ลมหายใจอุ่นๆ รินรดดวงหน้า เมิ่งอู่ซบหน้าแนบเสื้อนุ่มๆ ของเขา ได้ยินเสียงหัวใจในทรวงของเขาเต้นอย่างมั่นคงและทรงพลัง นางเบิกตากว้างเล็กน้อย
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครา
เมิ่งอู่กำลูกประคบไว้ในมือ แค่ถูดวงหน้าของอินเหิง ก็ไม่รู้ว่าโดนเบ้าตาของเขาบ้างหรือไม่
จากนั้นนางก็เริ่มใจลอย ค่อยๆ ลูบไล้โหนกคิ้วและสันจมูกของเขา ดวงตาของเขาคู่นั้นปิดสนิท แพขนตายาวงอน นิ้วของนางััต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างกระสับกระส่าย ในที่สุดก็ััริมฝีปาก นางเอาเปรียบเขาไม่หยุด...
ทันใดนั้นอินเหิงก็เปิดปาก ทรวงอกกระเพื่อมเล็กน้อยขณะเอ่ยเสียงแ่เบา “อาอู่ เ้าจะยัดลูกประคบสองลูกนี้เข้าปากข้าหรือ?”
เมิ่งอู่เงยหน้ามองผาดหนึ่ง ไอ้หยา นางยังคงกำลูกประคบไว้ในมือไม่ยอมปล่อยและลูบไล้ริมฝีปากของเขาอย่างเพลิดเพลิน
นางรีบชักมือกลับก่อนกล่าว “อ๊ะ ขอโทษ ขอโทษนะ ริมฝีปากของเ้าช่างน่าัั ทำให้ข้าเผลอไปหน่อย” จากนั้นนางก็เลื่อนมือไปคลึงั์ตาให้เขาต่อ
แม้นางลุ่มหลงคนหน้าตาดี แต่กลับไร้ประสบการณ์ ผู้ใดจะรู้ว่าที่ผ่านมานางก็แค่มอง ไม่เคยลงมือปฏิบัติจริงเลย...
อินเหิงที่โอบกอดนางเอาไว้น่าจะหลับไปแล้ว ลูกประคบในมือนางเย็นชืด นางจึงเก็บมันกลับมา
เมิ่งอู่ขยับตัว อินเหิงค่อยคลายมือออกในจังหวะที่เหมาะสม นางค่อยปีนลงจากเตียงของเขา ไม่รบกวนเขาอีก จากนั้นย่องออกจากห้องอย่างเบามือเบาเท้า แล้วกลับเข้าห้องของตนเองเงียบๆ ราวกับเป็โจรขโมย
เมิ่งอู่นอนอยู่บนเตียงของตนเองพลางเบิกตากว้างมองคานเรือนผ่านมุ้ง
นางอดเอามือลูบเอวของตนเองไม่ได้ อินเหิงโอบกอดบริเวณนี้ไว้จึงยังมีกลิ่นอายของเขาติดอยู่จางๆ ในใจนางร้อนวูบวาบ นางยกมือขึ้นลูบทรวงอกขณะหัวใจข้างในปั่นป่วน
เสียงจักจั่นร้องระงมอยู่ด้านนอกเป็ระยะๆ ฟังแล้วชวนให้จิตใจสับสนวุ่นวาย
ยามเย็นเมิ่งเจียนเจียแบกตะกร้าผักเดินมาที่เรือนของเมิ่งอู่เพื่อมาหาซวี่เฉินฟาง
เมื่อพบหน้าซวี่เฉินฟาง นางยังไม่ทันเอ่ย น้ำตาก็ไหลริน ดูแล้วช่างน่าสงสารเหลือหลาย
ซวี่เฉินฟางกล่าว “แม่นางเจียนเจียอย่าร้องไห้สิ ข้าทนเห็นสตรีร้องไห้ไม่ได้เป็ที่สุด เวลาร้องไห้เป็สายน้ำชวนให้สงสารนัก”
ดูลีลาเกี้ยวพาของเขาสิดั่งว่าเื่เมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นเลย เมิ่งอู่ไม่รู้ว่าสมควรถอนหายใจให้กับความใจกว้างของเขาดี หรือสมควรถอนหายใจให้กับการรนหาที่ตายไม่เปลี่ยนแปลงของเขาดี
