เมื่อมิมีผู้หาเื่ ตลอดการเดินทางย่อมมิเกิดคลื่นลมใดขึ้นอีก หลังเดินทางกลับถึงเมืองแห่งนักดาบพเนจร พวกโม่จ้านกลับไปยังบ้านของลาถีเท่อ ทางฝั่งเจียนั่วกลับไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่จวนเ้าเมือง
ยามลาถีเท่อเอ่ยว่าจะให้โม่จ้านไปสถาบันเวทมนตร์เพื่อช่วยส่งภารกิจให้เก๋อจือ โม่จ้านปฏิเสธอย่างสุดใจขาดดิ้น --- ที่นั่นเป็ถึงหนึ่งในสองสถาบันเวทมนตร์ของแผ่นดินใหญ่ มิรู้ว่าด้านในมีปีศาจเฒ่าสารพัดพิษตั้งมากมายเพียงใด หากบังเอิญพบเข้าแล้วดูออกว่าตัวตนของตนคืออันใดจะทำอย่างไร?
ทว่าความเป็จริงนั้นดังเช่นที่ลาถีเท่อบอก เก๋อจือมิอาจออกหน้า ทั้งลาถีเท่อก็สนิทสนมกับเก๋อจือมากเกินไป เป็ไปได้สูงว่าอาจจะถูกจับตามองเสียแต่ต้นแล้ว หวาเอ่อร์ที่เป็พ่อบ้านยิ่งต้องเป็เช่นนั้น ถ้ำเสือแห่งนี้ จำต้องให้ตนบุกเข้าไปอย่างมิอาจเลี่ยงเสียแล้ว
เพียงแต่ ขณะที่โม่จ้านกำลังแสร้งสืบเื่เผ่าปีศาจจากเก๋อจือราวกับมิตั้งใจ ตนพลันได้รับรู้ข่าวสารสำคัญหนึ่งประการ: ลักษณะภายนอกของเผ่าปีศาจมิต่างจากเผ่าสัตว์กลายร่างจำนวนหนึ่งหรือเผ่ามนุษย์มากนัก โดยภาพรวมแล้วผู้คนส่วนมากมักแยกแยะเผ่าปีศาจด้วยเขา สีั์ตาและลักษณะพิเศษภายนอก
สิ่งที่ทำให้โม่จ้านหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออกคือ เพราะเผ่าปีศาจทั้งหมดล้วนแต่รักถนอมเขาของตน ถึงขั้นเห็นเขาเป็เสมือนการดำรงอยู่ของชีวิต ดังนั้นเหล่าจอมเวทจึงคิดว่าเป็ไปได้สูงที่แหล่งพลังของเผ่าปีศาจอาจจะเกี่ยวโยงกับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็ลักษณะพิเศษอันดับแรกที่ใช้แยกแยะเผ่าปีศาจ แม้ว่าจะมีวิธีอื่นในการใช้แยกแยะ กระนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อให้จอมเวทระดับสูงร่ายเวทในกรณีพิเศษเท่านั้น
“ในหอสมุดของโรงเรียนยังมีตำราอยู่เล่มหนึ่ง อธิบายถึงวิธีการแยกแยะระหว่างเขาของเผ่าสัตว์กลายร่างกับเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ ข้าคิดว่าผู้เขียนตำราเล่มนั้นจะต้องเป็ผู้ที่น่าเบื่อที่สุดในแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอน...” เก๋อจือเอ่ยพลางอ้าปากหาว
