การสะสางบัญชีในเที่ยงวันรุ่งขึ้นเป็ไปอย่างราบรื่น หมี่หลันเยว่เปิดบัญชีเงินฝากเล่มใหม่ เพราะถ้าให้แม่เห็นเงินจำนวนมากในบัญชีเธอ คงต้องใแน่นอน ในเมื่อเื่มันปิดบังไว้แล้ว ก็ปิดต่อไปก่อน หมี่หลันเยว่คิดเสมอว่าจะรอจนกว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แล้วค่อยบอกผลลัพธ์ที่ได้ให้พ่อแม่รู้
แต่ความสำเร็จระดับไหนถึงจะเรียกว่ายิ่งใหญ่ เธอก็ยังคิดไม่ตกว่าจะวัดจากอะไร อย่างไรก็ตาม ต้องพยายามต่อไป รอจนกว่าผลงานของตัวเองจะอยู่ในระดับที่น่าภูมิใจ ค่อยบอกพ่อแม่ก็ยังไม่สาย วันนั้น ขอให้มาถึงเร็วๆ หมี่หลันเยว่เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ เธอรู้สึกได้ว่าวันนั้นคงไม่ไกลเกินเอื้อม
"หลันเยว่ ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะมีสินค้าในคลังเยอะขนาดนี้ ถ้าฉันไม่ได้มาสั่งซื้อรอบนี้ เธอคิดจะขายมันให้หมดด้วยตัวเองเหรอ?"
หลังจากขนสินค้าขึ้นรถ หนิวต้าลี่ก็อุทานด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่เชื่อเลยว่าหมี่หลันเยว่จะมีสายตาแหลมคมมองการณ์ไกลขนาดนี้ การที่เขามาเอาสินค้าที่ซวงเฉิง เป็เพียงการตัดสินใจชั่ววูบเท่านั้นเอง เธอคงไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาสั่งซื้อห้องเสื้อหลันเยว่ของเธอ แล้วเธอทำไมถึงกล้าเก็บสินค้าไว้เยอะขนาดนั้น?
"คุณลุงหนิวคะ สินค้าพวกนี้ฉันเตรียมไว้ขายเองจริงๆ ค่ะ ฉันมั่นใจว่าจะขายสินค้าทั้งหมดนี้ให้หมดภายในหนึ่งเดือนนี้ได้ คุณลุงคิดดูสิ ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษนี่นา จะรู้ล่วงหน้าได้ยังไงว่าคุณลุงจะมาสั่งซื้อสินค้า ดังนั้น คุณลุงต้องพยายามเข้านะคะ ถ้าขายสินค้าพวกนี้ไม่หมดจริงๆ ก็คงต้องเก็บไว้ให้เข้าชุดกับเสื้อผ้าฤดูหนาว แม้ว่าจะเป็การขายสินค้าเหมือนกัน แต่คุณลุงต้องแพ้ฉันแน่ๆ เลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่แสดงออกแบบเด็กผู้หญิงวัยสิบปีออกมา พร้อมกับแกล้งหยอกล้อหนิวต้าลี่เล็กน้อย หนิวต้าลี่หัวเราะออกมากับความน่ารักของเธอ ใช่แล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้มีความมั่นใจขนาดนี้ว่าจะขายสินค้าให้หมดภายในหนึ่งเดือน ร้านค้าใหญ่โตของเขา ถ้าขายสินค้าไม่หมด ก็คงน่าอายอยู่เหมือนกัน
"ใช่แล้ว หลันเยว่ตัวน้อย เธอกำลังท้าทายคุณลุงหนิวอยู่นะ ดังนั้น ฉันต้องพยายามให้มากขึ้น จะแพ้เ้าตัวเล็กอย่างเธอไม่ได้หรอก!"
