เฉินเซี่ยงเทียนหันไปมองผู้าุโฉินพร้อมกล่าวว่า “ผู้าุโฉิน เด็กคนนี้ฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก ท่านว่าควรจัดการอย่างไรดี?”
ผู้าุโฉินได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าเย็นเยียบ “ข้าพูดไปแล้ว การประลองที่ไม่มีกฎลงมือหนักเบาจึงจะทดสอบพลังแท้จริงของศิษย์ได้ เว่ยจี้ลงมือฆ่าเย่เฟิงก่อน เ้าคิดว่าเย่เฟิงไม่ควรโต้กลับอย่างนั้นหรือ?”
เฉินเซี่ยงเทียนหน้าซีดเผือด เขาอยากพูดแก้ต่าง แต่ได้ยินผู้าุโฉินพูดขึ้นต่อว่า “หากคัดค้านคำข้า ผู้าุโใหญ่เฉินจงวางมือจากตำแหน่งผู้ดูแล แล้วรับชมอยู่ข้าง ๆ ก็เป็พอ”
น้ำเสียงของผู้าุโฉินก็เย็นเยียบขึ้น เขาสื่อความหมายชัดเจน หากเฉินเซี่ยงเทียนไม่ยอม ก็ไม่จำเป็ต้องดูแลงานประลองอีกต่อไป
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าเย่เฟิงคนนี้มีอะไรดี ถึงกับทำให้ผู้าุโฉินถือหางขนาดนี้?” ผู้คนคิดในใจขณะมองเย่เฟิงด้วยความรู้สึกมึนงง
“มิบังอาจ” เฉินเซี่ยงเทียนเผยหน้าเขียว เขาเหลือบไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะกลับไปนั่งที่ด้วยความไม่เต็มใจ
อีกด้านหนึ่ง เฉินอ้าวเทียนมองเย่เฟิงด้วยสายตาเยือกเย็นเช่นกัน ยิ่งท่าทีของเย่เฟิงแข็งกร้าวก็ยิ่งทำให้เฉินอ้าวเทียนอยากฆ่ามากขึ้นเท่านั้น
เว่ยจี้ถูกหอกของเย่เฟิงทะลวงคอ นำพาความใมาสู่ผู้คนจำนวนมาก อวิ๋นเจี๋ยก็เช่นกัน เพียงแต่หลาย ๆ คนยังคงคิดว่าเย่เฟิงบังเอิญชนะ หากไม่ได้รับาเ็ก่อนหน้านี้ คงไม่มีทางถูกฆ่าตายได้อย่างแน่นอน
“เ้าหมอนี่ไปฝึกวิชาหอกที่แปลกพิลึกเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?” ฉินเยียนหรานพึมพำขณะมองเย่เฟิง นางรู้พลังของเว่ยจี้ดี แม้เย่เฟิงเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่ก็ไม่น่าจะเก็บกวาดได้สะอาดเช่นนี้
“ทักษะหอกปลิดชีวี เคล็ดวิชาเล่มหนึ่งที่ไม่เตะตาของชั้นที่สองในหอวิชา ทว่ามันว่องไว และสังหารอีกฝ่ายได้ในพริบตา” นักดาบแขนเดียวที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวพร้อมดวงตาเป็ประกาย เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็ใอีกครั้ง
“ทักษะหอกปลิดชีวี หอกที่เย่เฟิงคนนี้เพิ่งใช้ก็คือทักษะหอกปลิดชีวี!”
