หลงเซี่ยวเจ๋อเอามือไพล่หลัง หรี่ตามององค์หญิงอันหย่าซึ่งกำลังจะหมดสติด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม พูดอย่างจริงจังว่า “ตัวตนของฉีหวางเฟยคือสิ่งใด บ่าวไพร่เช่นพวกเ้าถึงได้เข้ามาขอให้นางตรวจอาการป่วยให้ใครที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ หากนี่ไม่เรียกว่าอาจหาญแล้วควรเรียกว่าอะไร? หือ?”
อันที่จริง สิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อ...ไม่ชอบมากที่สุดคือการที่องค์หญิงขี้โรคผู้นี้มักจะทำตัวเสแสร้ง คิดอยากเข้าใกล้พี่สามของตนอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งกลับถูกเพิกเฉยอย่างสมบูรณ์ และนางยังคงพยายามเข้าใกล้อย่างไม่มียางอาย
สำหรับเื่นี้ ในใจของหลงเซี่ยวเจ๋อรู้สึกดูถูกเป็อย่างมาก
เช่นเดียวกับวันนี้...หากนางเพียงแค่เข้ามาทักทายและจากไป ก็ไม่เป็ไร แต่นางยังคง้าเข้ามาเรียกร้องกับพี่สะใภ้สามของเขา นางช่างแสวงหาความซวยมาสู่ตนเสียจริง
ชิวเซียงรู้สึกประหลาดใจ เพียงได้ยินก็เกิดความสับสน
องค์ชายหกตรัสว่านางอาจหาญเนื่องจาก...
ใครที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ?
ปรากฏว่าองค์ชายหก...้าที่จะบอกว่าองค์หญิงอันหย่าของพวกนางเป็ใครก็ไม่รู้หรือ?
องค์หญิงอันหย่าของพวกนางเป็ถึงหลานสาวผู้เป็ที่รักยิ่งขององค์ไทเฮา เป็ดังดวงใจขององค์ไทเฮา นางจะเป็ใครก็ไม่รู้ได้อย่างไร?
“องค์ชายหก แต่ว่า...” ชิวเซียงมองดูองค์หญิงอันหย่าในอ้อมแขนของนาง จากนั้นจึงหันมองหลงเซี่ยวเจ๋อด้วยความสับสน ก่อนจะพูดตะกุกตะกักเพื่อเตือนว่า “หม่อม องค์หญิงของหม่อมฉัน...” นางไม่ใช่ใครก็ไม่รู้
ในแง่ของตัวตน และในแง่ของสถานะ องค์หญิงอันหย่านั้นไม่สูงส่งเท่ากับฉีหวางเฟย แต่องค์หญิงอันหย่ามีไทเฮาผู้สูงส่งอยู่เื้ัของนาง
ไม่ว่าสถานะของฉีหวางเฟยจะมีเกียรติเพียงใด และสูงส่งแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่อาจเทียบกับไทเฮาได้! องค์ชายหกพูดเช่นนี้ได้อย่างไร
ขณะที่ชิวเซียงกำลังพูด ดวงตาของนางก็ราวเขื่อนแตก น้ำตาจึงไหลลงมา ด้วยนางรู้จักยืดหยุ่นพลิกแพลง [1]
มู่จื่อหลิงมองดูอย่างขบขัน
นางกำนัลผู้นี้ไม่ต่างไปจากผู้เป็นาย คุ้มความเหนื่อย [2] คุ้มกับความเหนื่อยจริงๆ!
แต่นางเชื่อว่าไม่ว่านางกำนัลตัวน้อยจะแข็งแกร่งเพียงใด นางก็ไม่อาจทรงพลังมากไปกว่าการโจมตีด้วยลิ้นพิษ [3] ของหลงเซี่ยวเจ๋อ
อย่างที่คาดไว้!