หนิวต้าลี่ลูบศีรษะเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่เบาๆ แล้วหันหลังขึ้นรถยนต์ที่มาพร้อมกับรถบรรทุก
"คุณลุงต่างหากที่เป็เ้าตัวเล็ก"
หมี่หลันเยว่ย่นจมูกอย่างไม่พอใจ ซึ่งหนิวต้าลี่ที่โผล่หน้าออกมาเพื่อจะพูดพอดีได้ยินและเห็นเข้าก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมาในใจ ท้ายที่สุดก็ยังเป็เด็กอยู่ดี
"ฉันกลับแล้วนะ หลันเยว่ เจอกันใหม่! คราวหน้ามารับสินค้า ฉันจะไม่ตามมาแล้ว จะให้คนถือใบสั่งซื้อมาที่นี่แทน"
หนิวต้าลี่จากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
"ค่ะ คุณลุงหนิวสวัสดีค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ"
มองดูรถยนต์และรถบรรทุกขับออกไป หน้าร้านเสื้อผ้าก็กลับคืนสู่ความสงบ ถ้าไม่ใช่เพราะฝุ่นที่รถยกขึ้นยังไม่จางหาย ทุกอย่างก็เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
"เอาล่ะๆ เลิกมองได้แล้ว พวกเราต้องรีบไปเรียนแล้ว เดี๋ยวจะสายเอานะ พี่เสี่ยวหว่าน ตอนเช้าช่วยจัดการเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงส่วนหนึ่งในร้านด้วยนะ หยวนซุ่น พวกเขาคงเหนื่อยกับการขนส่งสินค้าพวกนั้นแล้ว แต่ก็ต้องลำบากหน่อยนะ ช่วยแขวนตัวอย่างเสื้อผ้าฤดูหนาวที่เหลือไว้ให้พี่หลิวลี่ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะขายของได้ช้า ทำงานเสร็จแล้วค่อยพักผ่อนนะ"
หมี่หลันเยว่เป็คนแรกที่ได้สติ หันกลับไปกำชับหลิวเสี่ยวหว่าน แล้วพากันวิ่งไปขึ้นรถโดยสารประจำทาง ด้านหลังได้ยินเสียงดังของหลิวลี่ดังขึ้น
"หลันเยว่วางใจได้เลย ฉันจัดการเอง"
ตกเย็นวันนั้น ตอนกลับถึงบ้าน หลันเยว่ก็เอาบัญชีเงินฝากเล่มนี้ใส่ลงในกล่องเหล็กที่ใส่แสตมป์รูปลิงเอาไว้ นี่คือรายได้ก้อนโตครั้งแรกของเธอ ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อเป็ที่ระลึก แน่นอนว่าเธอได้ถอนเงินออกมาส่วนหนึ่งแล้วตอนเที่ยง โดยเหลือไว้ในบัญชีแค่จำนวนเต็ม หมี่หลันเยว่เก็บกล่องเหล็กอย่างระมัดระวัง
ส่วนเงินที่ถอนออกมานั้น จำเป็ต้องถอนออกมาจริงๆ มีเงินที่ต้องคืนให้พี่ชาย และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็สำหรับการสั่งทำเสื้อผ้าจากโรงงาน เงินก้อนแรกคือต้องซื้อผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บจำนวนมาก เงินก้อนที่สองคือป้ายขนาดเล็กที่ต้องสั่งทำเพิ่มจากโรงงานของคุณลุงหลัว และเงินก้อนที่สาม... ต้องเก็บเงินไว้ซื้อกินซื้อใช้บ้าง โรงงานก็มีคนตั้งสิบกว่าคน
หลังจากเก็บสมบัติของตัวเองเรียบร้อยแล้ว หมี่หลันเยว่ก็เริ่มวางแผนการทำงานของตัวเอง เสื้อผ้าฤดูหนาวที่สั่งทำไว้ให้คุณลุงหนิวนั้น ช้าไม่ได้ แต่ได้ประเมินอย่างละเอียดกับหลิวเสี่ยวหว่านไว้ล่วงหน้าแล้ว การส่งสินค้าไม่น่าจะมีปัญหา แถมยังสามารถส่งสินค้าเข้าร้านก่อนการสั่งทำสินค้ารอบนี้ได้อีกด้วย
