทันที
สตรีผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือจ้าววิหารปรมาจารย์เครื่องรางนามว่าโม่เหลียน
เมื่อเซี่ยวเจิ้นเห็นสตรีผู้นั้นปรากฏตัว เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย เด็กสาวเซี่ยวจื่ออวี้รีบกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “พี่หญิงโม่”
โม่เหลียนคนนี้เป็ผู้าุโที่อายุอานามไม่ต่างจากเซี่ยวเจิ้นมากนัก หากกล่าวกันตามเหตุผล เซี่ยวจื่ออวี้ควรเรียกอีกฝ่ายว่าท่านย่าหรือท่านยายแล้ว แต่เนื่องจากสตรีผู้นี้มีวรยุทธ์สูงส่ง ทำให้อายุไม่สามารถสร้างร่องรอยบนใบหน้าของนางได้ ยิ่งไปกว่านั้น หญิงชราผู้นี้ยังชื่นชอบให้เซี่ยวจื่ออวี้เรียกขานนางว่าพี่หญิงมากกว่าด้วย
“จ้าววิหารโม่ ท่านมาทำอะไรที่นี่”
เซี่ยวเจิ้นแค่นเสียงหัวเราะ
“ข้าอยู่ในวิหารปรมาจารย์เครื่องรางแล้วได้ยินว่าที่นี่มีการแข่งขันที่น่าสนใจ ดังนั้นข้าจึงมาดูเสียหน่อย บังเอิญว่าตอนมาถึงข้าก็เห็นว่าจ้าววิหารเซี่ยวกำลังคิดจะแย่งคนจากวิหารปรมาจารย์เครื่องรางของข้าอยู่พอดี”
โม่เหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยวเจิ้นหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขากล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้คิดจะแย่งใคร ข้าเพียงกล่าวตามความจริงเท่านั้น จากพร์ของเขา หากว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้เรียนรู้การสลักลายเส้นโอสถคงจะเป็เื่ที่น่าเสียดาย จะให้เขาเรียนรู้การสลักลายเส้นเครื่องรางคงต้องใช้เวลาอีกมาก”
“หึ ไม่ว่าจะเป็เครื่องราง โอสถ ค่ายกลหรืออาวุธเดิมทีมันก็เหมือนกันนั่นแหละ หากมีพร์สูงส่ง ไม่ว่าเขาจะเรียนรู้สิ่งใดย่อมสามารถทำออกมาได้ดี ต่อให้ความสามารถด้านการสลักลายเส้นเครื่องรางของเขาจะย่ำแย่ แต่ตราบใดที่เขามีความพยายามและความตั้งใจ เขาก็ย่อมจะสามารถทำมันออกมาได้ดีกว่าการสลักลายเส้นโอสถเป็แน่”
โม่เหลียนโต้กลับด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึง เวลานี้จ้าววิหารทั้งสองกำลังแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงศิษย์มากพร์
มู่เฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเหมือนจะหนักใจขึ้นมาเล็กน้อย
“หนุ่มน้อย เ้าบอกพี่หญิงของเ้าคนนี้หน่อยว่าเป็ผู้ใดที่แนะนำเ้ามากัน?”
โม่เหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามา กลิ่นหอมจากกายของนางก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ผิวขาวราวหิมะภายใต้ชุดสีดำทำให้ผู้คนรู้สึกเพลิดเพลินตาขึ้นมา
“เอ่อ ตอบผู้าุโ เป็ผู้าุโเฉียน เฉียนผิงขอรับ”
มู่เฟิงโน้มศีรษะลง ก่อนจะกล่าวตอบไปตามความจริง เขาไม่กล้าจ้องมองอีกฝ่ายโดยตรง เพราะเวลานี้ใบหน้าของเขากำลังแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“คิกๆ ยังเป็หนุ่มน้อยขี้อายอย่างนั้นหรอกรึ”
โม่เหลียนแตะลงบนศีรษะของมู่เฟิงขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แค่กๆ เฟิงเย่ เ้ายินดีจะเรียนรู้การสลักลายเส้นโอสถกับข้าหรือไม่ ด้วยอายุและพร์ของเ้า หากเ้ายังจะเรียนรู้การสลักลายเส้นเครื่องรางอีก เกรงว่าคงจะสิ้นเปลืองเวลาและกำลังของเ้าไม่น้อย”
ทันใดนั้นเซี่ยวเจิ้นก็รีบเอ่ยขัด เขายังคง้าดึงมู่เฟิงเข้าสู่วิหารปรมาจารย์โอสถของเขา
“เ้าคนแซ่เซี่ยว เ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เ้าไม่ได้ยินหรือว่าเฉียนผิงเป็คนแนะนำเด็กหนุ่มผู้นี้ให้เข้าสู่วิหารปรมาจารย์เครื่องรางของข้า เหตุใดเ้ายังคิดจะแย่งคนจากข้าไปอีก ไม่ละอายใจบ้างรึ”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย โม่เหลียนก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที มือทั้งสองข้างของนางยกขึ้นค้ำเอว ในขณะที่ใบหน้าสวยของนางก็เชิดไปทางเซี่ยวเจิ้นอย่างไม่พอใจ
“ทุกคนล้วนเป็คนของวิหารสลักลาย ข้าไม่อาจทนเห็นพวกเ้าหลอกลวงศิษย์ให้เดินในทางผิดได้”
เซี่ยวเจิ้นกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย แน่นอนว่าเขายังไม่คิดจะปล่อยมือ
ผู้คนรอบข้างต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ จ้าววิหารทั้งสองถือว่าเป็บุคคลที่มีอิทธิพลในเมืองหลวง นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเช่นนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้