สวี่ฉวีเป็คุณชายห้าของจวน เป็บุตรชายที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น ความจริงแล้วเป็บุตรของเรือนสอง ตอนที่สวี่ฉวีได้ยินแผนการของโหวเย่ ในใจของเขาก็ดีใจมาก
บิดาของสวี่ฉวีก็คือสวี่ฉีนายท่านสองของจวน รอจนกระทั่งหากรอตอนฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นก็ตั้งใจจะแยกตัวออกจากจวน ถึงตอนแยกครอบครัว ครอบครัวพวกเขาก็สามารถแบ่งสมบัติครึ่งหนึ่งที่ฮูหยินเฒ่าทิ้งเอาไว้ได้ จากนั้นก็ค่อยรับสมบัติส่วนของจวนหย่งหนิงโหวที่ได้มีการแบ่งเอาไว้สองส่วน ก่อนจะพาคนทั้งครอบครัวออกไปใช้ชีวิตด้านนอก
สำหรับอนาคต สวี่ฉียังกลัวอยู่เล็กน้อย อยู่ในจวนหย่งหนิงโหว ตนเองเป็นายท่านรองของจวน ั้แ่ตอนหนุ่มๆ ก็ไม่เคยทำอะไร บุ๋นไม่ได้บู๊ก็ไม่รอด เพราะว่าบิดาของตนเองเป็หย่งหนิงโหวเย่คนก่อน พี่ชายตอนนี้ก็เป็หย่งหนิงโหวเย่คนปัจจุบัน เขาจึงถือได้ว่าเป็คนร่ำรวยที่อยู่ว่างๆ มาโดยตลอด จนกระทั่งบุตรชายตนเองแต่งงาน ต่อมาก็มีหลาน มารดาของตนเองก็แก่มากขึ้นเรื่อยๆ สวี่ฉีก็เริ่มหวาดกลัวแล้ว เพราะว่าั้แ่อดีตต่างแบ่งเรือนเช่นนี้ หลังจากแบ่งแล้วตนเองก็ไม่รู้จะไปทำอันใด จึงทำได้แค่พึ่งเงินเก็บจนหมด
สวี่ฉีถูกคนข้างกายของโหวเย่เชิญมาที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ตอนแรกได้ยินโหวเย่พูดถึงเื่นี้ก็รู้สึกเหลือเชื่อ นี่มันเหตุผลอันใดกัน ให้แค่สิทธิ์ในการบริหาร ไม่ให้สิทธิ์ทั้งหมดของร้าน ก็คือร้านค้าของจวน ไร่สวนยังคงเป็ของจวน เงินที่ได้ส่งให้จวนส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เป็ของตนเอง
สวี่ฉีไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับสนใจมาก ทั้งยังเสนอให้นำเอาร้านค้าและไร่สวนของตัวเองมาใช้ นางสนับสนุนเื่นี้เป็อย่างมาก
สวี่ฉวีได้ยินโหวเย่เรียกตนเองกับภรรยาก็รีบลุกขึ้นยืน ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะแล้วกล่าว “พวกเ้าสองคนเข้ามา คนหนึ่งจับอีกหนึ่งแผ่น จับได้ที่ไหนก็เอาที่นั่น”
สวี่ฉวีเดินมาตรงหน้าเก้าอี้หลัวฮั่นด้วยท่าทางเกรงใจ มองฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนจะมองไปที่บิดาของตน สวี่ฉีพยักหน้าให้สวี่ฉวีเล็กน้อย ก่อนที่สวี่ฉวีจะยื่นมือออกไปแล้วหยิบกระดาษม้วนหนึ่งแผ่นออกมาจากโหลแก้วใกล้ๆ กับฮูหยินผู้เฒ่า ภรรยาของสวี่ฉวี โจวซื่อหยิบกระดาษออกมาจากโหลที่อยู่ใกล้กับโหวเย่
ทั้งสองคนส่งกระดาษม้วนในมือให้กับฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนหญิงชราจะยื่นมือออกไปรับแล้วเปิดออก “ร้านขายกระดาษหมึกที่อยู่ตรงประตูหน้า กับสวนห้าสิบไร่ที่อยู่ทางเหนือของเมืองหลวง มือดีไม่เลว”