โม่จ้านเอ่ยเสริมในใจอย่างเงียบๆ อีกอย่างหนึ่ง หากสำหรับเผ่าปีศาจ เขาคือแหล่งที่มาของพลังเวท เช่นนั้นเหตุใดยามถูกตนตัดจนขาดจึงมิรู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย? ในทางกลับกัน เมื่อเป็เช่นนี้จริงๆ เผ่าปีศาจคงก็มิมีทางโง่จนถึงขั้นยอมแบกเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นชัดถึงเพียงนี้ออกไปเดินอาดๆ กลางถนน
เมื่อเป็เช่นนี้ โม่จ้านกลับถอนหายใจโล่งอก เห็นทีขอเพียงตนระวังสักหน่อย มิก่อให้เกิดปัญหาเข้าแทรกและมิดึงดูดสายตาผู้คนก็ยังพอจะทำให้มิถูกค้นพบตัวตน
ทว่า การแต่งกายเช่นนี้ของตนจำต้องเปลี่ยนสักหน่อย
โม่จ้านบีบเกราะหนังของตนเองแล้วลองนึกภาพทหารรับจ้างสวมชุดเกราะหนังพกกระบี่เดินเข้าไปในสถาบันเวทมนตร์ซึ่งสะดุดตามิน้อยไปกว่าอูฐในฝูงแกะ
ชุดที่เหมาะสมที่สุดย่อมเป็ชุดเครื่องแบบผู้เรียน เพียงแต่เสื้อผ้าของเก๋อจือตัวเล็ก ตนใส่ไม่ได้สักนิด ชุดเครื่องแบบกิลด์นักดาบพเนจรของลาถีเท่อกลับใส่ได้พอดี กระนั้นระดับความสะดุดตากลับมิได้ด้อยไปนักรบติดอาวุธ ครั้นคิดไปคิดมากลับเหลือเพียงชุดพ่อบ้านที่จะนำมาใช้การได้เสียแล้ว นักเรียนในสถาบันเวทมนตร์ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็ลูกหลานของชนชั้นสูง อีกทั้งยังมีพ่อบ้านคอยมารับส่งสิ่งของหรือนำความมาเรียนแทนเ้านายอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการแต่งกายเป็พ่อบ้านจึงมิมีทางสะดุดตาผู้คน
ทว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือตนมิมีความรู้เกี่ยวกับอาชีพพ่อบ้านนี้แม้แต่น้อย --- อย่าว่ามิรู้เื่หลักมารยาทและการใช้ภาษานอบน้อม เมื่อนำประสบการณ์ทั้งสองชีวิตของตนรวมกัน ยามที่ได้ใกล้ชิดกับคำว่า “พ่อบ้าน” สองคำนี้มากที่สุด คาดมิถึงว่าจะเป็ยามที่ร่วมเร่งเดินทางกับป๋อเก๋อ
เก๋อจือได้ยินเช่นนั้นพลันแทบจะกระอักเืออกมาคำโต ลาถีเท่อเคยบอกว่าโม่เจ๋อเอ่อร์คล้ายบุตรตระกูลใหญ่ที่ตกทุกข์ได้ยาก ตนยังคิดว่าโม่เจ๋อเอ่อร์มีขอบเขตความคิดที่กว้างขวาง อย่างน้อยคงจะพอมีความรู้อยู่บ้าง กระนั้นกลับนึกมิถึงว่าจะ “ว่างเปล่า” จริงๆ หรือเพื่อจะส่งภารกิจ ยังต้องให้โม่เจ๋อเอ่อร์ไปอบรมมารยาทเสียก่อน?
