เป็สายอย่างนั้นหรือ?
ทังหงเอินไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อน
เขามายังมหาวิทยาลัยหัวชิงโดยมีความตั้งใจจะสืบเื่จี้เจียงหยวนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาใช้การมาเยี่ยมเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ข้ออ้างเสียหน่อย
“เธอจะเป็สายอะไรกัน ฉันบอกเื่ราวให้เธอรับรู้ ก็เพราะรู้ดีว่าเธอชอบขบคิดเอาเอง อย่างไรเื่นี้ก็เป็ปัญหาระหว่างฉันกับเจียงหยวนและแม่ของเขา สาวน้อยอย่างเธอไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก อย่าบอกเจียงหยวนว่าฉันคือใคร ปล่อยให้เขาคิดว่าฉันเป็อาของเธอแบบนี้กลับทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากกว่า”
ท่าทีของทังหงเอินขึงขังมาก เขาไม่ได้กำลังล้อเล่นอย่างแน่นอน
บนโลกนี้มีเื่บางอย่างที่แก้ไขได้โดยบุคคลผู้เกี่ยวข้องเองเท่านั้น การที่คนนอกเข้าไปช่วยด้วยเจตนาอันดีอาจก่อให้เกิดการผลลัพธ์ตรงกันข้ามแทนได้
สำหรับทังหงเอิน แค่แน่ใจในสถานะของจี้เจียงหยวนก็เพียงพอแล้ว ทว่าความรับผิดชอบที่เขาควรพยายามเองอย่างสุดความสามารถยังต้องอาศัยหญิงสาวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานช่วยอีกหรือไร?
ทังหงเอินขอให้เซี่ยเสี่ยวหลานแสร้งทำเป็ไม่รู้ และอย่าเผยความผิดปกติต่อหน้าจี้เจียงหยวนก็พอแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าสิ่งนี้ช่างทดสอบทักษะการแสดงของเธอเหลือเกิน แต่ก็ตกปากรับคำอยู่ดี
เสี่ยวหวังมารับทังหงเอินกลับไป เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ค่อยๆ เดินกลับพร้อมถือกุ้งแห้งถุงนั้นไปด้วย
ระหว่างทางก็เจอะจี้เจียงหยวนอีกแล้ว
“คุณอาเธอไม่เป็ไรใช่ไหม? ฉันเห็นท่าทางของเขาเหมือนปวดกระเพาะนะ!”
นี่คือพ่อลูกใจเชื่อมกันรึ?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่ามันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก เซี่ยต้าจวินจะเจ็บหรือไม่ เธอไม่รู้สึกรู้สาโดยสิ้นเชิง ทว่าจี้เจียงหยวนกลับรออยู่ระหว่างทาง อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาไม่แสดงถึงความผิดปกติแต่อย่างใด เขาไม่รู้จักทังหงเอินจริงๆ... ปีนี้จี้เจียงหยวนอายุ 19 เช่นกัน ไม่ได้เจอหน้า 12 ปี จะไม่หลงเหลือความทรงจำแม้แต่น้อยจริงหรือ?
“ไม่เป็ไรแล้ว เขาพกยาน่ะ กินยาเสร็จก็กลับไป ขอบคุณความห่วงใยจากเธอด้วยนะ สหายจี้!”