เมื่อมีคนเริ่มแล้ว คนต่อไปก็เริ่มมีความหวังอยากจะจับ จางจ้าวฉือเองก็หยิบมาสองม้วน หนึ่งคือโรงเตี๊ยมใกล้ๆ กับประตูทิศใต้ของเมือง แล้วก็อีกที่เป็ไร่สวนบนูเาสามสิบไร่ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านสวนนอกเมืองของตัวเองที่หนึ่ง
ทุกๆ ครอบครัวต่างมาหยิบม้วนกระดาษ ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะแล้วกล่าว “นี่คือร้านและไร่ที่พวกเ้าหยิบได้ จะดีจะร้ายก็เป็ไปตามโชคของตัวเอง ส่วนข้าน่ะ ้าอย่างเดียวคือ ผู้ดูแลในร้านพวกเ้าจะต้องเก็บเอาไว้ คนงานในไร่เองก็แตะต้องไม่ได้ คนงานพวกนี้เดิมทีเป็คนของทางจวนหย่งอี้โหว บางคนอยู่กับข้ามาหลายสิบปี บางคนก็เป็ทายาทของคนเก่าๆ ในจวนหย่งอี้โหว ข้าจะต้องรับผิดชอบพวกเขา ส่วนพวกเ้ามีความคิดอะไร สามารถปรึกษากับผู้ดูแลร้านได้ พวกเ้าสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้ แต่ว่าไม่สามารถไปยุ่มย่ามอะไรกับพวกเขา พวกเขาทำมาสิบกว่าปีแล้ว คนที่อยู่มาหลายสิบปีจะเข้าใจในสิ่งที่ทำมากที่สุด”
ทุกคนพยักหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเย็นมากแล้ว จึงเรียกให้ทุกคนแยกย้าย
จางจ้าวฉือถือกระดาษสองใบกลับไปที่เรือนของตนเอง ซึ่งสวี่ตี้ก็อยู่ในเรือนพอดี จางจ้าวฉือเห็นในห้องมีสวี่จือ สวี่ไป่ แล้วก็แม่นมลู่อยู่ จึงยกกระดาษเล็กๆ สองใบในมือของตนเอง ก่อนจะถาม “สวี่ตี้ นี่คือความคิดของเ้าใช่หรือไม่?”
สวี่ตี้รับมา เห็นเนื้อหาในกระดาษก็พูดด้วยความใ “ไอ๊หยา เอาร้านกับสวนแบ่งออกมาให้เลยหรือขอรับ?”
จางจ้าวฉือกล่าว “แบ่งอะไรกันเล่า เป็ฮูหยินผู้เฒ่าที่เอาออกมา บอกว่าเป็กิจการที่เอามาจากจวนหย่งอี้โหว เพื่อให้พวกเราที่เป็บิดามารดาสามารถมีช่องทางการหาเงินเพิ่ม จึงแบ่งออกมาให้พวกเราบริหาร สวี่ตี้ ฮูหยินผู้เฒ่านั้นไม่ง่ายเลยนะ เ้าพูดสิว่าเ้าคิดความคิดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?”
สวี่ตี้กล่าว “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าข้ากลัวทุกคนในจวนจะว่างจนเกิดเื่? นอกจากพวกเราแล้วครอบครัวผู้ใดบ้างไม่ขาดแคลนเงิน? หาเส้นทางทำงานหาเงินให้พวกเขา ก็ดีกว่าถูกคนพูดจายุยงให้ไปทำเื่ที่ไม่เป็ประโยชน์ต่อพวกเขานะขอรับ”
จางจ้าวฉือกล่าว “แล้วโหวเย่กับฮูหยินผู้เฒ่าก็ฟังเ้าน่ะหรือ? ข้าบอกว่าไม่เอา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ยินยอม รั้นจะให้พวกเราเอามาให้ได้ พวกเราเองก็จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ เ้าว่า เป็เ้ามีความสามารถไปดูแลหรือว่าข้ามีความสามารถไปดูแลหรือ?”