เมิ่งเจียนเจียร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบจะสิงร่างของซวี่เฉินฟางแล้ว “เื่เมื่อคืนเป็ความผิดของข้าทั้งหมด ข้าไม่น่าชวนคุณชายดื่มสุรามากมายขนาดนั้น… ข้าเองก็มึนเมาจนเกือบจะก่อภัยพิบัติครั้งใหญ่… วันนี้จึงมาขอขมาคุณชายเ้าค่ะ… ”
“ขอขมาเื่ใด? ในสายตาของข้าคนงามย่อมไร้ความผิด” ซวี่เฉินฟางกล่าว
เมิ่งอู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ อดลูบขนที่ลุกชันตามตัวไม่ได้ ในเมื่อคนหนึ่งเต็มใจทุบตี คนหนึ่งเต็มใจทุกข์ทน เฮ้อ เมื่อคืนไม่สมควรไปพาเ้านี่กลับมาเลย
เมิ่งเจียนเจียหลั่งน้ำตาไปพลาง กล่าวอย่างขลาดกลัวไปพลาง “ขอเพียงคุณชายไม่ถือโทษ มิเช่นนั้นต่อให้ข้าตายก็ไม่สามารถอธิบายได้… ”
ซวี่เฉินฟางช่วยซับน้ำตาให้นาง นางมองเขาทั้งน้ำตาด้วยั์ตาดุจน้ำใสในฤดูสารท
ได้ยินเพียงเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย “ข้าไม่มีทางยอมให้สาวงามต้องตายอย่างเปล่าประโยชน์ มีแต่จะทำให้พวกนางตายอย่างมีความสุขต่างหาก หากแม่นางเจียนเจียเต็มใจเชิญชวน ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อคืนออกจะกะทันหันไปสักหน่อย คราวหน้าบอกล่วงหน้าก็พอแล้ว ที่ผ่านมาข้าต้องเสียเงินเพื่อเข้าออกหอคณิกา ยามนี้ไม่ต้องเสียแม้แต่เหรียญเดียว กลับได้คืนแรกของแม่นาง แน่นอนว่าข้ายินดีรับใช้”
เขายังคงแย้มยิ้มแจ่มใส รอยยิ้มนั้นงดงามไม่ต่างจากกาลก่อนแม้แต่น้อย พริบตาก่อนเมิ่งเจียนเจียขวยเขินไปหมด พริบตาต่อมาสีหน้าค่อยๆ ซีดขาว
เพราะเนื้อหาในถ้อยคำที่เขากล่าวต่างออกไป ความหมายที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้นก็ต่างออกไปเช่นกัน
ความอ่อนโยนของเขาไม่ได้เป็เพราะใครโดยเฉพาะ และไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปอยู่ในใจของเขาจริงๆ
ในสายตาของซวี่เฉินฟาง เมิ่งเจียนเจียเกือบจะไม่ต่างจากยอดพธูเ่าั้ในหอคณิกา! และยังต่ำต้อยกว่าสาวงามในหอคณิกาเสียอีก เพราะอย่างน้อยการไปหอคณิกาก็ยังต้องเสียเงิน แต่กับนางกลับไม่ต้องเสียเงินแม้แต่เหรียญเดียว!
เมิ่งเจียนเจียรู้สึกอับอายขายหน้าเหลือคณนา นางกัดมุมปากแน่น สะอื้นไห้จนตัวสั่นด้วยความเจ็บช้ำ
ซวี่เฉินฟางถือพัดคลี่อยู่ในมือ แตะก้านพัดที่คางของนางก่อนเชยขึ้นช้าๆ ความเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยน แต่ก้านพัดกลับแฝงด้วยพลังที่มิอาจต้านทาน
ซวี่เฉินฟางยิ้มและหรี่ตามองนาง ก่อนหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยถาม “จริงสิ แม่นางเจียนเจียยังมีคืนแรกหรือไม่?”