“ทักษะหอกปลิดชีวีอยู่ที่หอวิชามานานหลายปี มีอัตราการฝึกสำเร็จที่ต่ำมาก ดังนั้นผู้คนจึงไม่เลือกฝึกเคล็ดวิชานี้ แต่เย่เฟิงกลับฝึกมันได้ถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัว หนึ่งหอกปลิดชีวิตเว่ยจี้ พร์เช่นนี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“ใช่ ถ้าข้าดูไม่ผิด ก่อนหน้านี้ที่เย่เฟิงใช้หอกนั่นเอาชนะจงเทา นั่นก็เป็กระบวนท่าหนึ่งของทักษะหอกปลิดชีวี!” ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พวกเขาย่อมได้ยินเื่ทักษะหอกปลิดชีวี มันอยู่ในหอวิชามานานหลายปีโดยที่ไม่มีใครฝึก บัดนี้กลับมีคนฝึกสำเร็จ ทั้งยังใช้มันสังหารคู่ต่อสู้ในพริบตา แล้วจะไม่ทำให้พวกเขาใได้อย่างไร
“เ้าหมอนี่ร้ายกาจจริง ๆ ทักษะหอกปลิดชีวีก็ยังฝึกสำเร็จ” ฉินเยียนหรานกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
“ข้ารู้เพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่ใช่เื่ใหญ่สักหน่อย” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม เขาเพิ่งฝึกกระบวนที่สองหอกตัดิญญาในทักษะหอกปลิดชีวีสำเร็จได้ไม่นาน หากฝึกกระบวนที่สามหอกปลิดชีวีสำเร็จ พลังต้องยกระดับไปอีกขั้นอย่างแน่นอน
เย่เฟิงใช้วิธีโเี้ตัดแขนตัดขาจงเทา ทั้งยังสังหารเว่ยจี้ บรรยากาศของงานประลองก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป กฎกติกาถูกล้มเลิก สำหรับผู้ฝึกยุทธ์อย่างตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน หรือเฉินอ้าวเทียนแล้ว พวกเขายิ่งยินดีใช้พลังแกร่งกล้ากำราบคู่ต่อสู้
ขณะนั้นเห็นตู๋กูหลงเดินขึ้นเวทีประลอง คู่ต่อสู้ของเขาคือฉินเยียนหราน ซึ่งพลังของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉินเยียนหรานยังคงอยากวัดพลังของตู๋กูหลงว่าจะแข็งแกร่งถึงระดับไหน
“วูบ!” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ร่างตู๋กูหลงเปล่งแสงโชติ่พร้อมแผ่พลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ก่อนจะกลายเป็กรงขังไร้ลักษณ์แล้วเข้าปกคลุมฉินเยียนหราน แรงกดดันพวยพุ่ง ส่งผลให้นางแบกรับแรงกดดันจนขยับตัวไม่ได้
“เยียนหราน ยอมแพ้เสีย” ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ ตู๋กูหลงผู้นี้แข็งแกร่ง ส่วนฉินเยียนหรานไม่ถือว่าอ่อนแอ มีฝ่ามือหงส์แดงอันทรงพลัง แต่ต่อหน้าตู๋กูหลงไม่มีทางเข้าประชิดตัวได้
ฉินเยียนหรานกะพริบตาปริบ ๆ นางรู้ว่าเย่เฟิงเป็ห่วงตน นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตู๋กูหลง เย่เฟิงจึงเอ่ยเตือน จากนั้นฉินเยียนหรานเอ่ยคำว่ายอมแพ้ออกไป
ตู๋กูหลงย่อมไม่มีทางทำร้ายฉินเยียนหราน เพราะฐานะของอีกฝ่ายทำให้เขาตู๋กูหลงเกรงกลัวสามส่วน
“สวะ แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองก็ปกป้องไม่ได้ ถ้าคุณหนูฉินติดตามเ้าก็คงเจอแต่เื่ร้าย ๆ เป็แน่!” ตู๋กูหลงกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย เป็ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้อยากฆ่าอีกฝ่าย แต่ตู๋กูหลงแข็งแกร่งเกินไป ด้วยพลังของเย่เฟิงในเวลานี้ยังถือว่าอ่อนด้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ปากดีเหลือเกินนะเ้าสวะ” ตู๋กูหลงแค่นเสียงหัวเราะ เขามองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลนก่อนกล่าวว่า “เ้าในเวลานี้ไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ หากเ้าอยู่รอดถึง่สุดท้ายได้ ข้าจะตัดสินชีวิตเ้าด้วยตัวข้าเอง!”