สวี่ตี้กล่าว “ท่านก็ให้จือเอ๋อร์ไปดูแลสิขอรับ อาศัยใน่ที่พวกเรายังอยู่ที่เมืองหลวง ให้จือเอ๋อร์ไปดู เรียนรู้กับผู้ดูแล ก็ถือเป็โอกาสที่ได้ลงมือจริงไม่ใช่หรือขอรับ?”
จางจ้าวฉือกล่าว “เช่นนั้นเ้าก็พาจือเอ๋อร์ไปเถิด อย่างไรข้าก็ไม่ไปแล้ว”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านวางใจเถิด ให้ข้าพาจือเอ๋อร์ไปเองก็ดีแล้วขอรับ”
สวี่ไป่เบิกตาโตๆ ฟังอยู่ด้านข้าง ตอนนี้กอดขาของสวี่ตี้อยู่ พร้อมโวยวาย “ท่างพี่ ข้าเองก็ขอปายจ้วย ข้าปายจ้วย”
สวี่ตี้อุ้มสวี่ไป่ขึ้นมา “ที่ไหนก็ขาดเ้าไปไม่ได้ เหตุใดเ้าถึงได้อยากตามมานัก ได้ ข้าจะพาเ้าไปด้วย”
เพราะว่าเื่ไร่สวนกับร้านค้า บรรยากาศภายในจวนจึงครึกครื้นขึ้นมา แต่ว่าบุรุษนั้นต่างมีงานของตนเองอยู่แล้ว สุดท้ายร้านกับสวนก็ไปอยู่ในมือของเหล่าสตรีในครอบครัวคิดหาทางบริหารดูแล ไม่รู้ว่าผู้ใดไปสอบถามมาถึงได้ความว่าสวี่ตี้เป็คนที่มีความคิดความอ่านที่ดีมาก ตอนสิ้นเดือนเจ็ด ก็มีเหล่าฮูหยิน นำโดยฮูหยินซื่อจื่อหนิงซื่อ เหยาซื่อ เฉินซื่อ และโจวซื่อ ร่วมออกเงินด้วยกัน ทั้งสี่คนจัดงานเลี้ยงในโถงที่สวนดอกไม้ แล้วเชิญจางจ้าวฉือกับสวี่ตี้โดยเฉพาะ
สวี่ตี้พอได้ยินก็รู้แล้วว่าป้าน้าสะใภ้สี่คนนั้นมีความคิดอย่างไร นี่คงจะให้ตนเองช่วยคิดแผนออกมากระมัง
สวี่ตี้เองก็ไม่ได้คิดที่ปิดความสามารถของตนเองไปตลอด จึงตอบรับคำเชิญ แล้วติดตามมารดาของตนไปที่โถงดอกไม้
เรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่าพักในจวนโหว ด้านข้างมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ในสวนดอกไม้ยังมีสระน้ำเล็กๆ ซึ่งสระน้ำนี้ไม่ได้เป็น้ำนิ่ง เป็สระน้ำที่ขุดจากแม่น้ำที่ไหลผ่านเส้นหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนขนาดก็ใหญ่ประมาณสนามฟุตบอล รอบข้างก็ใช้หินมาวางล้อมเอาไว้ เพราะกลัวว่าเด็กตัวเล็กๆ จะตกลงไป อย่างไรแม่น้ำสายยาวนั้นไหลมาจากเมืองหลวงไปทางใต้ แล้วก็จะต้องผ่านเรือนสกุลโหวไปหลายจวน
