เล่มที่ 9 บทที่ 243 ปล้นชิง
“ทราบแล้วๆ…” ศิษย์สำนักโยวิทั้งสองรู้ตัวว่าได้ก่อเื่ใหญ่เข้าให้แล้ว แม้แต่แก้ตัวก็ยังไม่กล้า จึงรีบเผ่นออกไปทันที ทว่าก่อนที่จะจากไปก็ไม่ลืมที่จะหันมาถลึงตาใส่เวินโหวด้วยความโกรธแค้น
‘บ้าเอ๊ย จำไว้เลยนะ ถึงขนาดทำให้พวกข้าโดนด่าได้ ศิษย์พี่ฟางต้องจัดการพวกเ้าเป็แน่…’
“เอ่อ…”
เวินโหวยืนนิ่งอยู่กับที่ ‘รู้สึกแปลกๆชอบกล…’
‘ไหนศิษย์พี่หลินบอกว่าสนิทกันไม่ใช่หรือ แต่ทำไมท่าทีของฟางจวิ้นดูแปลกๆล่ะ นอกจากหน้าตาจะบูดบึ้งแล้วยังด่าศิษย์น้องตนเองอีกด้วย เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน พอเจอหน้ากันแล้วควรจะดีใจไม่ใช่หรือ?’
‘ไม่หรอกมั้ง…’
‘สงสัยจะถูกศิษย์พี่หลินหลอกแน่เลยคราวนี้ ไม่รู้จักสำนักโยวิก็ควรบอกกันแต่แรกสิ…’
‘ตอนนี้เป็ไงล่ะ มาก่อเื่ถึงถิ่นคนอื่นเขาแบบนี้ ด้วยนิสัยของฟางจวิ้นแล้ว เขาจะต้องเอาเื่แน่!’
“ไหนว่ามาสิ พวกเ้าปลอมตัวเป็เพื่อนข้าทำไม!” หลังจากศิษย์น้องทั้งคู่จากไปแล้ว ฟางจวิ้นค่อยเดินออกมาจากใจกลางสุสาน ผีดิบอสูรที่อยู่ไม่ไกลก็คำรามเสียงดัง ราวกับเกิดพูดไม่เข้าหูก็จะฉีกกระชากคนทั้งคู่ทันที…
“คือว่า…” เวินโหวพยายามยกยิ้มที่ดูขมขื่นยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา ทว่าขาก็ก้าวถอยไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว มือก็แอบสะกิดหลินเฟยที่อยู่ข้างๆไม่หยุด
“ไหนบอกว่าสนิทกับสำนักโยวิไม่ใช่หรือ…”
“ก็ใช่น่ะสิ สองเดือนก่อนตอนที่ข้าหลอมกระบี่อยู่ที่เมืองวั่งไห่ ยังขูดรีดพวกเขาได้ตั้งหลายหมื่นหินิญญาเลย เช่นนี้ไม่เรียกสนิทกันงั้นหรือ…”
“…”เวินโหวได้ยินดังนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมาทันที
‘เชื่อเขาเลยเถอะ นี่น่ะหรือที่เรียกว่าสนิท…’
ทันใดนั้นเวินโหวก็รู้สึกขมปร่าในลำคอขึ้นมา
‘ศิษย์พี่หลินนะศิษย์พี่หลิน คราวนี้ได้ตายแน่ๆ…’
“จะไม่พูดใช่หรือไม่?” ฟางจวิ้นรออยู่นานแต่ก็ไม่คำตอบที่้าเสียที จึงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ ทันใดนั้นผีดิบอสูรที่อยู่ด้านหลังก็คำรามกึกก้อง หากเสียงคำรามก่อนหน้าเป็แค่เสียงปรามละก็ ครั้งนี้ก็ถือว่าแฝงไปด้วยความโกรธเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว
“ดะ…เดี๋ยวก่อน…” เวินโหวเห็นดังนั้นก็ใทันที
‘บ้าเอ๊ย ไม่สนใจแล้ว’
“ศิษย์พี่ฟางใจเย็นก่อน เื่มันเป็อย่างนี้ คือพวกข้าสองคนได้ยินว่าศิษย์พี่ฟางสามารถยึดครองสุสานโบราณนี้ได้สำเร็จ แถมยังสังหารอสุรกายกุ่ยหวังได้อีกด้วย พวกข้าจึงเดินทางมาแสดงความยินดีเท่านั้น จริงสิ พวกข้ายังอยากถามว่าศิษย์พี่ฟางว่าพอจะให้ยืมอาวุธสักสองถึงสามอย่างให้พวกข้าไปช่วยอาจารย์อาที่ถูกมารปีศาจปิดล้อมหน่อยได้หรือไม่?”