เมื่อกล่าวจบ ตู๋กูหลงไม่สนใจเย่เฟิง แต่เดินออกจากเขตประลอง ท่าทีของเขายังคงโอหังราวกับว่าเขาคือาาแห่งพื้นที่นี้ และสามารถควบคุมชีวิตของเย่เฟิงได้
เย่เฟิงกำหมัดแน่น สีหน้าดูจริงจังทั้งยังมีไอเย็นแผ่ออกจากร่าง
“ตู๋กูหลงร้ายกาจมาก ไม่รู้ว่าเย่เฟิงไปล่วงเกินเขาได้อย่างไร เห็นทีเย่เฟิงเดินมาไกลขนาดนี้ได้ แต่ก็คงหนีไม่รอดจากเงื้อมมือของตู๋กูหลง อาจกล่าวได้ว่าตู๋กูหลงสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ” ผู้คนต่างตกตะลึง ตู๋กูหลงแข็งแกร่งเกินไป อย่าว่าแต่เย่เฟิง แม้แต่อัจฉริยะอย่างนี่จ้านเทียนและเฉินอ้าวเทียนก็ยังด้อยกว่าตู๋กูหลง
อันดับที่ 1 ในงานประลองครั้งนี้เป็ของตู๋กูหลงอย่างแน่นอน
การประลองดำเนินยังคงดำเนินต่อไป สถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้น กล่าวได้ว่าเจ็ดคนที่เหลือนี้ มีทั้งพร์และพลังชั้นยอด ลำดับต่อไปจะคัดสามอันดับแรกจากเจ็ดคนนี้ และเข้ารอบชิงสุดท้าย ดังนั้นเวลานี้ทุกคนจึงสำแดงไพ่ตายทุกอย่างของตนออกมาสู้ เพื่อให้ตนเองได้เข้ารอบต่อไป
นี่จ้านเทียนเข้าสู่เขตประลอง เขาท้านักดาบแขนเดียว จากนั้นทั้งสองเริ่มประลอง แม้นักดาบแขนเดียวจะแข็งแกร่ง แต่พลังโจมตีของนี่จ้านเทียนโหดร้ายมาก อีกอย่างทั้งสองคนมีระดับการบ่มเพาะห่างชั้นกันพอสมควร ผ่านไปไม่นานนักดาบแขนเดียวก็พ่ายแพ้ ถูกนี่จ้านเทียนซัดจนกระอักเื อวัยวะภายในเสียหายหนัก มิอาจเข้าร่วมการประลองต่อไปได้
“จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 2 เ้ามาถึงจุดนี้ก็น่าภาคภูมิใจมากแล้ว ข้าขอแนะนำเ้าให้อยู่ห่าง ๆ เ้าสวะนั่น หากวันหน้าข้าเจอ ข้าไม่รับปากนะว่าจะไว้ชีวิตเ้า!” นี่จ้านเทียนกล่าวพลางเอาสองมือไพล่หลัง เขาให้นักดาบแขนเดียวออกห่างจากเย่เฟิง หากต่อไปเขาเจออีก ชีวิตของนักดาบแขนเดียวอาจสูญสิ้นได้
ดวงตาของนักดาบแขนเดียวเผยประกายเย็นเยือก เขาเกลียดตัวเองนักที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย
“ไร้ยางอายยิ่งนัก!” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็สบถก่อนจะพูดต่อไปว่า “เ้าอยู่ระดับไหน แล้วเขาอยู่ระดับไหน? เอาชนะเขามันน่าภูมิใจหรือ? ถ้าเ้าสองคนอยู่ระดับเดียวกัน เ้านี่จ้านเทียนจะเอาชนะเขาได้หรือ?”