ห่วงใยไม่ผิดคนเสียด้วย ห่วงใยพ่อแท้ๆ ของตนเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานขอให้จี้เจียงหยวนรอสักครู่ เธอวิ่งขึ้นอาคารไปหากล่องเหล็กชุบสะอาดหนึ่งใบ ก่อนจะเทกุ้งแห้งที่ทังหงเอินนำมาฝากลงไปครึ่งหนึ่งให้จี้เจียงหยวน
“ของฝากท้องถิ่นที่อาฉันเอามาน่ะ ให้เธอลองชิมดู”
จี้เจียงหยวนถือกล่องเหล็กไว้อย่างงุนงงและครุ่นคิดนับครั้งไม่ถ้วน “สหายเซี่ยเสี่ยวหลาน กุ้งแห้งนี้ของเธอ... ช่างเถอะ ขอบใจเธอนะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอรับไว้แล้วกัน”
จี้เจียงหยวนอยากพูดว่าควรส่งของนี้ให้หัวหน้าครูฝึกโจวถึงจะถูก แต่แววตาของเซี่ยเสี่ยวหลานช่างโปร่งใสเหลือเกิน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีเจตนาแบบนั้น ถ้าเขาพูดออกมาทุกคนจะกระอักกระอ่วนร่วมกันไม่ใช่หรือ? รับก็รับ แค่ของกินนิดหน่อย จี้เจียงหยวนตัดสินใจเอาของกินให้เซี่ยเสี่ยวหลานด้วยเหมือนกัน
ทั้งสองกระซิบกระซาบสนทนากันอยู่ด้านล่างอาคาร พอเซี่ยเสี่ยวหลานกลับถึงห้องพัก ซูจิ้งก็ยิ้มระรื่นให้เธออย่างหยอกเย้า
พฤติกรรมอยากรู้อยากเห็นเื่ชาวบ้านเป็นิสัยโดยกำเนิด ไม่เกี่ยวข้องว่าจะเป็นักศึกษาหัวชิงรึผลการเรียนดีหรือไม่แม้แต่นิดเดียว!
เซี่ยเสี่ยวหลานรีบคว้ากุ้งสองสามตัวยัดเข้าไปในปากซูจิ้งเพื่ออุดปากของเธอ “เธอจะซุบซิบเื่คนอื่น หรือว่าเธอจะกิน?”
กุ้งถูกลอกเปลือกออกและอบแห้งทั้งหมด เค็มๆ หอมๆ เนื้อแน่นสู้ฟัน ยิ่งเคี้ยวยิ่งหอม หลังจากนั้นยังรู้สึกหวานเล็กน้อยอีกด้วย
“นี่คืออะไรน่ะ?”
“กุ้ง”
เซี่ยเสี่ยวหลานแบ่งให้ทุกคนในห้องพักคนละหน่อย ทุกคนรู้ว่าเป็ของที่ญาติเซี่ยเสี่ยวหลานนำมาฝาก จึงรับประทานเป็มารยาทไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
“ลอกเปลือกกุ้งออกทีละตัวแล้วอบแห้งเลยรึ ยุ่งยากขนาดนี้เชียว น้องหก ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านดีกับเธอมากจริงๆ ”
“พี่ใหญ่ ถ้าชอบก็กินเยอะๆ สิ!”
หยางหย่งหงไม่ได้กินเยอะอยู่ดี
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดเหมือนกันว่ารสชาติอร่อยดีทีเดียว หลังจากถามคนในห้องซ้ำ ก็ได้คำตอบว่าทุกคนไม่กินอีกแล้ว เธอจึงเก็บส่วนที่เหลือไว้ สองวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ถูกใช้ไปแล้วทั้งหมด เช่นนั้นสัปดาห์หน้าเธอจะไปเยี่ยมโจวเฉิง และนำกุ้งพวกนี้ไปฝากเขา
ลูกเกดที่เพิ่งตากแห้งเสร็จของปีนี้ก็สามารถซื้อได้เช่นกัน โจวเฉิงชอบกินของหวานๆ ต้องนำลูกเกดไปฝากเขาด้วย
----------------------------------------
หลังทังหงเอินออกจากหัวชิง เขาก็ให้เสี่ยวหวังขับรถตรงไปตามที่อยู่แห่งหนึ่ง