ใบหน้าของเมิ่งเจียนเจียซีดเผือด กล่าวทั้งน้ำตา “ต่อให้คุณชายเฉินฟางไม่ชอบข้าอีกแล้ว ก็ไม่จำเป็ต้องดูถูกข้าถึงเพียงนี้!”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ข้ามิได้ไม่ชอบเ้า เพียงแต่เอ่ยถามให้แน่ใจ ข้าไม่ชอบความประหลาดใจและไม่ชอบความใเช่นกัน”
เมิ่งอู่เพิ่งจะเข้าไปหยิบของในห้อง พอออกมาก็เห็นเมิ่งเจียนเจียวิ่งร้องไห้ออกไปพร้อมกับความอับอายขายหน้าและฉุนเฉียว จึงเอ่ยถามซวี่เฉินฟาง “เ้าพูดอันใดกับนาง ถึงทำให้นางร้องไห้หนักขนาดนั้น?”
ซวี่เฉินฟางหันกลับมายิ้มก่อนกล่าว “เป็เด็กเป็เล็กอย่าถามมากเลย”
หมู่บ้านซุ่ยใหญ่แค่นี้เอง เงยหน้าไม่เจอ ก้มหน้าเจอ [1] หลังจากนั้นเมื่อซวี่เฉินฟางพบเมิ่งเจียนเจียและเด็กสาวในหมู่บ้านคนอื่นๆ เขาก็ยังคงอ่อนโยนกับเมิ่งเจียนเจียเป็พิเศษ
ปกติชาวบ้านชื่นชมเมิ่งเจียนเจียว่าอ่อนโยน งดงาม และเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างไร ซวี่เฉินฟางก็ชื่นชมอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็เด็กสาวที่เย่อหยิ่งคนใด เขาก็จะทำให้นางพึงพอใจ
รอจนเมิ่งเจียนเจียรู้สึกตัว ซวี่เฉินฟางก็ถอยห่างจากเด็กสาวเ่าั้โดยธรรมชาติ อุปนิสัยของเขาแปรเปลี่ยนง่ายดายเร็วรี่ ใส่ใจแต่เื่สนุกของตน
บางครั้งบางคราวเมิ่งอู่ก็ได้ยินเด็กสาวคนอื่นๆ กล่าวว่าซวี่เฉินฟางเป็คุณชายที่น่าหลงใหลและทุ่มเทเอาใจใส่ คนเยี่ยงนี้มีแต่บนฟ้าเท่านั้น ทำให้นางอดกลอกตาไม่ได้
ไฉนสตรีเ่าั้ถึงได้กล่าวเยี่ยงนี้?
ดูคล้ายจะเป็เพราะซวี่เฉินฟางแสดงความโปรดปรานเมิ่งเจียนเจียเพียงผู้เดียวต่อหน้าเด็กสาวคนอื่นๆ และโดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมต้องถอยห่างจากผู้อื่น ส่งผลให้เมิ่งเจียนเจียถูกโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์ ภาพลักษณ์ดีๆ ของนางที่เคยมีในอดีตอันตรธานสิ้น เมื่อเด็กสาวคนอื่นๆ เห็นนาง ก็ไม่ยอมพูดคุยกับนางอีก
ทว่าความจริงซวี่เฉินฟางลืมเมิ่งเจียนเจียไปแล้ว เขาเพียงอาศัยนางช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ ยามมาถึงเขาปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าย่อมจากไปอย่างปลอดภัยโดยไม่สูญเสีย
เมิ่งอู่เอ่ยถามเขา “ไม่เกี้ยวพาพวกนางแล้วหรือ?”
