การสอบคัดเลือกรอบแรกยังไม่ใช่การสอบเกาเข่าเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย
คังเหว่ยและเส้ากวงหรงชื่นชอบที่จะจินตนาการ พวกเขาถึงขั้นคิดภาพเหตุการณ์ที่เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าเมืองหลวงอย่างสง่างามมาฉีกหน้าต่งลี่ลี่และคณะเรียบร้อยแล้ว
อนิจจา ชาติตระกูลไม่เหมาะกับคนชนบทอะไรกัน นับย้อนขึ้นสักสองรุ่น ครอบครัวของต่งลี่ลี่ไม่ได้เกิดมาขาเปื้อนดินโคลนหรืออย่างไร? ต่งลี่ลี่ฐานะครอบครัวดีแล้วอย่างไร ว่าด้วยความสามารถส่วนบุคคลก็มีอยู่แค่นั้น อายุอานาม 20 กว่าปีเข้าไปแล้ว ยังติดสอยห้อยตามพวกสหายหนุ่มในต้าเยวี่ยนใช้ชีวิตเอ้อระเหยอยู่เลย ใส่เสื้อหนังขี่รถเครื่อง เท่มากนักหรือ!
เ้าหนุ่มคังเหว่ยคนนี้ ตัวเองเป็พวกไม่เอาไหนในสายตาคนอื่นด้วยซ้ำ ยังดูถูกเหยียดหยามต่งลี่ลี่อีก
เขาไม่ได้เปรียบเทียบตนเองกับต่งลี่ลี่ ทว่าเขาเปรียบเทียบเซี่ยเสี่ยวหลานกับต่งลี่ลี่ต่างหาก... พี่สะใภ้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ พี่เฉิงจื่อเองก็เป็เลิศถึงขนาดนั้น ทำไมไม่เลือกเธอ ต่งลี่ลี่ เธอไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือ!
ผู้หญิงแบบนี้ควรโดนตบหน้าแรงๆ ให้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับชีวิตแห่งความจริง ถึงจะตระหนักได้ว่าตนเองนั้นเป็ใคร
คังเหว่ยคืนโทรเลขให้หลิวหย่ง และพูดกับเส้ากวงหรงอย่างจริงจัง
“ครั้งนี้อย่าปากโป้งเชียว รอพี่สะใภ้สอบเกาเข่าเสร็จ ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วพวกเราค่อยอวด!”
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าก่อนจะสอบเกาเข่า
แม่สาวน้อยต่งลี่ลี่นั่นคลั่งไคล้พี่เฉิงจื่อเหลือเกิน ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะบ้าได้ถึงขนาดไหน จิตใจของเธอไม่ได้เอื้อเฟื้อพอ ถ้าริษยาที่พี่สะใภ้เป็เลิศจนตามไปก่อกวนเล่า? หลังเกาเข่าสิ้นสุดย่อมไม่ใช่กรณีเดียวกัน ทุกสิ่งล้วนเข้าที่เข้าทาง แม้้าจะก่อเื่เลวร้ายก็สายไปเสียแล้ว พอถึงเวลาที่พี่สะใภ้มาเรียนในปักกิ่ง ครองคู่กับพี่เฉิงจื่อดั่งเดิม ผู้หญิงอย่างต่งลี่ลี่คนนั้นก็สมควรสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสียบ้างเช่นกัน
เส้ากงหรงไม่กล้าปากโป้งอีกแล้ว
อาหารญี่ปุ่นมื้อล่าสุดทำเขารู้สึกเสียดายมากพอแล้ว นั่นก็คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการปากโป้งของเขา
คังเหว่ยอยู่ดีกินดีจากการติดตามโจวเฉิง เส้ากวงหรงจึงอยากเกาะแข้งขาบ้างเหมือนกัน ทว่าเมื่อต่งลี่ลี่ โจวอี๋และคณะปรากฏตัวในโรงแรมปักกิ่ง พวกเขากลับขัดขวางการเกาะแข้งขาของเส้ากวงหรง จะไม่ให้เส้ากวงหรงรู้สึกขุ่นเคืองได้หรือ... งานตกแต่งภายในบ้านของเขาเกินงบประมาณ ตอนนี้ติดหนี้คังเหว่ยอยู่ 12000 หยวน! เขาหมั่นไส้ต่งลี่ลี่กับเพื่อนฝูงของเธอจนแทบทนไม่ได้ ศักดิ์ศรีของคนพวกนั้นรวมกันมีค่ามากที่สุดเพียงเศษเสี้ยวในหนี้สินของเขาเท่านั้น คนอวดเก่งคือต่งลี่ลี่กับโจวอี๋ ส่วนคนที่ติดหนี้ชดใช้คืนไม่ไหวคือเขา เส้ากวงหรง
“ฉันไม่บอกใครแน่นอน!”