เขาแน่ใจในสถานะของจี้เจียงหยวนแล้ว จึง้าจะเจรจากับบ้านจี้อย่างเป็เื่เป็ราว
รถเก๋งวิ่งเงียบๆ ไปท่ามกลางทิวทัศน์ยามค่ำคืน เสี่ยวหวังติดตามทังหงเอินมาหลายปี เขารู้เพียงแต่หัวหน้าอยู่ในสถานะหย่าร้าง ทว่าไม่เคยไปบ้านจี้กับทังหงเอินมาก่อน ทังหงเอินมาบ้านจี้ด้วยตนเองทุกปี แม้ว่าบ้านจี้จะไม่ปล่อยให้เขาเข้าบ้านก็ตาม—ครั้งนี้ต่อให้ถูกปฏิเสธ เขาก็จะรอคำอธิบาย
จอดรถยนต์ไว้หน้าตรอกได้เท่านั้น ด้านนอกมีฝนตกลงมาเล็กน้อย ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยลงบนบ่าของทังหงเอิน เขาให้เสี่ยวหวังคอยที่รถ ส่วนตนเองเดินฝ่าฝนเข้าไปในตรอก
บ้านจี้คือซื่อเหอเยวี่ยนหลังเล็กแสนเงียบสงบท่ามกลางความคึกคัก
มอสส์เขียวครึ้มเติบโตภายใต้ชายคาบ้าน มีแสงสว่างน้อยๆ ลอดผ่านด้านในกำแพงออกมา ในบ้านมีคนอยู่สินะ
ทังหงเอินเคาะประตูบ้าน จากนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามจากข้างใน
“ใครน่ะ ดึกขนาดนี้?”
เสียงนี้ช่างอ่อนหวานรื่นหู และเป็เสียงที่ทังหงเอินจดจำได้ไม่เสื่อมคลาย
“ผมเอง ทังหงเอิน ผมรู้ว่าคุณกลับมาแล้ว”
เมื่อทังหงเอินกล่าวจบภายในบ้านสิ้นเสียงลงทันที ตัวบ้านก็เงียบสงัดราวกับบ้านผีสิง ทังหงเอินรู้ว่าคนอาจอยู่หน้าประตู ดังนั้นเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายหลบลี้หนีไปอีกไม่ได้
“วันนี้ผมเจอเจียงหยวนที่หัวชิงแล้ว!”
ประตูบ้านซึ่งเดิมทีปิดสนิทก็ถูกเปิดออกในบัดดล
ท่ามกลางอากาศปลายเดือนตุลาคม หญิงร่างสูงผอมคนหนึ่งสวมกี่เพ้าแขนยาวสีน้ำเงินอมเขียว ใบหน้าของเธอขาวจนน่ากลัว คิ้วเรียวบาง ในดวงตาคู่นั้นสะท้อนความเ็าออกมา
“คุณห้ามไปเจอจี้เจียงหยวน และที่นี่ก็ไม่ต้อนรับคุณ ตอนพวกเราหย่ากันก็ตกลงดีแล้ว ลูกอยู่ในความดูแลของฉัน ตอนนี้คุณจะผิดคำพูดหรือ?”
ทังหงเอินไม่ได้พบอดีตภรรยาจี้หย่ามา 12 ปีเช่นกัน
จี้หย่ายังคงเหมือนกับในความทรงจำของเขา ยังคงมีรูปร่างผอมแบบนั้น ทว่าแนวทางการแต่งกายจัดจ้านขึ้นมาก เมื่อสิบปีก่อน สภาพสังคมอนุรักษ์นิยมกว่า ทว่าจี้หย่ารักสวยรักงามมาก ดังนั้นแม้เสื้อผ้าจะธรรมดาเพียงใดเธอก็ต้องตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ จี้หย่าบอกว่านั่นคือความสุขของชีวิต... ทังหงเอินสะกดกลั้นความกระสับกระส่ายที่อยู่ภายในใจ การนึกถึงเื่ในอดีตเป็สิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด ตอนนี้เขา้าคุยกับจี้หย่าเื่ลูกชายของพวกเขาทั้งสอง
เม็ดฝนละเอียดกระทบกายทังหงเอิน บ้านจี้จะไม่แม้แต่อนุญาตให้เขายืนใต้ชายคา เมื่อเขาเคาะประตูแล้วจึงถอยกลับไปยังบริเวณฝนพรำที่ไม่มีสิ่งใดกำบังอีกครั้ง