ร้านมีตัวอย่างเสื้อผ้าฤดูหนาวอยู่แล้ว แต่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงเหลือแค่ชุดเดี่ยวๆ ไม่กี่ชุด เพราะชุดไหนที่มีสองชุดขึ้นไป คุณลุงหนิวก็เอาไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงต้องทำตัวอย่างออกมาอีกสักสองสามชุดวางไว้ในร้าน ไม่อย่างนั้นร้านจะไม่มีอะไรขายเลยในเดือนนี้ แม้ว่าร้านจะนำเสื้อผ้าฤดูหนาวมาวางขายล่วงหน้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงก็ยังต้องขายต่อไป นี่เพิ่งจะเดือนพฤศจิกายนเอง
แต่หมี่หลันเยว่ก็วางแผนไว้แล้วว่าจะรีบทำตัวอย่างออกมาสองสามชุดก็พอ เอาไว้ให้ลูกค้าสั่งทำ แล้วเหลือเครื่องจักรไว้เครื่องหนึ่ง ทำงานให้ลูกค้าทั่วไปที่มาจ้างทำเป็รายชิ้นไปก่อน ประคองตัวให้รอดพ้นเดือนแห่งฤดูใบไม้ร่วงนี้ไปก่อนก็พอ ถ้าเครื่องจักรเครื่องเดียวไม่พอจริงๆ ก็ให้พี่เสี่ยวหว่านสละเวลามาช่วยน่าจะได้
เธอนอนอยู่บนเตียง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย หมี่หลันเยว่ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ในฝันมีแต่เสียงเครื่องจักรดังกระหึ่ม รบกวนจนปวดหัว แต่พอเสื้อผ้าสำเร็จรูปทีละชิ้นๆ ถูกทำออกมาแล้วยกมาให้หมี่หลันเยว่ดู หมี่หลันเยว่ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เกือบจะหัวเราะจนตื่นในฝันเลยทีเดียว
ใน่เวลาต่อมา ทุกคนต่างก็ทำงานกันอย่างหนัก ร้านค้าก็อาศัยหลิวลี่คอยดูแล หมี่หลันเยว่และเฉียนหย่งจิ้น หลินเผิงเฟย ทุกวันหลังเลิกเรียนต้องมาช่วยที่โรงงาน ช่วยอะไรไม่ได้มาก ก็ช่วยยกผ้า หาอุปกรณ์ตัดเย็บ หรือเอาเสื้อผ้าที่ทำเสร็จแล้ว ใส่เข้าไปในถุงทีละชิ้นๆ
ถุงพวกนี้ก็เป็ของที่หมี่หลันเยว่สั่งทำเช่นกัน ใน่ต้นยุค 80 ถุงพลาสติกยังไม่แพร่หลาย ส่วนใหญ่จะเป็ถุงกระดาษ แม้แต่เวลาไปซื้อขนมที่ร้าน ก็จะใช้กระดาษหนาๆ ห่อ แล้วใช้เชือกกระดาษสีเหลืองมัด เป็มิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แต่พอถึงยุคหลังๆ บรรจุภัณฑ์ที่เป็มิตรต่อสิ่งแวดล้อมพวกนี้ก็หายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม บรรจุภัณฑ์พลาสติกตอนนี้ก็เริ่มมีคนใช้กันแล้ว คาดว่าไม่เกินสองปี ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรืออาหารทุกชนิดก็จะใช้ถุงพลาสติกบรรจุ หมี่หลันเยว่ก็ทำได้แค่คล้อยตามกระแส ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเริ่มใช้ถุงพลาสติกบรรจุ แต่บนถุงพิมพ์ตราสัญลักษณ์ห้องเสื้อหลันเยว่
หมี่หลันเยว่เริ่มสร้างร้านเสื้อผ้าของตัวเองั้แ่เริ่มต้นธุรกิจ เธอ้าให้ร้านของเธอฝังลึกเข้าไปในใจคน ค่อยๆ ยึดครองพื้นที่ในใจคนทีละเล็กทีละน้อย ถึงแม้คุณจะไม่เคยใส่เสื้อผ้ายี่ห้อนี้ แต่คุณจะต้องเคยเห็นคนอื่นใส่ อย่างน้อยหนึ่งคนสองคนก็ใส่ แล้วคุณจะไม่ลองดูหน่อยเหรอ?