ต่อให้มีคนถือปืนจ่อศีรษะเขาก็บอกไม่ได้ เส้ากวงหรงยังคงจดจำเื่ที่ต่งลี่ลี่และสหายทำลายโอกาสการประจบประแจงของเขาได้ เขาอยากเห็นต่งลี่ลี่ถูกหักหน้าอย่างจัง—พี่สะใภ้จะไม่ไว้หน้ายายแซ่ต่งแน่ บดขยี้ต่งลี่ลี่ในทุกๆ ทาง ทำให้เธอต้องละอายแก่ใจที่ตนเองมิอาจเทียบเทียม
พอทั้งสองคนนี้ดูผลสอบคัดเลือกรอบแรกแล้ว พวกเขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าหลิวหย่งเสียอีก
เอาเป็ว่าผลสอบคัดเลือกรอบแรกของเซี่ยเสี่ยวหลานสร้างความสั่นะเืั้แ่เขตอันชิ่งมาจนถึงปักกิ่ง ผู้ที่ควรได้รับรู้ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว
โจวเฉิงรู้แล้วเช่นเดียวกัน เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้บอกผ่านโทรศัพท์ด้วยตนเอง
เธอไม่ได้้าโอ้อวด สอบคัดเลือกรอบแรกมีอะไรควรค่าให้โอ้อวดกัน เธอถือว่าการสอบคัดเลือกรอบแรกคือบททดสอบก่อนเกาเข่า เพื่อประมาณและรู้จักความสามารถของตนเองเป็อย่างดี รวมถึงเป็การสร้างความมั่นใจให้แก่โจวเฉิงด้วย หากสอบไม่ติดหัวชิงก็สอบเข้าจิงต้า ไม่ไหวจริงๆ ยังมีเหรินต้า [1] คะแนนจำนวนนี้ของเธอค่อนข้างมีความเสี่ยงในการยื่นเข้าหัวชิงและจิงต้า แต่เมื่อตัดมหาวิทยาลัยสองแห่งนี้ออก สามารถเลือกที่อื่นได้ตามใจปรารถนาเลยทีเดียว
โจวเฉิงกำลังสะกดกลั้นความปลาบปลื้มยินดีในใจไว้เช่นกัน
เหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่าก่อนจะสอบเกาเข่า ถ้าเสี่ยวหลานทำคะแนนได้มั่นคง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่งก็ไม่ไกลเกินเอื้อมมือแล้ว
ความคิดของเขาและคังเหว่ยตรงกันโดยไม่ได้หารือ ไม่ควรแพร่งพรายเื่อันดับหนึ่งของเมืองเฟิ่งเสียนในการสอบคัดเลือกรอบแรก ต้องสำรวมเอาไว้ รอผลเกาเข่าออกมาก่อน ก็บอกครอบครัวให้ทราบได้ทันที มารดาเขากล่าวว่าเสี่ยวหลานมาจากชนบท สภาพแวดล้อมที่ทั้งสองเติบโตทำให้ไม่เหมาะสมกัน โจวเฉิงขบคิดอยู่ว่าไม่เหมาะจริงๆ นั่นแหละ ภรรยาของเขาเรียนรู้ไวเก่งรอบด้าน หากตัวเขาไม่ดิ้นรนพัฒนาทักษะและความรู้ ในอนาคตอาจไม่มีภาษากลางร่วมกันกับเสี่ยวหลานหรือเปล่า?