หลงเซี่ยวเจ๋อกลอกตาและโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “หมูป่า แม่หมู หมูอะไร...[4]”
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวออกมาอีกครั้ง ชี้ไปทางชิวเซียงด้วยท่าทางที่ดูใและสั่นเทา “อา! เ้าช่างเป็บ่าวไพร่ที่หยิ่งผยอง กล้าขอให้ฉีหวางเฟยรักษาหมู เ้าช่างกล้ามาก...มีกี่หัวก็ยังไม่เพียงพอ!”
“อึก” เมื่อเห็นข้อเท็จจริงที่บิดเบี้ยวของหลงเซี่ยวเจ๋อ...ในที่สุดมู่จื่อหลิงก็หัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่
ต้องกล่าวว่าหลงเซี่ยวเจ๋อเด็กคนนี้ไม่เป็ไรถ้าเขาไม่พูด แต่ทันทีที่เขาพูด มันจะทำให้คนพูดไม่ออก
สามารถกลับดำให้เป็ขาวได้ [5] ช่างน่ารักจริงๆ นี่เป็การด่าคนกลับไปหรือไม่!
หลังจากฟังคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อแล้ว ชิวเซียงก็งงจนทำอะไรไม่ถูก!
ที่สุดแล้วเป็นางเองที่โง่เขลาหรือ? หรือว่าองค์ชายหกกำลังแกล้งโง่ใส่นาง?
หรือองค์ชายหกได้ยินผิด? ชิวเซียงกำลังมึนงงกับคำถามอยู่ภายในหัวของนางเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังไม่ยอมแพ้ ใบหน้าของชิวเซียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก “บะ...บ่าว ไม่กล้า แต่ แต่หมู...”
ชิวเซียงผู้น่าสงสารไม่อาจคิดอะไรออกมาได้เลย ในยามนี้นางถูกครอบงำโดยหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างสมบูรณ์แล้ว
ใบหน้าของหลงเซี่ยวเจ๋อเริ่มจริงจัง กึ่งคุกคามและกึ่งข่มขู่ “เ้าหมาทาส [6] เ้ายังกล้าเลี้ยงหมูอีกหรือ? ระวังเปิ่นหวงจื่อจะตัดหัวของเ้าออกแล้วเอามาเตะเล่น”
ยามพูดเช่นนั้น หลงเซี่ยวเจ๋อก็ทำท่าของเขาอย่างชั่วร้ายไปด้วย
์ทราบดี สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตคือหมู หากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าหมู ก่อนหน้านี้เขาคงไม่ต้องนำหมูไปคารวะมู่จื่อหลิง
แม้ว่าเขาจะเป็คนที่โชคร้ายในครั้งนั้น แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาทำกับมู่จื่อหลิง มันกลับทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็อย่างมาก
นางพูดออกมาอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว ชิวเซียงไม่รู้ว่าเมื่อครู่นางพูดสิ่งใดออกไป ถึงได้ถูกหลงเซี่ยวเจ๋อข่มขู่เช่นนี้ และนางไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ
ในเวลานี้นางทั้งกังวลและหวาดกลัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ใดบอกกันว่าทุกคนในที่นี้ล้วนเป็ปรมาจารย์
หลังจากจัดการกับนางกำนัลขององค์หญิงอันหย่าแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กคนนี้ยังไม่ลืมว่าเมื่อไม่นานมานี้มู่อี๋เสวี่ยได้ด่าว่าพี่สะใภ้สามของตนในที่สาธารณะ
ดังนั้น...หลงเซี่ยวเจ๋อจึงชำเลืองมองมู่อี๋เสวี่ยผู้ซึ่งอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช ยกมุมริมฝีปากสีแดงของตนขึ้นแล้วยิ้มเ้าเล่ห์
ในยามนี้ มู่อี๋เสวี่ยรู้สึกอนาถใจอย่างสุดจะพรรณนา
อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ได้ อยากพูดแต่ก็ไม่อาจอ้าปาก
ยาแก้ปวดของมู่จื่อหลิงไม่รู้ว่าเริ่มหมดฤทธิ์ไปั้แ่เมื่อใด อาการาเ็ที่หลัง รวมกับอาการาเ็ที่ปากของนาง ทำให้มู่อี๋เสวี่ยเกือบสิ้นสติไปจากความเ็ป
แต่...ทุกครั้งที่นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะและไร้เรี่ยวแรงจนกำลังจะทรุดตัวล้มลงไปกับพื้น นางกลับถูกบางอย่างปลุกขึ้นมาด้วยความเ็ปเสมอ
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้มู่อี๋เสวี่ยราวกับกำลังตายทั้งเป็
ไม่รู้ว่ามู่อี๋เสวี่ยร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปแล้วหรือเปล่า ยามนี้นอกจากเืที่ไหลออกจากปากของนางแล้ว ใบหน้าของนางทั้งแห้งกร้านและแข็งทื่อ
ครั้งนี้นางทำเพียงแค่สูดจมูกอย่างแรง เกิดเป็เสียงที่น่าสังเวชผ่านออกมาจากในลำคอเพื่อแสดงความเ็ปของตน
เมื่อเห็นมู่อี๋เสวี่ยก้มหน้าลง มีเืไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง หลงเซี่ยวเจ๋อจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นมาก
เขาเดินไปที่ด้านข้างของมู่อี๋เสวี่ยซึ่งนั่งหมอบอยู่ ก่อนจะจ้องมองด้วยตาเป็ประกาย
เพียงหันมอง เขาก็ต้องใอีกครั้ง หลงเซี่ยวเจ๋อก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แล้วทรุดตัวลงกับพื้นอีกครั้ง “โอ้์! ปีศาจ”
ฟ้าดินเป็พยาน [7] เสียงกรีดร้องของหลงเซี่ยวเจ๋อมีความรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งกับรูปลักษณ์ที่น่ากลัวของมู่อี๋เสวี่ย
“อือ อือ...” มู่อี๋เสวี่ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินเสียง และเกิดเสียงครวญครางอย่างน่าสังเวชออกมาจากปากของนาง
ในยามนี้ สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าริมฝีปากของมู่อี๋เสวี่ยกำลังเคลื่อนไหว ริมฝีปากบางแต่เดิมของนางในยามนี้กลับบวมราวเซียงฉาง [8] และเืยังคงไหลออกมาจากาแอย่างต่อเนื่อง...
ต้องบอกว่ามู่อี๋เสวี่ยในยามนี้น่าเกลียดจริงๆ ทำให้ยากที่คนจะทนมองได้โดยตรง
ทั้งหน้ามองไม่เห็นสีเนื้อเลย ด้วยมีเพียงสีแดงและดำเท่านั้น ดูไม่ต่างจากสิ่งที่คนนิยมติดประตูเพื่อปัดเป่าิญญาร้ายและสิ่งที่ตั้งไว้บนเตียงเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
เมื่อเห็นเศษไม้เปื้อนเืสามอันติดอยู่ในปากของมู่อี๋เสวี่ย หลงเซี่ยวเจ๋อก็ตระหนักได้ในทันที และเข้าใจได้ในทันใดว่าเหตุใดหลงเซี่ยวอวี่จึงะเิรถม้าในยามนั้น จนทำให้คนใกลัว
ปรากฏว่า...องค์หญิงอันหย่าใมากจนหัวใจวาย และปากของมู่อี๋เสวี่ยถูกเย็บติดกัน ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการะเิของรถม้า
หลงเซี่ยวเจ๋อจับคางของตนอย่างครุ่นคิด ดวงตาของเขากลอกกลิ้งไปมา เขาเข้าใจการกระทำของหลงเซี่ยวอวี่แล้ว...มันน่าทึ่งมาก
เหตุใดเขาถึงไม่เคยนึกถึงมันมาก่อนเลย? พี่สามของเขาฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว [9] ยอดเยี่ยมจริงๆ!