ซวี่เฉินฟางที่นอนอยู่บนเก้าอี้เอน กล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “เบื่อแล้ว”
เมิ่งอู่ขบคิด คนเยี่ยงนี้แค่เอาไว้มองก็พอ อย่าจริงจังด้วย ่เวลาที่เขาสนใจของใหม่ยังสั้นกว่าฤดูผสมพันธุ์ของสัตว์เสียอีก
นี่คงเป็ความรื่นรมย์ของชีวิตดุจการละเล่นของเขากระมัง
···
ั้แ่ครั้งก่อนที่เมิ่งอู่พาอินเหิงไปที่ทุ่ง พอตกเย็นอากาศเย็นสบาย นางก็มักพาเขาไปเดินเล่นในหมู่บ้าน
แน่นอนว่าเื่แบบนี้ต้องหลบเลี่ยงซวี่เฉินฟางทุกวิถีทาง มิเช่นนั้นเขาจะต้องมาแทรกเป็ก้างขวางคออีกเป็แน่
บางครั้งหากซวี่เฉินฟางไม่ทันสังเกต เมิ่งอู่ก็จะรีบเข็นอินเหิงออกจากเรือนไปชมตะวันตกดินด้วยกัน อย่าพูดถึงเลยว่างามมากเพียงใด
ทว่าวันนี้โชคไม่ดีจึงพานพบศัตรูบนทางแคบ [2] คาดไม่ถึงว่าต้องเจอผู้ที่ทำให้อารมณ์เสียคนสองคนเสมอ
ขณะที่ทั้งคู่เดินอยู่บนคันนาก็เห็นเมิ่งซวี่ซวีเดินมาแต่ไกล ส่วนเมิ่งซวี่ซวีก็เห็นพวกเขาสองคนเช่นกัน นางจึงเดินตรงมาทางนี้อย่างไม่สนใจไยดี
พอเข้ามาใกล้ เมิ่งอู่ค่อยเห็นรอยฟกช้ำปื้นใหญ่ชัดๆ บนหน้าผากของนาง แลดูน่ากลัวอยู่บ้าง
หลายวันมานี้เมิ่งซวี่ซวีขังตนเองอยู่แต่ในเรือน มิกล้าออกไปที่ใด ส่วนเมิ่งเจียนเจียก็ร้องไห้อยู่ในเรือนตลอดทั้งวัน ไม่พบปะผู้คน
เมิ่งซวี่ซวีอยู่ในเรือนโดยไม่ได้รับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอก เพียงฟังที่เมิ่งเจียนเจียเล่าว่า เมิ่งอู่กับซวี่เฉินฟางพากันไปเดินเล่นในหมู่บ้านทุกเย็น ดูแล้วรักใคร่กันดี
ทันทีที่เมิ่งซวี่ซวีได้ยินดังนั้นก็ปอดแทบะเิด้วยความโกรธ ผรุสวาทว่า “นางผู้หญิงชั้นต่ำ! มีคู่หมั้นแล้วยังไปเกาะแกะกับญาติผู้พี่ของตนอีก ช่างไร้ยางอาย!”
นางทนไม่ไหว ไหนเลยจะสนใจรอยฟกช้ำบนหน้าผาก รีบวิ่งออกจากเรือน หมายจะไปฉีกหน้าเมิ่งอู่ให้ชาวบ้านเห็นกันทั่วว่านางเป็ขยะที่เกี่ยวสามพิงสี่ [3] เช่นไร
ผลลัพธ์คือเจอเมิ่งอู่ แต่ผู้ที่อยู่กับนางกลับไม่ใช่ซวี่เฉินฟาง
แต่ถึงอย่างนั้นก็มิอาจดับไฟโทสะของเมิ่งซวี่ซวีได้ ใบหน้าของนางเป็เยี่ยงนี้ล้วนเป็เพราะเมิ่งอู่! ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเอาคืนให้สาสม!
ในยามนี้เมิ่งซวี่ซวีเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นกล้าหาญ ลืมความทุกข์ทรมานที่เคยได้รับจากเงื้อมมือของเมิ่งอู่จนสิ้น นางคว้ากรวดสองกำมือจากพื้น ก่อนวิ่งเข้าไปหาโดยจงใจจะขว้างใส่เมิ่งอู่และอินเหิง
เมื่อเมิ่งอู่เห็นดังนั้น นางรีบขวางหน้าอินเหิงไว้ตามสัญชาตญาณ แต่อินเหิงกลับดึงนางให้หลบหลังเก้าอี้เข็นเสียก่อน
กรวดที่ถูกขว้างมาตกใส่เสื้อผ้าสีขาวของอินเหิงจนทิ้งรอยเปื้อนไว้
ชั่วขณะนั้นสองตาเมิ่งอู่มืดมน ความเย็นะเืที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทว่าน่าเสียดายที่เมิ่งซวี่ซวีอ่านสถานการณ์ไม่ออก ยังคิดว่าตนเองได้เปรียบ ยิ่งกว่านั้นนางยังรู้สึกว่าอินเหิงที่ขวางอยู่ตรงหน้าช่างเกะกะนัก นางจึงพุ่งเข้ามาอย่างก้าวร้าว แล้วคว้าเก้าอี้เข็นของอินเหิง หมายจะผลักเขาให้ตกคันนา!