“ยืมอาวุธอย่างนั้นหรือ?”ฟางจวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วครู่ หลังจากจ้องเวินโหวอยู่นาน ในใจก็แอบคิดว่าหรืออีกฝ่ายจะสติไม่สมประกอบกันแน่?
‘บัดนี ที่แห่งนี้ได้ถูกปิดตายไปแล้ว ทำให้เข้ามาได้อย่างเดียวไม่สามารถออกไปได้ แถมยังมีมารปีศาจออกอาละวาดมากมาย ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเองก็ไม่แน่ว่าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าเพียงหินิญญาก้อนเดียวก็ถือว่าล้ำค่ามากแล้ว แล้วใครเล่าจะโง่ให้คนอื่นยืม?’
นี่เ้าโง่หรือข้าโง่กันแน่นะ?’
“ก็…ก็แค่ยืมหน่อยเท่านั้นเอง…” ตอนนี้เวินโหวไม่กล้าขอยืมอะไรทั้งนั้น เพียงเห็นฟางจวิ้นไม่ได้ลงมือทันที เขาก็รีบเอ่ยเสริมออกมาเสียก่อน
“หากศิษย์พี่ฟางไม่สะดวก เช่นนั้นพวกข้า…”
เดิมทีเวินโหวคิดจะพูดว่าหากไม่สะดวกก็ไม่เป็ไร ต้องขออภัยด้วย พวกข้ายังมีธุระ เช่นนั้นต้องขอตัวก่อนแล้วกัน…
ทว่ายังไม่ทันจะพูดออกมา หลินเฟยที่อยู่ด้านข้างก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ถ้าศิษย์พี่ฟางไม่สะดวกละก็ เช่นนั้นแล้ว พวกข้าก็จะลงมือชิงเอง…”
“…”
เมื่อสิ้นเสียงหลินเฟย รอบด้านก็พลันเงียบสงบทันที
ไม่ว่าจะเป็เวินโหวหรือฟางจวิ้น บัดนี้ก็กำลังมองหลินเฟยด้วยความตกตะลึง…
เป็นานกว่าฟางจวิ้นจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“เ้าว่าอย่างไรนะ?”
เวินโหวที่อยู่ด้านข้างรีบดึงแขนเสื้อหลินเฟยทันที…
แน่นอนว่าไร้ประโยชน์
หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็เอ่ยตอบทันทีโดยไม่คิด
“ข้าบอกว่า หากศิษย์พี่ฟางไม่สะดวก เช่นนั้นพวกข้าก็จะลงมือชิงเอง…”
“ไม่นะ…” เวินโหวรู้สึกหน้ามืดลงทันที จนแทบจะหลายก้นจํ้าเบ้าเลยทีเดียว
“หืม?” ทว่าครั้งนี้ฟางจวิ้นกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือหัวเราะออกมาดี จึงชี้มือไปทางหลินเฟยก่อนจะเอ่ยอย่างดูแคลนออกมา
“เ้าบอกว่าจะชิงอย่างนั้นหรือ?”
“อื้อ…” หลินเฟยพยักหน้ารับ โดยไม่ตระหนักแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่พูดออกนั้นจะสร้างปัญหาอะไรหรือไม่
“ข้าได้ยินว่าก่อนตาย เ้าของสุสานนี้ร่ำรวยมาก หลังจากตายไปก็ยังบำเพ็ญจนบรรลุเป็อสุรกายกุ่ยหวังอีก เช่นนั้นสุสานนี้จะต้องมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเป็แน่ ตอนนี้ข้าเกิดขัดสนนิดหน่อย เช่นนั้นจึงต้องขอความกรุณาจากศิษย์พี่ฟางแล้วล่ะ จะเป็แร่เงินโลหะหรือสมุนไพรอะไรก็ได้ ข้าไม่เกี่ยงเลยสักนิด…”
เวินโหวยิ่งฟังก็ยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมา
‘ขอร้องล่ะ ศิษย์พี่หลินอย่าก่อเื่อีกเลย…’
‘จะปล้นใครไม่ปล้น แต่จะปล้นสำนักโยวิเนี่ยนะ?’