สำหรับหลงเซี่ยวอวี่นั้น หลงเซี่ยวเจ๋อชื่นชมเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ใช่แล้ว พี่สามของเขาไม่เคยปิดบังพลังของตนเลย เขาปล่อยพลังให้ะเิออกมาหน้าประตูวังอย่างโจ่งครึ่ม และผู้คนทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเพียงผู้เดียว
ด้วยวิธีนี้ หากรถม้าถูกะเิโดยตรง แม้ว่าไทเฮาที่อยู่ในวังจะ้าทวงถามความรับผิดชอบต่อองค์หญิงอันหย่าหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ก็ไม่อาจทำได้แม้จะอยากทำก็ตาม!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะถูกสอบสวน หากไทเฮามีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปี นางก็ยังไม่สามารถต่อกรกับพี่สามของเขาได้ หลงเซี่ยวเจ๋อมีความมั่นใจในอำนาจของหลงเซี่ยวอวี่
หลงเซี่ยวเจ๋อลุกขึ้น ก่อนจะตบฝุ่นที่ก้น แตะคางแสร้งทำเป็ใกลัว แล้วเดินเข้ามาใกล้มู่อี๋เสวี่ย ถามด้วยความสงสัย “น่าสงสารจัง เ้าเป็หญิงอัปลักษณ์ที่มาจากป่าลึกพวกนั้นหรือ [10]”
“อือ อือ...”
พูดตามตรง ในยามนี้เมื่อมู่อี๋เสวี่ยเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อ ในใจของนางรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัวยิ่งนัก
เพราะนางเคยได้ยินลิ้นพิษของหลงเซี่ยวเจ๋อมาก่อน และยามนี้นางทุกข์ใจมากพอแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อว่าคนผู้นี้ยังจะเข้ามาแสดงความสมเพชต่อนางได้ถึงเพียงนี้
กล่าวได้ว่า สิ่งที่มู่อี๋เสวี่ยคิดนั้นไม่ผิด หลงเซี่ยวเจ๋อเป็ผู้ที่คอยเฝ้าดูความสนุกมาโดยตลอด และไม่คิดว่ามันเป็เื่ใหญ่ ดังนั้น...
“จุ๊ จุ๊ เดิมก็อัปลักษณ์และน่าอนาถอยู่แล้ว ในยามนี้ยังมาเป็เช่นนี้อีก มันสามารถสังหารคนได้เลยทีเดียว!” หลงเซี่ยวเจ๋อยิ้ม จ้องมองมู่อี๋เสวี่ยอย่างระมัดระวังจากบนลงล่าง ก่อนจะทำสีหน้ารังเกียจ
“อือ อือ...อือ อือ...”
ในยามนี้มู่อี๋เสวี่ยกำลังอยากตาย นางรู้ว่าพบกับอันธพาลน้อยผู้นี้มันจะไม่มีเื่ดีเกิดขึ้นเป็แน่
นางกำลังจะตายจากความเ็ปอยู่แล้ว คนผู้นี้ยัง้าที่จะทำร้ายนางอยู่อีกหรือ? ช่างจิตใจดียิ่งนัก! มู่อี๋เสวี่ยเ็ปมากจนอยากจะกรีดร้องขึ้นไปบน์ แต่นางไม่สามารถอ้าปากได้
“อะไรนะ เ้าจะบอกว่าเ้าไม่เชื่อว่าตนเองน่าเกลียดหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อยกมือขึ้นแนบหูแล้วขยับเข้าไปใกล้มู่อี๋เสวี่ย ทำราวกับว่าเขาเข้าใจว่านางกำลังทำอะไรอยู่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความโกรธในหัวใจของมู่อี๋เสวี่ย และความคับข้องใจในหัวใจของนางก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนเกินบรรยาย
คนใบ้กินหวงเหลียน [11] นั้นยากที่จะบอกถึงความเ็ปของตนอย่างแท้จริง
พูดแล้วหลงเซี่ยวเจ๋อก็หยิบกริชออกมาจากที่ไหนไม่อาจรู้ได้
หลงเซี่ยวเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมุ่ยปากไปทางมู่อี๋เสวี่ย “อืม หากเ้าไม่เชื่อข้า ก็ลองดูด้วยตาตนเองเองเถอะ”
เขาดึงกริชออกจากฝัก ใบมีดที่ถูกลับจนคมกริบและขึ้นเงา แสดงใบหน้าที่น่าสังเวชของมู่อี๋เสวี่ยด้วย ‘เจตนาดี’ เพื่อที่นางจะได้มองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
กล่าวได้ว่า ทุกคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อ ทุกท่วงท่าหวาดกลัวต่อรูปร่างหน้าตาของนาง สำหรับมู่อี๋เสวี่ยแล้วมันล้วนเป็การกระทำที่ทำให้รู้สึกปวดใจ
รูปร่างหน้าตาเป็สิ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงเช่นมู่อี๋เสวี่ย สำหรับนางแล้วรูปลักษณ์คือชีวิตของนาง
ดังนั้นเมื่อมู่อี๋เสวี่ยเห็นรูปลักษณ์อันน่าสยดสยองของตนเอง ดูเหมือนว่านางจะใส่กำลังทั้งหมดของร่างกายลงไปที่ปากของนางโดยตรง
เห็นได้ว่า ในเวลาต่อมา
“อ๊าย!!!”