ในสระน้ำปลูกดอกบัวเอาไว้ ปกติแล้วในสระน้ำก็จะปล่อยเป็ดที่เลี้ยงเอาไว้ เพราะว่าทางเข้ามีแม่น้ำไหลเข้ามาในจวนส่วนทางออกก็มีที่กั้น เป็ดเองก็หนีออกไปไม่ได้ จึงออกไข่อยู่ใกล้ๆ กับสระน้ำ เหล่าเ้านายในจวนจึงสามารถกินไข่เป็ดสดๆ ได้
ศาลาดอกไม้ตั้งอยู่ข้างๆ สระน้ำ เป็ศาลาทรงสี่เหลี่ยม ฤดูร้อนรอบด้านจะใช้ม่านที่ใช้หญ้ามาสานแขวนอยู่ แล้วก็สามารถม้วนมันขึ้นไปเก็บ้าได้ ตอนฤดูหนาวก็ใช้พรมขนแกะหนาๆ มาล้อม ด้านในจุดเตาไฟหรือดื่มสุรา หรือดีดฉินวาดภาพล้วนเป็สถานที่ที่ดีมาก
กลางดึกของเดือนเจ็ด พระอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงลงมามากแล้ว การนั่งเล่นอยู่ริมสระน้ำก็เหมาะสมมาก
ม่านหญ้าสานของศาลาถูกม้วนขึ้น รอบๆ จุดหญ้ากันยุงเอาไว้ รอบด้านของศาลาดอกไม้จุดโคมไฟเอาไว้หลายอัน ด้านในศาลาดอกไม้วางโต๊ะปาเซียนเอาไว้ตัวหนึ่ง บนโต๊ะตอนนี้ได้วางจานเอาไว้หลายใบ หนิงซื่อกับน้องสะใภ้สามคนของตนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เห็นจางจ้าวฉือพาสวี่ตี้มาถึงก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ
หนิงซื่อหัวเราะแล้วกล่าว “เชิญพวกเ้า น้องสะใภ้กับหลายคนอย่าได้ประหลาดใจไป”
สวี่ตี้โบกมือ “ท่านป้าใหญ่ ท่านนั่งก่อนขอรับ พวกเราเป็คนครอบครัวเดียวกัน คำพูดเหมือนคนอื่นคนไกลก็อย่าได้เอ่ยเลยขอรับ”
หนิงซื่อหัวเราะแล้วพูดกับน้องสะใภ้สามคนของตน “เป็หลานชายที่เป็คนสบายๆ พวกเรานั่งลงก่อนเถิด ค่ำคืนนี้อีกยาวไกล พวกเราค่อยๆ พูดคุยกันดีกว่า”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วกล่าว “พวกเ้าเป็ผู้าุโของเขา มีเื่อะไรก็รีบพูดเถิด หากเขาไม่ช่วยพวกเ้าที่เป็ป้าสะใภ้กับน้าสะใภ้แล้วจะไปช่วยผู้ใด?”