อานุภาพของยี่ห้อร้านนั้นไร้ขีดจำกัด หมี่หลันเยว่เคยเรียนรู้มาแล้วในชาติที่แล้ว ดังนั้นในชาตินี้ เธอจะต้องสร้างชื่อออกไปให้ได้ แถมยังต้องสร้างให้ดัง สร้างให้มั่นคง สร้างให้ฝังลึกเข้าไปในใจคน ซึ่งต้องอาศัยงานฝีมือที่ประณีต เนื้อผ้าที่ดี บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม รายละเอียดเหล่านี้ขาดไม่ได้เลย
"น้องสาว งานพวกนี้มันเหนื่อยเกินไป พวกเราสองคนสลับกันทำดีไหม คนละวัน"
เนื่องจากมีร้านหนังสืออยู่ที่บ้าน พี่น้องสองคนจึงต้องมีคนใดคนหนึ่งคอยเฝ้าบ้านเสมอ ใน่สองสามวันแรก หมี่หลันเยว่ไปโรงงานเสื้อผ้า แต่ไม่นานหมี่หลันหยางก็สังเกตเห็นความเหนื่อยล้าของหมี่หลันเยว่
ท้ายที่สุดก็ยังเด็กอยู่ดี การที่เรียนตอนกลางวันทำงานตอนกลางคืน หมี่หลันเยว่อายุสิบปีก็แสดงอาการออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แม้ว่าเฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยจะอายุไม่มาก แต่ก็เป็เด็กผู้ชาย การช่วยบรรจุเสื้อผ้าใส่ถุง พวกเขายังพอทนได้ แต่หมี่หลันเยว่กลับเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
"ก็ได้ค่ะพี่ พวกเราสองคนคนละวันนะ"
หมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้ฝืนทน ปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม ความเสียหายจะยิ่งมากขึ้นไปอีก เธอให้เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยสองคนผลัดกันไปโรงงานด้วย แต่พวกเขาไม่ยอม บอกว่างานแค่นี้ยังพอทนได้
หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปในที่สุด เมื่อเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกบรรจุเสร็จ ก็เป็ปลายเดือนพฤศจิกายนแล้ว ร้านของเธอก็เปลี่ยนเป็เสื้อผ้าฤดูหนาวทั้งหมดแล้ว ได้แจ้งให้คุณลุงหนิวทราบแล้วว่าพรุ่งนี้จะส่งรถมารับเสื้อผ้ารอบสุดท้าย บัญชีเงินฝากของตัวเองก็จะมีรายได้ก้อนโตเพิ่มขึ้นมาอีก เป็เื่ที่น่ายินดีจริงๆ
"พี่เสี่ยวหว่าน พี่ลี่น่า และพี่ๆ ทุกคน เดือนนี้ทุกคนลำบากกันมากนะคะ"
มองดูเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกพี่หย่งจิ้นปิดผนึก แล้วใส่เข้าไปในห่อผ้าขนาดใหญ่ หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเบาขึ้นมาทันที ในหนึ่งเดือนนี้ ทุกคนลำบากกันมาก ทุกวันในโรงงานต้องทำงานล่วงเวลาจนดึก
"ไม่ลำบากๆ พวกเราก็พักอยู่ที่โรงงานอยู่แล้ว แถมเสี่ยวหลันเยว่ก็เลี้ยงข้าวทุกวัน พวกเราอยู่เฉยๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทำงานเพิ่มอีกหน่อยก็สมควรแล้ว ใช่ไหมคะ พี่น้อง?"
