มู่จ้งจิ่นที่ถูกหงเชี่ยวลากออกมาจากจวนรองเสนาบดีอย่างตื่นตระหนก เขาถูกพาไปขึ้นรถม้า โดยจิตใจยังคงหมกมุ่นกับความเสียใจ เมื่อใกล้จะถึงจวนของตน เขาถึงคิดได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อครู่ใครเป็คนดึงเขาออกมา?
หงเชี่ยว? ไม่สิ หงเชี่ยวจะไปเอาแรงมาจากไหน?!
“หยุดรถ!”
“หงเชี่ยวล่ะ?! เรียกนางมา!”
“เรียนท่านโหว หงเชี่ยวหายไปแล้วขอรับ!”
เมื่อได้รับคำตอบ เขาก็มีสีหน้าสับสน ตอนที่ออกจากจวนรองเสนาบดีก็เห็นว่าคนอยู่ครบนี่ เหตุใดตอนนี้ถึงหายไปแล้วล่ะ?
“รีบหานาง เร็วเข้า!”
มู่จ้งจิ่นรับรู้ถึงความผิดปกติยิ่งขึ้น ไม่นานนัก หงเชี่ยวก็ถูกพากลับมา ดูเหมือนว่าเมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง นางก็เป็ลมไป ทว่า ไม่มีใครสังเกตเห็น
มู่จ้งจิ่นรีบเรียกหมอมาตรวจตรวจนางทันที โชคดีที่หงเชี่ยวไม่ได้รับาเ็ แค่เป็ลมเท่านั้น พอหมอฝังเข็มไปสองเข็ม สักพักนางก็ได้สติ
“หืม? ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ว่าข้าอยู่จวนรองเสนาบดีกับท่านโหวหรอกหรือ? โอ๊ย ทำไมแขนถึงเจ็บจนยกไม่ขึ้นแบบนี้ล่ะ!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ดวงตาของมู่จ้งจิ่นก็เป็ประกาย เขาเพิ่งคิดอยู่หยกๆ ว่าหงเชี่ยวเป็แค่สตรีอ่อนแอจะไปมีแรงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ต้องเป็ร่างทรงสาวผู้นั้นแน่ๆ ที่ขับไล่เขา!
พลัน ก็เกิดลมแรง
จนทุกคนต้องเอามือปิดหน้า ม่านของรถม้าถูกลมพัดจนเปิดออก แล้วพัดหมวกของฉินอวี่โหรวที่อยู่ในรถม้าจนเผยให้เห็นใบหน้า
มันเป็จังหวะเดียวกันกับที่ทหารเงยหน้ามองพอดี
“เฮ้ย”
มู่จ้งจิ่นก็เงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง เขาเห็นทหารยามมองไปในรถม้าอย่างโง่เขลา
แย่แล้ว! เขาเดินเข้าไปด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เตรียมตำหนิทหารยามที่ส่งเสียงโวยวาย ทว่า เมื่อเห็นว่าสีหน้าใของทหาร ซึ่งชี้นิ้วเข้าไปในรถม้า “ท่านโหวขอรับ! นายหญิง นายหญิง ใบหน้าของนางหายดีแล้วขอรับ”
มู่จ้งจิ่นตัวแข็งทื่อและเบือนหน้าไปมอง สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือใบหน้าที่บอบบางและอ่อนโยน
หายแล้ว! หายแล้วจริงๆ ด้วย!
มู่จ้งจิ่นดูมีความสุขกว่าใคร “หมอ เร็วเข้ารีบไปเรียกหมอมา!”
หมอรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องให้มู่จ้งจิ่นร้องขอ เขาก้าวพรวดๆ ขึ้นรถม้าไปตรวจชีพจรของฉินอวี่โหรว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ยินดีด้วยขอรับ ท่านโหว ชีพจรของฮูหยินเป็ปกติแล้ว นางจะฟื้นในอีกไม่ช้าขอรับ”
ความจริงแล้ว ตอนที่มาตรวจโรคให้ฉินอวี่โหรวในคราแรก หมอผู้นี้ก็พูดเช่นนี้ แต่ยามนี้มู่จ้งจิ่นจมอยู่กับความปีติยินดี จึงไม่ได้สนใจแล้ว
“รางวัล! ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม!”