โจวซื่อหัวเราะแล้วกล่าว “ข้าชอบความสบายๆ ของน้องสะใภ้สาม พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าบอกกับท่านแล้วว่าพี่สะใภ้สามกับคุณชายใหญ่ล้วนไม่ใช่คนอื่นคนไกล พวกเราไม่จำเป็ต้องเป็ทางการเช่นนี้”
หนิงซื่อกล่าว “คำพูดนี้ไม่ถูกต้องนะ พวกเราจะขอให้คุณชายใหญ่ช่วย น้ำใจที่ควรมีก็ควรจะนำออกมา”
หลังจากทุกคนเข้ามาในศาลาแล้ว สาวใช้ด้านข้างก็เติมสุราใส่จอกของทุกคนจนเต็ม สวี่ตี้นำจอกสุราของตนเองไปวางไว้ด้านข้าง “อีกไม่กี่วันข้าจะต้องเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อ สุรานี้ก็คงต้องงดแล้ว รอข้าสอบเสร็จแล้วจะเชิญท่านป้ามาดื่มสุราด้วยกันอีกครั้งนะขอรับ”
ทุกคนเองก็เข้าใจว่าสวี่ตี้จะต้องเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อ ประเด็นหลักคือการร่วมทานข้าวในคืนนี้ เพราะว่า้าขอให้สวี่ตี้ช่วยจึงไม่ได้บังคับ หนิงซื่อเติมให้จางจ้าวฉือจนเต็มจอก ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าว “พวกเราเองไม่รู้ว่าชาติก่อนนั้นบำเพ็ญบุญมานานเท่าไหร่ถึงได้แต่งงานเข้ามาเป็พี่น้องสะใภ้ด้วยกัน พวกเรามาดื่มสุราจอกนี้ให้หมดก่อนเถิด”
ตั้งใจนับมาแล้ว พี่น้องสะใภ้ของจวนนี้ เมื่อเทียบกับพี่น้องสะใภ้ในจวนอื่น เหมือนจะโดดเด่นกว่ามาก อย่างน้อยที่สุดพี่น้องสะใภ้หลายคนพวกนี้ค่อนข้างจะเข้ากันได้ดี ครอบครัวอื่นไม่รู้เป็อย่างไร แต่ที่ครอบครัวมารดาตนพี่น้องหลายคนมักจะกลับมาร้องไห้กับมารดาตน คร่ำครวญอะไรน่ะหรือ มาคร่ำครวญบอกว่าเข้ากับพี่น้องสามีไม่ได้ ร้องไห้ว่าเข้ากับพี่น้องสะใภ้ไม่ได้ ซ้ำยังขัดแย้งกันเอง
จางจ้าวฉือจึงยกจอกดื่มหมดตาม สวี่ตี้เองก็หยิบแก้วชาตรงหน้าของตนเองขึ้นมาดื่มจนหมดแล้วหัวเราะ “ท่านป้า ท่านกับท่านป้าคนอื่นๆ อย่าได้เกรงใจข้าเลยขอรับ มีเื่อันใดท่านก็เอ่ยออกมา หากข้าสามารถทำให้ได้ ก็จะทำให้แน่นอนขอรับ”
ได้ยินสวี่ตี้พูดเช่นนี้ พวกหนิงซื่อทั้งสี่คนก็ถอนหายใจ โจวซื่อยิ้มแล้วเอ่ย “ข้าก็บอกแล้ว คุณชายใหญ่ของพวกเราเป็คนใจดี แม่นมเสิ่นบอกว่าคุณชายใหญ่ช่วยฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนรอบหนึ่ง หนึ่งปีสวนเล็กๆ หลายสิบไร่ก็ได้เงินมาหลายพันตำลึง จึงไม่มีเหตุผลที่จะให้คุณชายใหญ่ของพวกเราคอยดูอยู่ด้านข้างอย่างเดียว”
จางจ้าวฉือกับสวี่ตี้เข้าใจแล้ว ว่านี่เป็ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนจัดมาให้ สวี่ตี้พลันเข้าใจในทันที ฮูหยินผู้เฒ่าคงอยากจะให้ตนเองช่วยพวกป้าน้าสะใภ้หาเงิน เพื่อไม่ให้ครอบครัวตนเองที่อยู่เหอซีจะห่างเหินกับคนในจวน เขาช่วยพวกป้าสะใภ้ในครั้งนี้ มีผู้ใดบ้างที่จะไม่คิดถึงความดีของเขา?