ลาถีเท่อกับเก๋อจือสามารถหลบผู้คนกลับบ้านและยังสามารถปิดประตูมิยอมออกข้างนอกได้ ทว่ากลับมิอาจขวางคนตระกูลเคอซือมิให้ไปสอบถามอัศวินของจวนเ้าเมือง เวลาที่เหลือให้พวกตนสามคนมีมิมาก หากแม้นแสดงมิเหมือนก็ยังคงต้องกัดฟันทำ
ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าลาถีเท่อกับเก๋อจือก็คือโม่จ้านในสภาพนี้
ผมแข็งกระด้างถูกน้ำยาแต่งผมฝืนบังคับให้ราบเรียบลงไป เสื้อด้านสีขาวหิมะและเสื้อกั๊กสีดำสะอาดสะอ้านเป็ระเบียบ ผ้าผูกหูกระต่ายสีดำมิต่างกันถูกกลัดไว้บนคอเสื้อในตำแหน่งเหมาะสม เดิมทีร่างกายของโม่จ้านก็ตรงทื่อ ไหล่กว้างเอวบาง ขายาว เมื่อสวมชุดทักซิโด้และกางเกงขายาว ผนวกกับรองเท้าหนังสีดำที่ถูกขัดจนวาววับ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบจนมิอาจสมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้อีกแล้ว
...แน่นอน นอกจากใบหน้าที่เห็นได้ชัดว่ายังอ่อนเยาว์อยู่บ้าง ยังมีท่าทางที่เผยกลิ่นอายของนักรบทันทีที่เขาเคลื่อนไหว
อายุสามารถอธิบายว่าหน้าเด็ก ทว่าเมื่อเทียบระหว่างนักรบติดดาบปลายปืนกับพนักงานบริการ ช่างยากจะถมกลบระดับความแตกต่างของกิริยาท่าทางระหว่างทั้งสองอาชีพนี้เหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นโม่จ้านยังมิรู้เื่หลักมารยาทน่ารำคาญใจเ่าั้สักนิด หากจะให้เก๋อจือพูด มิจำเป็ต้องปริปาก เพียงหนึ่งการค้อมเอวก็รู้แล้วว่าเป็ของปลอม
ลาถีเท่อกับเก๋อจือพากันเกาหูเกาแก้ม ทว่าโม่จ้านกลับยกยิ้มราวกับกำลังคิดบางสิ่ง
“วางใจเถิด ยกให้เป็หน้าที่ข้าเถิด” โม่จ้านตบบ่าคนทั้งสองอย่างเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“หากข้ารับรองแล้ว มิมีเื่ใดมิสำเร็จ”
...ไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากที่ใดกัน?
เก๋อจือกับลาถีเท่อหันไปสบตากันอย่างเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของโม่จ้านกลับจริงใจเหลือเกิน คนทั้งสองจึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไปอย่างเชื่อบ้างมิเชื่อบ้าง
......
“หากผ่านไปสองวันข้ายังมิกลับมา พวกเ้าจงหนีไปให้ไกลได้เท่าใดยิ่งดี”
ภายในโรงเตี๊ยมในชุมชนเล็กนอกเมือง เก๋อจือกับลาถีเท่อมองแผ่นหลังโม่จ้านจากไปด้วยความเป็ห่วง ในหัวยังคงใคร่ครวญประโยคที่อีกฝ่ายกำชับตน
ในใจคนทั้งสองต่างมีหนึ่งข้อสงสัย --- เพียงไปส่งภารกิจจบการศึกษาเท่านั้น เหตุใดจึงต้องเคร่งขรึมจริงจังเสมือนแอบส่งภารกิจลับด้วย?
เก๋อจือคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก่อนจะกระทุ้งลาถีเท่ออย่างใจฝ่อ
“ต่อให้โม่เจ๋อเอ่อร์ถูกพบเข้า มิว่าท่านพ่อของข้าจะเสียสติเพียงใดก็คงมิถึงขั้นจับตัวคนส่งของตามข้างทางมาไต่สวนกระมัง?”