คู่รักที่เหมือนไก่คุยกับเป็ด เวลาผ่านไปนานเข้าความสัมพันธ์จะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน
โจวเฉิงเตรียมตัวเตรียมใจล่วงหน้า เขาคิดไกลไปสักหน่อย
----------------------------------------
กงหยางทำงานให้หลิวหย่ง ไม่ใช่เพียงหน้าที่ ‘นักออกแบบ’ เท่านั้น ยังเป็ช่างตกแต่งภายในอีกด้วย
ตอนแรกกงหยางได้ค่าแรงงานย่อยจำนวน 8 หยวนต่อวัน เขาเองก็ดุเดือดไม่น้อย พักผ่อนเพียงสองวันจาก 30 วันในหนึ่งเดือน ที่เหลืออีก 28 วันใช้ทำงานทั้งหมด คนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าตั้งใจเรียนรู้งานอะไรอย่างจริงจังจะไม่สามารถทำได้เชียวหรือ? งานที่ช่างตกแต่งภายในทำเป็ พอเข้าสู่เดือนที่สอง กงหยางก็ทำได้ทุกงานแล้ว
ในเมื่อทำงานได้ ย่อมต้องจ่ายด้วยเกณฑ์ค่าแรงงานใหญ่ หลิวหย่งไม่คิดเล็กคิดน้อยกับส่วนต่างเพียง 2 หยวนอยู่แล้ว
ในเดือนที่สอง ปริมาณงานที่กงหยางทำน้อยลงอยู่ประมาณสองสามวัน เขาลาหยุดเรียนโดยใช้ข้ออ้าง ‘ร่างภาพ’ จะไม่นำผลงานกลับไปเลยได้เสียที่ไหน อย่างไรก็ตาม หลิวหย่งคำนวณเงินเดือนให้กงหยางตามจำนวนวันที่เข้างาน สองเดือนเขารับเงินทั้งหมด 464 หยวน
นี่เป็เงินเดือนจากการทำงานตกแต่งภายในของกงหยาง สำหรับสองคำสั่งงานที่เขาวาดแปลนให้สี่ชุด หนึ่งชุดคือราคา 50 หยวน
เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวหย่งตกลงค่าตอบแทนส่วนนี้ไว้ั้แ่แรกแล้ว จ่ายให้กงหยางรวม 200 หยวน
ต่อมาภายในบ้านของคังเหว่ย้าภาพวาดสำหรับตกแต่งจำนวนหนึ่ง กงหยางได้เงิน 300 หยวน เส้ากวงหรงก็ซื้อภาพผืนใหญ่เตรียมไว้แขวนเหนือหัวเตียงเช่นกัน ให้กงหยาง 80 หยวน
เขาเดินทางมาปักกิ่ง พักอยู่เป็เวลาสองเดือน คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้ค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 1044 หยวน
กงหยางรับเงินโดยไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ
ฐานะครอบครัวของเขาไม่ดี คนทั้งบ้านทำงานสายตัวแทบขาด ครบหนึ่งปียังเก็บเงินได้ไม่ถึงสองร้อยหยวนเลย
การเรียนศิลปะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าวิชาเอกอื่นๆ ครอบครัวกงหยางจึงไม่มีปัญญาส่งเสีย ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่างานอะไรเขาก็รับทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีงานไหนที่ทำให้เขาได้จับเงินหลักพันในคราวเดียวมาก่อน! กงหยางยังคงสับสนกับเส้นทางในอนาคตของการเรียนศิลปะอยู่ ทว่ากงหยางมองเห็น ‘เส้นทางทำเงิน’ แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างน่าพิศวง เริ่มต้นจากโปสเตอร์สองแผ่น... ทว่ารายได้ที่เป็ชิ้นเป็อันมันวางอยู่ตรงนี้ กงหยางจะขึ้นฝั่งได้อีกหรือ ความ้าแสวงหาศิลปะ ความจำใจต่อชีวิตจริง ความล่อตาล่อใจของเงินทอง ความคิดยุ่งเหยิงเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อจุดยืนของกงหยาง
จะไล่ตามศิลปะต่อไป และกลายเป็จิตรกร
หรือเป็ ‘นักออกแบบ’ หาเงินพร้อมกับเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่ง?
กงหยางมิอาจตัดสินใจได้
อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเร่งเร้าให้เขากลับ เขาทำได้แค่ซื้อตั๋วรถไฟกลับไปเท่านั้น
รถไฟเคลื่อนตัวเสียงดังกึกก้องมุ่งหน้ากลับซางตู กงหยางไม่ได้กลับซางต้าเพื่อรายงานตัวหลังหยุดเรียนทันที ทว่าเขาเลี้ยวระหว่างทาง และกลับบ้านสักหนแทน
ครอบครัวของเขาอยู่ในหมู่บ้านยากจน ชนบทที่แร้นแค้นทุกแห่งล้วนไม่แตกต่างกันมากนัก ตอนกงหยางอายุสิบกว่าปีเขาได้พบกับผู้ต่อต้านการปฏิวัติที่ถูกส่งลงชนบทเพื่อปรับพฤติกรรมคนหนึ่ง เขาคนนั้นเป็จิตรกร กงหยางจึงมีโอกาสััศาสตร์ ‘การวาดภาพ’ จิตรกรบอกว่าเขามีพร์ กงหยางฝากตัวศึกษาวิชาอยู่หลายปี และสอบติดคณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยซางตูจริงๆ อาศัยความสามารถในการวาดภาพจนกลายเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยเพียงคนเดียวของชุมชนชนบทละแวกใกล้เคียง
อีกทั้งยังสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำด้วย!