ฮูหยินผู้เฒ่าทำเพื่อเขา เพื่อครอบครัวของเขา ลำบากนางแล้วจริงๆ สวี่ตี้รู้สึกว่าตนเองจะต้องไม่ทำลายความหวังนี้ของฮูหยินผู้เฒ่า
สวี่ตี้รู้ หลังจากที่ตนแสดงความสามารถในการหาเงินของตัวเองให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็น หญิงชราก็จะเข้าใจว่าเขาเป็คนที่มีความคิดความอ่าน แค่ทำเื่เล็กๆ ก็ทำให้สวนหนึ่งกลายเป็กองเงินกองทองได้ พวกป้าน้าสะใภ้หลังจากได้รับสวนกับร้านค้าไป เป้าหมายแรกที่้าก็คือหาเงิน ตัวเขามีความสามารถ เหตุใดไม่ใช้ความสามารถพวกนี้มาสานสัมพันธ์กับพวกป้าสะใภ้ล่ะ อีกอย่างบิดาของตนก็เป็บุตรของอนุในจวน ถึงแม้หลายปีมานี้จะไม่มีเื่บุตรภรรยาเอกกดขี่บุตรอนุเผยออกไป แต่สถานะของสวี่เหราบิดาของตนก็จะกดพวกเขาให้ต่ำลงมาอยู่ดี ฮูหยินผู้เฒ่าลงมือครั้งนี้ สามารถพูดได้ว่ากำลังผูกครอบครัวของตนเข้ากับครอบครัวคนอื่นๆ
ความคิดของสวี่ตี้ทำงานอย่างรวดเร็วก็เข้าใจ ป้าน้าสะใภ้เหล่านี้หลังจากได้รับร้านกับสวนมาอยู่ในมือแล้ว พวกลุงๆ ซึ่งมีงานอยู่ในมือตนเองแล้ว ในเมื่อเป็ของของฮูหยินผู้เฒ่า ขอแค่คนหนึ่งไม่ได้ดูแลด้วยตนเอง พี่น้องคนอื่นๆ ก็เกรงใจที่จะดูแลด้วยตนเอง จึงยกให้ภรรยาของตนเองดูแล ส่วนตนเองก็คอยช่วยอยู่ด้านข้าง
แต่ว่าหลังจากฮูหยินผู้เฒ่ามอบร้านกับสวนมาให้แล้ว ก็ให้ข่าวที่ทำให้ทุกคนใอีกครั้ง สวี่ตี้บุตรของเรือนสามเป็คนที่มีความสามารถทำให้หินเป็ทอง ขอแค่ขอให้เขาช่วยคิดหาวิธี ก็สามารถทำให้ร้านค้าและสวนของตนมีเงินทองไหลมาเทมาจำนวนมาก
พอเข้าใจเื่พวกนี้แล้ว สวี่ตี้ก็หัวเราะแล้วกล่าว “ท่านป้า เื่การช่วยเหลือพวกท่านเป็สิ่งที่ข้าควรทำ เอาเช่นนี้แล้วกัน วันนี้พวกเราอยู่กันหมดพอดีด้วย ช่วยพูดสถานการณ์ร้านค้าและสวนที่อยู่ในมือของพวกท่านให้ข้าฟัง ข้าจะได้เอาไปคิดว่าจะทำอย่างไรขอรับ”
หนิงซื่อกับน้องสะใภ้อีกสามคนมองหน้ากันไปมา แล้วก็เห็นความดีใจจากดวงตาของอีกฝ่าย
และก็ไม่สนใจที่จะดื่มสุราทานข้าวแล้ว ทั้งสี่คนเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ภายในร้านและสวนในมือของตนเองให้กับสวี่ตี้ฟัง
หนิงซื่อเป็ร้านขายใบชา เหยาซื่อเป็ร้านขนม เฉินซื่อเป็ร้านผลไม้ตากแห้ง โจวซื่อเป็ร้านขายกระดาษหมึก ส่วนสวนนั้นก็อยู่ใกล้ๆ กับสวนที่อยู่ใกล้เมืองหลวง ขนาดสามสิบไร่จนถึงห้าสิบไร่ พวกนี้ล้วนเป็สมบัติเดิมของจวนหย่งอี้โหว ถูกฮูหยินผู้เฒ่านำติดตัวมาจากจวนหย่งอี้โหวมาที่จวนหยิ่งหนิงโหว หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเอาป้ายเหล็กอักษรชาดคืนให้กับฮ่องเต้ไป