มู่อี๋เสวี่ยกระชากปากให้เปิดออกจนเศษไม้ทั้งสามอันบนปากของนางหลุดออกทันที เสียงกรีดร้องดังะเืฟ้าะเืดิน แม้แต่ผีและเทพเซียนยังะเืใจจนน้ำตาไหล ก่อนที่นางจะหมดสติไปอย่างสมบูรณ์...
เนื่องจากมู่อี๋เสวี่ยออกแรงมากเกินไป ครึ่งหนึ่งของเนื้อนุ่มของริมฝีปากบนและล่างจึงถูกตัดขาดออกด้วยเศษไม้ และเืก็ไหลออกมาไม่หยุด
“ชิ แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว น่าเสียดายเปิ่นหวงจื่อยังสนุกไม่พอเลย ช่างน่าผิดหวังเสียจริง” หลงเซี่ยวเจ๋อยืนขึ้นและเตะมู่อี๋เสวี่ยด้วยเท้าของเขา
ภาพนี้ทำให้มู่จื่อหลิงที่อยู่ด้านข้างแทบจะทนไม่ได้อีกต่อไป นางตะลึงงันจนพูดไม่ออก
โเี้ โเี้เกินไปแล้ว
คาดไม่ถึงว่าหลงเซี่ยวเจ๋อเด็กที่มักจะดูเหมือนคนโง่ ไร้เดียงสาและไม่เป็อันตราย แต่การกระทำของเขากลับไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงเซี่ยวอวี่เลย
ตามที่คาดไว้ อย่างไรพี่น้องก็มักจะเป็เหมือนกัน
หลงเซี่ยวเจ๋อปล่อยนางทิ้งไว้ตรงนั้น เช็ดมือของตนด้วยความรังเกียจ แล้วขยิบตาให้มู่จื่อหลิงราวกับว่าเขากำลังทำหน้าตาน่ารักเพื่อรอคำชมจากผู้ใหญ่ “พี่สะใภ้สามเป็อย่างไรบ้าง?”
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย นางมองเขาอย่างหงุดหงิด “ไม่เป็ไร”
เด็กโง่ผู้นี้ทำสิ่งที่ ‘ไม่ดี’ ยังอยากได้รับคำชมอีก! ช่างไม่รักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย
โดยไม่คาดคิด หลงเซี่ยวเจ๋อเข้าใจความหมายของมู่จื่อหลิงผิดไป เขาแตะจมูกของตนอย่างบูดบึ้งแล้วส่งยิ้มจนเห็นฟันขาวมาให้ “ไม่ต้องห่วง ในวันหน้าข้าจะพยายามเรียนรู้จากท่านให้ดีที่สุด ข้าจะไม่ทำให้การเล่นสนุกกับผู้คนต้องจบลงอย่างรวดเร็วอีก”
ช่างกล้า การก่อความวุ่นวายนี้ไม่ได้คิดที่จะเลียนแบบหลงเซี่ยวอวี่ แต่กลับเป็การเรียนรู้สิ่งเลวร้ายและจะทำตามอย่างนาง
ทันใดนั้นเส้นสีดำสามเส้นก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง น่าประทับใจจริงๆ
ชิวเซียงที่อยู่ด้านข้างนั้นทั้งสับสนและหวาดกลัวเป็อย่างมาก นางเอาแต่คิดว่า หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์หญิงอันหย่าจริงๆ เล่า?