ดังนั้นแม้ครอบครัวของกงหยางจะไม่เข้าใจว่า ‘วาดภาพ’ มีประโยชน์อะไร ทว่าต่อให้ต้องเสียสละทุกสิ่งที่มีก็จะส่งเสียนักศึกษาคนนี้แน่นอน
อย่างไรเสียไม่ว่าเรียนสาขาวิชาใด จะได้รับการจัดสรรอาชีพหลังจบการศึกษาอยู่ดี กงหยางจึงเดินทางออกจากชนบทที่แสนยากจน กลายเป็คนในเมือง เขาเรียนคณะศิลปกรรมมาสามปี ไม่ได้แก้ไขสภาพความเป็อยู่ของครอบครัวแม้แต่นิดเดียว คนบ้านกงใช้ชีวิตเขม็ดแขม่กว่าเมื่อก่อนเสียอีก เพียงเพื่อ้าให้กงหยางมีเงินซื้อสีเพิ่มอีกหน่อยเท่านั้น
ั้แ่ต้นปีจวบจนสิ้นปี ยอมกินเกี๊ยวไส้หมูหนึ่งมื้อแค่ตอนฉลองตรุษจีนเท่านั้น ปกติจะไม่เจอเนื้อสัตว์เลย นอกจากตอนกงหยางกลับบ้าน ถึงยินดีซื้อเนื้อสัตว์ หรือเต็มใจทอดไข่ไก่เพื่อให้กงหยางได้ทาน
ครั้งนี้กงหยางมาอย่างปุบปับ เพราะฉะนั้นเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน สิ่งที่เห็นก็คือแกงแป้งข้น [2] เคียงด้วยผักดองเค็มฝอย ไร้ซึ่งชิ้นเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง น้ำแกงใสปริมาณแป้งน้อยนิด คนบ้านกงกินสิ่งนี้เพื่อประทังชีวิต เมื่อก่อนกงหยางก็ไม่ใช่ไม่เคยรับประทาน ทว่าอยู่ดีๆ ครั้งนี้เขากลับรู้สึกแสบเคืองจมูกขึ้นมา
เสียใจ ไม่ใช่ตนเองที่เสียใจ แต่เป็ความเสียใจแทนคนในครอบครัว
พอแม่ของกงหยางเห็นลูกชายน้ำตาร่วง ก็ตกอยู่ในอาการเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก จะไปทอดไข่สักใบให้กงหยาง
กงหยางรั้งมารดาไว้
ตาชั่งที่แกว่งไปแกว่งมาหาจุดหยุดนิ่งได้แล้ว การเป็จิตรกรไม่ใช่เื่ผิด แต่เขากำลังเรียนศิลปะราคาแพง และปล่อยให้ครอบครัวกินแกงแป้งข้นกับผักดอง? ไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่กงหยาง้า เขาหยิบเงินซึ่งหามาจากการทำงานสองเดือนในปักกิ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ หัวหงอกหัวดำตระกูลกงงุนงงกันหมด
“ฉันมีเงินแล้ว ต่อจากนี้ไปบ้านเราจะได้กินไข่ ได้กินเนื้อ อยากกินเยอะเท่าไรก็กินเท่าที่อยากกิน!”
เชิงอรรถ
[1] 人大 เหรินต้า คือ ชื่อย่อของมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีน (中国人民大学)
[2] 面疙瘩汤 แกงแป้งข้น คือ อาหารชนิดหนึ่ง เป็อาหารประจำครัวเรือน ทำง่าย วัตถุดิบน้อย ขั้นตอนหลักคือการโรยแป้งผสมน้ำเป็ก้อนหยาบลงในน้ำซุปที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้มีลักษณะเป็น้ำซุปข้นคล้ายโจ๊กที่เหลว