นอกจากนี้เขายังไม่เคยชินกับการอยู่ใกล้จี้หย่ามากเกินไป
อย่ามองว่าจี้หย่าผอมแห้งแรงน้อย เพราะใบหน้าของเธอทำให้รู้สึกถึงความเฉยชา
ทังหงเอินพยายามอธิบายโดยใช้เหตุผลคุยกับจี้หย่า
“ใช่ ตอนพวกเราหย่ากันได้ตกลงกันดีแล้ว โดยตกลงให้คุณเลี้ยงดูเจียงหยวน แต่ไม่เคยพูดว่าผมเจอเจียงหยวนไม่ได้! พอหย่าคุณก็พาเจียงหยวนไปต่างประเทศ 12 ปีที่ผ่านมานี้ผมไม่เคยเจอเขาสักครั้งเดียว จดหมายที่ผมเขียนให้พวกคุณ ค่าใช้จ่ายที่ส่งให้พวกคุณ มันเหมือนก้อนหินที่จมลงก้นทะเลทั้งหมด! ผมพอเข้าใจว่าตอนนั้นเป็่เวลาไม่ปกติ การมีอยู่ของผมอาจพัวพันถึงคุณกับเจียงหยวน และพัวพันถึงตระกูลจี้ด้วย... แต่ในตอนนี้ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว ทำไมผมจะไปเจอเจียงหยวนไม่ได้? เขาเป็ลูกชายแท้ๆ ของผมนะ!”
จี้หย่าจ้องทังหงเอินอยู่นานก่อนแสยะยิ้มออกมา
“ฉันกลับมาที่นี่ก็ได้ยิน ตอนนี้นายกเทศมนตรีทังเลื่อนตำแหน่งแล้ว! ทำไมรึ คุณคิดว่าตอนนี้ตัวเองได้เป็นายกเทศมนตรี ก็สามารถใช้อำนาจควบคุมบ้านจี้ได้หรือ?”
จี้หย่าคารมคมคาย ทังหงเอินถูกเธอยอกย้อนกลับจนพูดไม่ออก
แน่นอนว่าไม่ได้เป็เช่นนั้น
เขาจะเป็นายกเทศมนตรีหรือไม่ นั่นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาที่เป็พ่อคนหนึ่งไม่ใช่หรือ
จี้หย่า้าตีความบิดเบือนเจตนาของเขาให้ได้ ทังหงเอินรู้สึกพ่ายแพ้จนหมดท่า เขากับจี้หย่าเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? การแต่งงานของพวกเขาสิ้นหนทางการสื่อสารกันแล้ว 12 ปีผ่านไป ความขุ่นข้องหมองใจที่จี้หย่ามีต่อเขาไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย!
“ถ้าคุณกล้าแสดงตัวกับเจี้ยงหยวน ในเมื่อฉันพาเขากลับประเทศได้ ฉันก็ทำให้เขาไปต่างประเทศได้เหมือนกัน!”
“จี้หย่า คุณไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
ผู้หญิงที่เขาเคยรักอย่างสุดซึ้ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงเปลี่ยนแปลงไปไม่เหลือเค้าเดิม ทังหงเอินรู้สึกว่ากระเพาะอาหารของตนเองปั่นป่วนอีกครั้ง เขาถอยหลังสองก้าว จี้หย่ายิ้มเยาะเย้ยก่อนจะกระแทกประตูใส่
เสี่ยวหวังรออยู่นานแล้วก็ยังไม่เห็นทังหงเอินกลับมา เขารู้สึกกังวลใจมากทีเดียว ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวหวังจึงตามเข้ามาในตรอก และได้พบว่าทังหงเอินกำลังทรุดลงข้างกำแพง เขาใกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ—
“หัวหน้า หัวหน้าคุณอย่าทำให้ผมใจเสียสิ... โรงพยาบาล ใช่ใช่ใช่ ต้องส่งไปโรงพยาบาล”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้