ยามนี้ชิวเยวี่ยยังไม่กลับมา หมอหลวงยังเคยกล่าวไว้อีกว่าสิ่งที่ทนรับไม่ได้มากที่สุดในอาการป่วยขององค์หญิงของพวกนางคือการถูกกระตุ้น
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ยืดหยุ่นพลิกแพลง (收放自如) เป็วลี มีความหมายว่า สามารถปรับเปลี่ยนทุกสิ่งตามสถานการณ์ได้ตาม้า
[2] คุ้มความเหนื่อย (好腻害) เป็คำที่เกิดใหม่บนอินเทอร์เน็ต มีความหมายว่า สิ่งที่ทำช่างทรงพลัง หรือยิ่งใหญ่ ใช้เพื่อชมเชยผู้อื่นในความยิ่งใหญ่ของพวกเขา มีความหมายในเชิงประชดประชัน แดกดัน
[3] ลิ้นพิษ (毒舌) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ปากร้าย หรือปากจัด
[4] หมูป่า แม่หมู หมูอะไร (什么公猪,母猪的,猪...) เป็คำพ้องเสียงกับ 公主 ที่แปลว่าองค์หญิง ในที่นี้ หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังนำคำที่มีเสียงใกล้เคียงกันมาเรียกแทนคำว่าองค์หญิง จึงกลายเป็การด่าทางอ้อม
[5] เขาสามารถพูดกลับดำให้เป็ขาวได้ (黑的都能被他说成白) เป็วลี มีความหมายว่า พูดจาหรือกระทำจนส่งผลให้สิ่งที่ไม่ดีกลายเป็สิ่งที่ดีได้ หรือทำให้คนอื่นๆ เชื่อว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นเป็เื่ดีหรือไม่ดีได้ตาม้า
[6] เ้าหมาทาส (狗奴才) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ทาสที่ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าทาส เป็คำด่าบ่งบอกถึงความเหยียดหยาม
[7] ฟ้าดินเป็พยาน (天地良心) เป็สำนวน มีความหมายว่า เป็การยืนยันว่าคนคนหนึ่งไม่ได้พูดปดหรือทำสิ่งเลวร้าย ส่วนมากจะใช้ร่วมกับอีกสำนวนคือ 天地良心,日月可鉴 แปลว่า พูดตามสัตย์จริง ฟ้าดินเป็พยาน
[8] เซียงฉาง (香肠) คือไส้กรอก
[9] ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว (一箭双雕) เป็สำนวน มีความหมายว่า ทำสิ่งหนึ่งเพื่อบรรลุสองจุดประสงค์ เทียบกับภาษาไทยแล้ว ใกล้เคียงกับคำว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
[10] หญิงอัปลักษณ์ที่มาจากป่าลึก กล่าวถึงชนเผ่ามูร์ซี ซึ่งเป็ชนเผ่าที่อยู่ติดกับพรมแดนของประเทศซูดาน ด้วยผู้หญิงในชนเผ่าจะยืดปากเพื่อแสดงความพร้อมในการครองเรือน ยิ่งใส่แผ่นใหญ่เท่าไหร่ก็แสดงถึงความงามที่มากขึ้นเท่านั้น
[11] คนใบ้กินหวงเหลียน (哑巴吃黄连) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า มีความทุกข์แต่ยากที่จะพูดออกมาได้ ด้วยหวงเหลียนคือสมุนไพรรสขม เมื่อคนใบ้กินเข้าไปก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันขม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้