อินเหิงใช้มือรั้งเก้าอี้เข็นเอาไว้ เมิ่งซวี่ซวีออกแรงสุดกำลัง แต่ก็ไม่สำเร็จ
เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก่อนที่เมิ่งซวี่ซวีจะทันได้ปล่อยมือ ก็มีมือข้างหนึ่งจับข้อมือของนางเอาไว้
เมิ่งซวี่ซวีเงยหน้ามองด้วยความโมโห เห็นเพียงเมิ่งอู่ยืนอยู่ตรงหน้า สายตาของอีกฝ่ายทำให้นางกลัวจนตัวสั่น
เมิ่งซวี่ซวียังไม่ทันเอ่ยคำใด เมิ่งอู่ก็ยกมืออีกข้างขึ้นตบหน้าเมิ่งซวี่ซวีอย่างรวดเร็วและรุนแรง
เสียงตบเพียะดังสนั่นหวั่นไหว
แรงตบนั้นทรงพลังจนเมิ่งซวี่ซวีทรงตัวไม่อยู่ นางจึงพลัดตกคันนาโดยตรง กลิ้งลงทางลาดชัน ก่อนไปนอนกองอยู่ท่ามกลางวัชพืชบนพื้น
เมิ่งซวี่ซวีรู้สึกเพียงโลกหมุนคว้างต่อหน้าต่อตานาง ทั้งศีรษะและหูอื้ออึงไปหมด เนิ่นนานมากถึงค่อยรู้สึกตัว กลิ่นคาวเือวลอยู่ในปาก
เมิ่งอู่ะโลงจากคันนาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เหยียบย่ำวัชพืชบนพื้น แล้วเดินตรงไปหาเมิ่งซวี่ซวีทีละก้าว
เมิ่งซวี่ซวีเงยหน้ามองเมิ่งอู่ ยามนี้ดูเหมือนนางเพิ่งรู้สึกตัว ความอวดดีเมื่อครู่ปลาสนาการสิ้น พยายามจะลุกขึ้นทั้งที่ตัวสั่นเทา
เมิ่งอู่ยกเท้าเหยียบศีรษะของนาง ก่อนกดหน้าของนางลงบนพื้นดิน
เมิ่งซวี่ซวีพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ทั้งร่ำไห้ทั้งกรีดร้อง ถ่มดินโคลนในปากออกมาก่อนบริภาษ “เมิ่งอู่ เ้าต้องตาย! เป็เ้าที่ยั่วยุข้าก่อน เ้ามีสิทธิ์อันใดถึงทำกับข้าเช่นนี้!”
เมิ่งอู่ย่อตัวลงไปบีบคอของอีกฝ่าย เลิกคิ้วข้างหนึ่งพลางเอ่ยถาม “ว่ามาซิข้ายั่วยุเ้าอย่างไร?”
ใบหน้าของเมิ่งซวี่ซวีเต็มไปด้วยดินโคลน ทั้งใกลัวและโมโหโทโส ไม่รู้ั้แ่เมื่อไรที่น้ำตาไหลเป็สาย นางกัดฟันแน่นก่อนกล่าว “คืนนั้นเป็เ้าที่ทำให้หน้าผากของข้าเป็แผล! ข้าก็จะทำให้เ้าเสียโฉมเช่นกัน!”
เมิ่งอู่หรี่ตาลง ครุ่นคิดประเดี๋ยวหนึ่ง “เป็คืนที่พวกเ้าวางแผนจัดฉากเฉินฟางหรือ” นางยกมุมปากขึ้นยิ้มชั่วร้าย “ในเมื่อเ้าหลับเหมือนหมูตาย แล้วเ้าใช้ตาข้างใดมองว่าข้าทำร้ายเ้า? เ้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองหลับไปได้อย่างไร ไม่สู้กลับไปถามพี่สาวที่แสนดีของเ้าสิว่าบ่ายวันนั้นนางไปเอายาใดมาจากหมอหยาง”
……….
[1] หมายถึง เจอกันบ่อยๆ
[2] หมายถึง พบคนหรือศัตรูที่ไม่อยากเห็นหน้าอย่างไม่มีทางให้เลี่ยง
[3] หมายถึง คบคนโน้นคนนี้ หรือไม่จริงจังกับใคร