ก็นำสมบัติทั้งหมดของตระกูลที่บิดาและพี่ชายสั่งสมมาทั้งชีวิตติดตัวมาด้วย ยังมีเหล่าทหารรับใช้รวมถึงลูกหลานของพวกเขาที่ติดตามหย่งอี้โหวเย่มาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าพาคนพวกนี้มาที่ร้านค้าและไร่สวน เพื่อให้คนพวกนี้สามารถมีสถานที่เอาไว้ทำมาหากิน สิ่งที่หญิงชราได้ทิ้งให้กับครอบครัวของลุงสองของตนเองคือจวนหลังใหญ่ที่เดิมทีเป็ของจวนหย่งอี้โหวเท่านั้น
หลังจากสวี่ตี้ฟังแล้ว ก็เริ่มคิดในใจว่าจะช่วยทำการค้าขายของในร้านค้าอย่างไร
สำหรับต้าเหลียงแล้ว ตอนนี้เื่ที่ดึงดูดสายตาคนที่สุดก็คือผ่านไปอีกสักพักจะมีการสอบเซียงซื่อ รวมถึงการสอบฮุ่ยซื่อที่จะเกิดขึ้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เพราะว่าการสอบสองอย่างนี้ทำให้มีคนเดินทางมาที่เมืองหลวงเป็จำนวนมาก หากอยากจะหาเงิน ก็ต้องตีโจทย์จากเื่พวกนี้
สวี่ตี้กล่าว “ปีหน้าเป็ปีแห่งการสอบขุนนาง เป็โอกาสดีในการหาเงินขอรับ เอาเช่นนี้แล้วกัน วันนี้ดึกเกินไปเสียแล้ว ข้าจะกลับไปคิดให้ดีๆ แล้วเขียนแผนออกมาให้กับพวกป้าน้าสะใภ้จากนั้นพวกท่านก็เอาหนังสือแผนการบริหารของข้าเอาไปให้ผู้ดูแลดู ถ้าหากได้ เช่นนั้นก็ให้ผู้ดูแลทำให้ท่าน พวกท่านป้าว่าอย่างไรขอรับ?”
หนิงซื่อมองน้องสะใภ้ทั้งสามคนของตนแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนตี้เกอแล้ว มา ป้าขอบคุณเ้า”
สวี่ตี้รีบหยิบแก้วชาตรงหน้าของตนเอง “ท่านป้าใหญ่ เื่นี้เป็เื่ที่สมควรทำขอรับ”
อาหารมื้อนี้กินกันจนพระจันทร์ขึ้นสู่ยอดต้นหลิว จางจ้าฉือดื่มเข้าไปจนมึนเล็กน้อย ถูกชิงเหมี่ยวกับชิงซุยพยุง สวี่ตี้กำลังถือโคมไฟส่องทาง เดินกลับไปที่เรือนของตนเอง
แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่ารู้เื่ที่เกิดขึ้นตอนกลางคืน แม่นมเสิ่นดูแลนางั้แ่อาบน้ำจนขึ้นมานั่งบนเตียง ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับแม่นมเสิ่น “เ้าดูสิ วิธีของข้าดีใช่หรือไม่ ให้พวกนางเชิญจ้าวฉือกับตี้เกอไปกินข้าว แล้วขอให้ตี้เกอช่วย”
แม่นมเสิ่นหัวเราะแล้วกล่าว “อะไรก็หนีไม่พ้นแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ หัวเราะเหอะๆ “นี่ไม่ใช่แผนของข้านะ เป็พวกนางยินยอมทำด้วยตัวเอง เฮ้อ ข้าน่ะไม่มีความหวังอย่างอื่น แค่อยากจะให้เหล่าหลานๆ ของข้าสามารถใช้ชีวิตที่ดีได้ คนเราน่ะกลัวว่าจะว่าง พอว่างมากเข้าก็จะเกิดเื่ขึ้น ให้พวกนางงานยุ่งเสียหน่อย เช่นนี้ดีจะตายไป”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้