“สวะ เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า ถ้าเมื่อครู่เป็เ้า ก็ต้องถูกข้ากำราบเหมือนกัน!” นี่จ้านเทียนกล่าวเสียงเย็นขณะมองเย่เฟิง
“เ้าบื้อ อย่าไปสนใจคนพรรค์นี้เลย มานี่” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
เย่เฟิงหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะเห็นฉินเยียนหรานกำลังมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เย่เฟิงระบายยิ้มอย่างสดใส จากนั้นเดินไปหาฉินเยียนหรานที่เขตประลองโดยไม่สนใจนี่จ้านเทียน
“เ้าบื้อ การประลองต่อไปอย่าทำให้ข้าผิดหวังละ ข้าจะจับตาดูเ้า” ฉินเยียนหรานมองเย่เฟิงพลางยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มนั้นดูอ่อนโยน แต่กลับแฝงด้วยความเชื่อมั่น นางเชื่อว่าเย่เฟิงจะได้เข้ารอบต่อไป ตราบใดที่เขาทุ่มสุดกำลัง
“ข้ายอมแพ้” นาทีต่อมามีเสียงดังออกจากปากของฉินเยียนหราน รอยยิ้มของนางยังคงสุกสกาวเช่นเดิม จากนั้นเดินออกจากเขตประลอง นางปรารถนาที่จะเข้าสามอันดับแรก แต่นางก็เต็มใจทิ้งโอกาสเข้าชิงสามอันดับแรก นั่นเพราะนาง้าเห็นเย่เฟิงเฉิดฉายบนเวทีประลอง แม้เย่เฟิงจะทำได้ไม่ดีก็มิเป็ไร ขอเพียงเขาได้พยายามอย่างหนักก็พอ
“ข้าจะไม่ทำให้เ้าต้องผิดหวัง” เย่เฟิงกล่าวขณะมองเงาร่างงดงามนั้นที่เดินจากไป ฉินเยียนหรานถึงกับยอมแพ้เพื่อเขา เื่นี้เขาจะจดจำไม่ลืม
“นังหนูโตเป็ผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ สินะ!” ผู้าุโฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้นทางนั้น เขารู้นิสัยของบุตรสาวตนดี แม้แต่เขาผู้เป็บิดา นางก็ยังไม่เคยเอาใจใส่เช่นนี้มาก่อน
“ฉินเยียนหรานเป็ฝ่ายยอมแพ้เพื่อให้เย่เฟิงเข้ารอบต่อไป หมอนี่โชคดีเสียจริง ทำให้ฉินเยียนหรานหนึ่งในสองหญิงงามแห่งสำนักยุทธ์เป็เช่นนี้ได้” ผู้คนต่างมองเย่เฟิงด้วยสายตาอิจฉาริษยา
นี่จ้านเทียนกำหมัดแน่นจนกระดูกส่งเสียงกร๊อบ เห็นชัดว่าเขาโกรธมากเพียงใด แต่กลับทำอะไรไม่ได้ มีเพียงกำจัดเย่เฟิงจึงจะขจัดโทสะของเขาออกไปได้
ฉินเยียนหรานและนักดาบแขนเดียวตกรอบ บัดนี้จึงเหลืออยู่ห้าคน มีดังต่อไปนี้ ตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน เฉินอ้าวเทียน อวิ๋นเจี๋ย และเย่เฟิง
การรวมตัวของห้าคนนี้ช่างน่าสนใจยิ่ง ตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน และเฉินอ้าวเทียนคือผู้ฝึกยุทธ์สามอันดับต้นแรกในรายนามขั้นรวมชี่ ส่วนเย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยกลับอยู่หางแถวในรายนามขั้นรวมชี่
นั่นหมายความว่าผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 4 ถึงอันดับที่ 8 ในรายนามขั้นรวมชี่ไม่ได้เข้ารอบห้าอันดับแรก ทว่าเย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยที่ดูอ่อนแอที่สุดกลับได้เข้ารอบห้าอันดับแรก
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้บรรดาผู้าุโระดับสูงของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนแอบแคลงใจ อาจกล่าวได้ว่าการที่เย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยมาถึงจุดนี้จนเท่าเทียมกับอัจฉริยะสามคนที่แกร่งสุดของสำนักยุทธ์ก็คงไม่พ้นเื่โชค แต่ก็มิอาจปฏิเสธความแข็งแกร่งของสองคนนี้