เขาลากหมอลงมา แล้วเขาก็ขึ้นรถม้าเพื่อไปกอดฮูหยินอย่างรักใคร่ ราวกับกำลังอุ้มสมบัติล้ำค่า
“รีบกลับจวนเร็ว!”
ทุกคนต่างรีบกลับจวนโหวอย่างมีความสุข แต่เมื่อมู่จ้งจิ่นได้สติ และคิดทบทวนเื่แปลกๆ ในคืนนี้ เขาก็มีสีหน้าครุ่นคิด
จู่ๆ ฉินอวี่โหรวอาการดีขึ้นได้อย่างไรกัน?
ลมแรงเมื่อครู่นั่น...
มู่จ้งจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และะโสั่งว่า “ไปจวนรองเสนาบดีแล้วไปถามถึงสตรีอีกสามคนว่าเป็อย่างไร?”
หรือร่างทรงสาวผู้นั้นจงใจไล่เขางั้นหรือ?
เหตุผลที่อวี่โหรวอาการดีขึ้น เป็เพราะนางแอบช่วยงั้นหรือ?
ทว่า หากนาง้าช่วยคนทั้งหมด เหตุใดนางต้องทำเื่วุ่นวายเช่นนี้?
มู่จ้งจิ่นนึกทบทวนว่าเขาพลาดอะไรไป พลัน เขาถึงกับต้องยกมือตบศีรษะตนเอง
บ้าจริง ลืมเื่อายุขัยสิบห้าปีนั่นไปแล้ว!
หากเป็ร่างทรงสาวเป็คนช่วยจริงๆ นางน่าจะเอาอายุขัยไปจากเขาแล้ว หากเอาจากอวี่โหรว...สีหน้าของมู่จ้งจิ่นเคร่งขึ้นทันที!
ไม่สิ เขาต้องถามร่างทรงสาวให้ชัดเจน!
...
สุดท้ายที่จวนรองเสนาบดี
จริงๆ แล้วชิงอีไม่เคยเห็นการแสดงที่งุ่มง่ามของเ้าแมวอ้วนและลูกแมวทั้งสี่ตัวมาก่อน นางจึงใช้คาถาทำให้พวกเว่ยซู่ประกอบกับจิตวิทยาเล็กน้อย ทำให้ภาพลักษณ์ของเ้าแมวอ้วนดูสง่างามในสายตาของพวกเขา
แน่นอนว่าสีหน้าของนางมารร้ายดูไม่ดีเอาเสียเลย
นางไม่สามารถฟังบทพูดอันน่าอายนั่นได้ เชื่อเถอะว่าเ้าแมวอ้วนนั้นทำนางขายขี้หน้าไปหมดแล้ว นางโยนมันลงรถม้า โดยไม่มองสักนิด
กระดูกของแม่แมวและลูกๆ นั้น ชิวอวี่แอบส่งให้ลูกแมวที่อยู่ในร่างชุ่ยหลิ่ว มันทำให้เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ชิวอวี่ขับรถรถม้า โดยมีเ้าแมวอ้วนนอนอยู่บนตัก เสียงเล็กพึมพำ “นางมารร้ายนี่ตระหนี่จริงๆ บอกว่าข้าทำให้นางเสียหน้า เห็นๆ กันอยู่ว่านางอิจฉาที่โดนข้าเด่นกว่าต่างหาก”
ชิวอวี่อยากจะหัวเราะเมื่อเ้าแมวพูดแบบนั้น แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาประหลาดใจและใเกินไป
เดิมที เขาคิดว่าตนเข้าใจว่าคนที่อยู่ในรถม้าเป็ผีแบบไหน ทว่า สุดท้ายแล้ว เขาก็พบว่าคนไม่ได้เข้าใจนางจริงๆ หรือจะเรียกว่า...เขาชื่นชมนางโดยสมบูรณ์
ตอนชิงอีบอกว่าปรโลกก็มีกฎของปรโลก ซึ่งคำนึกถึงผลกรรมเท่านั้น จริงๆ เขารู้สึกปั่นป่วนใจอยู่ไม่น้อย
ทว่า เ้าแมวบนตักนี่ยังคงยืนเคียงข้างนางอย่างมั่นคงตลอด
ชิวอวี่ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
เ้าแมวอ้วนเหลือบมองใบหน้าเขา แล้วก็ขำพรืด มันเข้าใจดีว่าชิวอวี่คิดอย่างไร
“สำนึกผิด เสียใจใช่ไหม?”