‘ถึงจะมีพลังร้ายกาจจนแม้แต่นักพรตเฮยซานก็ยังไม่กล้าหือด้วยก็เถอะ แต่บัดนี้อีกฝ่ายคือสำนักโยวิซึ่งเป็หนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งทะเลอูไห่เชียวนะ ไม่รู้หรือไง ว่าพวกเขาอยู่ที่ทะเลอูไห่มาหลายหมื่นปีแล้ว ถือว่ามีรากฐานมั่นคงมาก ต่อให้มีนักพรตเฮยซานเป็สิบคน ก็เกรงว่าจะไม่กล้ามีเื่ด้วยเช่นกัน!’
“ในเมื่ออยากตายนัก เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์ให้แล้วกัน!” ฟางจวิ้นแค่นหัวเราะเ็าออกมา จากนั้นก็มีเสียงิญญาร้ายโหยหวนขึ้น บัดนี้ภาพวาดที่อยู่บนเสาทั้งสิบแปดต้นก็ราวกับฟื้นคืนชีพขึ้นมา จากนั้นก็มีิญญาร้ายจำนวนมากกำลังกางกรงเล็บพุ่งมายังหลินเฟยและเวินโหวอย่างดุร้าย…
“ศิษย์พี่ฟางมีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากันสิ อย่าลงไม้…” เวินโหวยังไม่ทันพูดจบก็ถูกิญญาร้ายตนหนึ่งพุ่งเข้ามา หากเวินโหวหลบไม่ทันละก็ เกรงว่าจะต้องถูกกรงเล็บที่เต็มไปด้วยไอหยินจ้วงจนตาบอดเป็แน่
‘ให้ตายสิ เอาจริงหรือเนี่ย?’
ทันใดนั้นเวินโหวก็ยกมือขึ้น จากนั้นก็มีลำแสงสีเขียวพวยพุ่งออกมา เพียงครู่เดียวก็มีปลาตัวใหญ่ั์สีเขียวปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
เ้าปลาั์ส่ายหัวส่ายหางไปมา จากนั้นก็อ้าปากกลืนกินิญญาร้ายเข้าไปกว่าสิบตน ส่วนหางของมันก็โบกสะบัดไปมา พริบตานั้นเองิญญาร้ายมากมายล้วนก็ถูกฟาดจนแตกสลายไปหมด แรงปะทะอันรุนแรงก็พลอยกระทบไปที่เสาหินและภาพวาดฝาผนัง ทำให้เกิดลำแสงเรืองรองสว่างขึ้นมา กระทั่งสุดท้ายแรงกระทบรุนแรงก็ถูกลำแสงเหล่านี้สกัดต้านเอาไว้
ภายใต้การโจมตีของเ้าปลาั์นั้นเอง ทำให้ไม่นานิญญามากมายที่ล่องลอยเต็มฟ้าก็ลดน้อยลงไปมาก
“ข้าประเมินเ้าต่ำไปเสียแล้ว…” ฟางจวิ้นเห็นดังนั้นก็ชะงักลง ทว่าครู่เดียวเขาก็วาดมือจนเกิดเป็ค่ายกล ทันใดนั้นผีดิบอสูรที่อยู่ด้านข้างก็คำรามกึกก้องออกมา ก่อนที่ลำตัวอันสูงชะลูดซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็นและไอหยินของผีดิบอสูร จะะโขึ้นไปบนหลังเ้าปลาั์…
ผีดิบอสูรมีส่วนสูงนับหลายจ้าง ใบหน้าขึ้นสีเขียวคล้ำ ส่วนดวงตาก็แดงก่ำ อีกทั้งยังมีเขี้ยวงอกออกมาอีกด้วย เมื่อมองจากภายนอกก็ดูเหมือนทั้งผีดิบและอสุรกายในร่างเดียวกัน บัดนี้เมื่อมันะโขึ้นไปบนหลังเ้าปลาั์ มันก็ใช้กรงเล็บอันแหลมคมจ้วงลงไปทันที…
ทันใดนั้นเ้าปลาั์ก็กรีดร้องออกมาด้วยความเ็ปทันที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------