“หากเขาพบว่าเ้ามีแนวโน้มจะหลบหนีนั้นก็มิแน่”
ลาถีเท่อถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองไปยังสุดถนนหนทางที่ไกลออกไป
“...หวังว่าทักษะการต่อสู้ของโม่เจ๋อเอ่อร์จะมิถูกเปิดโปง หากถูกคนของกิลด์นักรบจับจ้องเข้า เช่นนั้นคงจะยิ่งเป็ปัญหาเสียแล้ว”
อีกทางหนึ่ง โม่จ้านนำตราผ่านทางของเก๋อจือไปใช้จุดวาร์ป ใช้เวลาเพียงมินานก็มาถึงเมืองเป้ยเท่ออันเป็ที่ตั้งของโรงเรียนเวทมนตร์ฝั่งตะวันออก
ทันทีที่เข้าประตูเมือง โม่จ้านพลันเกิดรู้สึกหน้ามืดตาลาย --- บ้านเรือนสูงต่ำต่างระดับเรียงรายมิต่างกับเกล็ดปลา ถนนสายกว้างมีรถราวิ่งกันขวักไขว่ ผู้คนหลั่งไหลไปมามิหยุด หากมิใช่เพราะคนกลุ่มใหญ่สวมชุดจอมเวทและหมวกประหลาด ตนยังจะนึกว่าตนเองโผล่มายังเมืองใหญ่สักเมืองที่ผู้คนหนาแน่น
ในตู้กระจกของร้านข้างทางจัดวางสิ่งของหน้าตาประหลาดสารพัดอย่าง มีทั้งก้อนหินหลากลักษณะ แผ่นกระดาษหนาบางมิเท่ากัน ยังมีวัตถุต้องสงสัยว่าเป็ซากสัตว์ โม่จ้านเดินผ่านประตูร้านแห่งหนึ่งที่แขวนป้าย“ร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ในเครือปู้หลันข่า” เข้าไป ครั้นเหลือบมองของด้านในแล้วตนถึงกับเกือบจะตาบอด --- สิ่งที่แขวนไว้บนผนังล้วนแต่เป็คทาเวทฝังอัญมณี ทอแสงสว่างไสวใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง เทียบได้กับมลพิษทางแสงในเมืองสมัยใหม่ดีๆ นี่เอง
หากซื้อไฟลูกบอลมาแขวนไว้บนเพดาน ตามด้วยซื้อเครื่องเสียงสักตัวคงเปิดห้องเต้นรำได้แล้ว
หลังขยี้ดวงตาที่ถูกแสงสะท้อนทำเอาเจ็บแสบ โม่จ้านแขวะอยู่ในใจสองประโยคก่อนจะเดินเอ้อระเหยไปข้างหน้าต่อ
เมืองเป้ยเท่อช่างคู่ควรกับสมญานาม “เมืองหลวงแห่งที่สอง” เสียจริง ระดับความรุ่งเรืองสามารถเหวี่ยงเมืองนักดาบพเนจรกระเด็นออกไปหลายตรอก เป็ครั้งแรกที่โม่จ้านรู้สึกถึง “ดอกไม้หลากสีดึงดูดสายตา” หลังมาเยือนต่างโลก ตนถึงกับเดินหนึ่งก้าวหยุดสามก้าว
หลังเดินทั่วทั้งตรอก สิบกว่าร้านตลอดสองข้างทางเป็ร้านเกี่ยวกับเวทมนตร์ไปกว่าครึ่ง มิเสียทีที่เป็เมืองที่ตั้งโรงเรียนเวทมนตร์ โม่จ้านมองเหล่าจอมเวท บนถนนสายกว้างมิต่างกับยายหลิวเข้าอุทยานต้ากวน[1] ความสนใจใคร่รู้ผุดขึ้นมาทุกหนทุกแห่ง ยังคงหยิบยืมคำพูดของเก๋อจือมาใช้อีกครั้ง นั่นคือ “ภายในอากาศเจือด้วยกลิ่นหอมของพลังธาตุ หวานละมุนแต่ก็ยากคาดเดา ชวนผู้คนคันยุบยิบในหัวใจจนยากทานทน”
ถึงแม้ “กวี” บทนี้จะถูกลาถีเท่อวิจารณ์ว่าเป็ตัวอย่างของกวีชวนสะอิดสะเอียน ทว่าเมื่อใช้กับโม่จ้านที่ยามนี้จิตใจเตลิดเปิดเปิงก็มินับว่าขัดแย้งแต่อย่างใด
มิน่าเล่าจิตใจของผู้คนมากมายเพียงนั้นจึงได้โหยหาเมืองใหญ่ ระดับความเจริญรุ่งเรืองมิธรรมดาจริงเชียว เช่นนั้นเมืองหลวงที่แท้จริงของจักรวรรดิแห่งนี้จะต้องคึกครื้นกว่าที่นี่มากเพียงใดกัน?
เชิงอรรถ
[1] ยายหลิวเข้าอุทยานต้ากวน 刘姥姥进大观园 มาจากวรรณกรรมเื่ความฝันในหอแดง หมายถึงคนที่ไม่เคยพบเจอโลกภายนอกได้เข้าสู่สถานที่แปลกใหม่