“อืม”
“ปกติน่า ก็แค่ชินกับมันก็พอ” เ้าแมวอ้วนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “อยู่ข้างกายนาง เ้าต้องเตรียมรับอารมณ์แปรปรวนของนาง ทั้งเื่ผิดศีลธรรม และการฆ่าคนอย่างโหดร้าย”
ชิวอวี่ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะกับเื่นี้ “เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่คน เอ่อ ราชินีภูตผีแบบที่เ้าพูดถึง”
“แล้วนางเป็แบบไหนล่ะ?”
“...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อืม เื่นี้ข้าเองก็เหมือนกัน”
ชิวอวี่ประหลาดใจ “เ้าแมวอ้วน เ้าอยู่กับองค์หญิงมานานยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
เ้าแมวอ้วนหรี่ตาและหาว “ถ้าจะให้พูดก็สามพันปีแล้ว เข้าใจนางงั้นหรือ? จิตใจของนางมารร้ายผู้นี้สกปรกกว่าหวงเฉวียน[1]ลึกกว่าแม่น้ำลืมเลือน ใครจะไปเข้าใจนาง”
ชิวอวี่ใอีกรอบ เขาคิดว่าผู้พิพากษาแมวอ้วนอยู่กับชิงอีมาแค่ร้อยกว่าปี ไม่ได้คาดว่าเขาจะเป็ผีเฒ่าที่มีชีวิตมามากกว่าสามพันปี
ขนาดผีเฒ่ายังไม่เข้าใจนางเลย
“อันที่จริงเ้าไม่จำเป็ต้องเข้าใจนางหรอก” เ้าแมวอ้วนเลียอุ้งเท้า แล้วพูดว่า “เ้าแค่ต้องจำไว้อย่างเดียวเท่านั้น”
“อะไรหรือ?”
“ปรโลกมีกฎ”
ชิวอวี่ยังคงไม่เข้าใจ เมื่อตอนกลางวันองค์หญิงใหญ่ก็พูดประมาณนี้เช่นกัน ทว่า สิ่งที่นางทำคืนนี้...
ตามกฎปรโลกแล้ว ควรฆ่าลูกแมวสี่ตัวนี้ไม่ใช่หรือ?
แต่นางกลับเปลี่ยนลูกแมวทั้งสี่ให้เป็มนุษย์ และนำพวกนางหลี่ไปอยู่ในร่างสัตว์
คงต้องบอกว่าเพียงชั่วพริบตา ชิวอวี่ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันใด อย่าได้ใจ! อย่าดีใจเกินเหตุ!
“เฮ้อ” เ้าแมวอ้วนที่อยู่ข้างล่างถอนหายใจให้เ้าเด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลก
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ปรโลกมีกฎของปรโลก เพียงแต่...กฎของพญามัจจุราชราชินีชิงอี ก็คือกฎของปรโลกเช่นกัน!” เ้าแมวอ้วนถอนหายใจยาวๆ อย่างปลงตก มันมองเขาด้วยสายตายิ้มเยาะเย้ย
“นางเป็เ้าแห่งปรโลกไงละ ไอ้หนู!”
ชิวอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักตัวตนของชิงอี เพียงแต่คำว่าเ้าแห่งปรโลกนั้นเป็คำถามในใจของเขามาตลอดจนมาถึงทุกวันนี้
ตอนนางนั่งบนบัลลังก์โครงกระดูก ส่วนประตูปรโลกสั่นเทาอยู่ใต้เท้านาง ในเวลาที่นางก้มมอง ชิวอวี่จึงตระหนักได้ว่าราชินีที่เขาติดตามอยู่น่ากลัวเพียงใด...
******************
[1] หวงเฉียน คือ เส้นทางบนโลกหลังความตาย ว่ากันว่าเมื่อตายไป ยมทูตขาวและยมทูตดำจะนำดวงิญญาไปปรโลก เพื่อตัดสินว่าดวงิญญานั้นจะได้ขึ้น์ ลงนรก หรือได้กลับมาเกิดใหม่ เมื่อดวงิญญามาถึงปรโลกจะต้องเดินทางไปตามเส้นทางต่างๆ โดยเป็การเดินทางที่ยาวไกล ซึ่งชาวจีนจะเรียกเส้นทางนี้ว่า “ทางหวงเฉวียน” หรือ “ทางน้ำพุเหลือง”