เผิงลี่น่าก็ยังคงตรงไปตรงมาเหมือนเดิม
"ใช่แล้ว หลันเยว่ พวกเรามีกินมีอยู่มีเงินให้ใช้ จะไม่ช่วยกันออกแรงหน่อยได้ยังไง ไม่ใช่ว่าต้องทำกันแบบนี้ตลอดนี่นา เวลามีงานด่วน ทุกคนก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่อยู่แล้ว โรงงานเป็ของเธอ แต่ก็เป็ของพวกเราทุกคนด้วย โรงงานดี พวกเราทุกคนถึงจะทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ถึงจะมีเงินให้ใช้ต่อไปได้"
คนที่พูดประโยคนี้คือซุนเฉี่ยวจิ้ง พี่สาวที่อายุมากกว่าเล็กน้อยที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ น่าจะอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี เป็แม่ของลูกแล้ว ทำงานเก่งมาก ตอนแรกที่รับเธอเข้ามา หมี่หลันเยว่ก็ยังลังเลอยู่ เพราะว่ามีลูกแล้ว คนเป็แม่อาจจะไม่ได้อยู่ดูแลลูก ซึ่งค่อนข้างโหดร้าย และกลัวว่าลูกจะสร้างปัญหาให้กับการทำงานของเธอ
แต่เมื่อหลิวเสี่ยวหว่านบอกสถานการณ์ของครอบครัวเธอให้ฟัง หมี่หลันเยว่ก็ทำได้แค่รับเธอไว้ สามีของซุนเฉี่ยวจิ้งประสบอุบัติเหตุจากการทำงานในโรงงาน แขนขาดไปข้างหนึ่ง กำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้าน แม้ว่าโรงงานจะจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือน แต่ก็เป็เพียงค่าครองชีพขั้นต่ำเท่านั้น
แต่ในบ้านยังมีแม่สามี ลูกชาย และลูกสะใภ้ที่ต้องเลี้ยงดู เงินเดือนแค่นั้นไม่พอทำอะไรเลย ดังนั้นซุนเฉี่ยวจิ้งจึงยืนยันที่จะมาทำงานที่โรงงาน เธอรับรองกับหมี่หลันเยว่ว่าจะไม่ทำให้งานเสียหายเพราะลูก ที่บ้านมีแม่สามีคอยดูแลอยู่ ตอนนี้ที่บ้านไม่ได้ขาดคน ขาดแต่เงิน หมี่หลันเยว่จึงทำได้แค่รับเธอไว้
"พี่เฉี่ยวจิ้งพูดก็ถูก แต่ฉันก็เห็นความลำบากของทุกคนเหมือนกัน จะมีการทำงานล่วงเวลาที่ไม่จ่ายเงินได้ยังไง ทุกคนวางใจได้เลย ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ฉันจะให้ซองแดงก้อนโตกับทุกคน จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน!"
เมื่อมีคำพูดของหลันเยว่เป็ประกัน คนงานก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น พอถึงปลายเดือนธันวาคม สินค้าเสื้อผ้าฤดูหนาวก็เต็มโกดังเล็กๆ แห่งนั้นแล้ว คุณลุงหนิวกลับมาสั่งสินค้าอีกรอบในเวลานี้ ตอนแรกเขายังคิดว่าต้องสั่งทำเสียอีก อยากจะเร่งให้หลันเยว่รีบส่งสินค้า จะได้รอขายก่อนปีใหม่ แต่ไม่รู้ว่าคลังสินค้าของหมี่หลันเยว่ก็เพียงพอที่จะจัดการเขาได้แล้ว ในที่สุดก็ถึงปีใหม่ หมี่หลันเยว่ในปี 1980 ก็ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์
