“คุณเข้าใจคนมากกว่าที่ฉันคิด…” เธอพูดเบาๆ เสียงเธอเหมือนจะกระซิบ แต่ทุกคนได้ยิน
จารวีสบตาเพื่อนสาว ยิ้ม แต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่สบายใจ มันคือรอยยิ้มของคนที่กำลังต่อสู้ในใจ
เธอไม่โกรธมารตี ไม่โกรธวิชิต แค่รู้ดี…ว่าเธอเองก็เคยเป็ผู้หญิงคนนั้น ที่จูบกับมารตีใต้แสงจันทร์ และหายใจร่วมกับเธอในเช้าวันที่เงียบสงบ จารวีรู้ว่ารักของพวกเธอไม่เหมือนใคร และในบางจังหวะก็ไม่ควรมีคำว่า “เป็เ้าของ”
...แต่คืนนี้…หัวใจเธอปั่นป่วนจริงๆ ไฟจากเทียนสว่างเรืองๆ อากาศอบอ้าวนิดๆ จากเปลวเทียน แต่ที่ร้อนกว่านั้นคือสายตาของวิชิต ที่เริ่มสบกับมารตีนานขึ้น และบ่อยขึ้น เขามองเธอเหมือนเห็นแสงอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่แค่ความงาม…แต่มากกว่านั้น และมารตีก็รู้ตัว
เธอยกไวน์ขึ้นดื่ม อมยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร ความรู้สึกคล้ายคลื่นใต้น้ำ สงบแต่มีพลัง เธอกำลังมีผลต่อวิชิต…และเธอก็รู้ตัวเองดี
ปพนต์นั่งนิ่ง เฝ้าดูทุกอย่าง เขาไม่พูดมากในคืนนี้ เหมือนเขาจะปล่อยให้ทุกคนได้ลองเรียนรู้กันเอง
ในโลกของความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องมีคำว่า “ถูกหรือผิด” แต่มีเพียงคำว่า “เข้าใจ และยอมรับ”
พออาหารจานสุดท้ายหมดลง ไวน์ขวดที่สามถูกเปิด เสียงเพลงจากลำโพงไร้สายเริ่มบรรเลงเบาๆ เป็เพลงบรรเลงเปียโนที่ละมุนหู จารวีลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยืนข้างปพนต์ แล้วเอนศีรษะพิงไหล่เขาเบาๆ ไม่มีคำพูด…แต่สายตาของเธอเหมือนถาม "ครั้งนี้…จะเปิดประตูให้ฉันไหม"
ส่วนวิชิต เขามองมารตีเงียบๆ ไม่มีคำพูด แต่แววตานั้นชัดเจนเกินกว่าที่เธอจะปฏิเสธความหมาย
และมารตี…เธอก็ยังไม่แน่ใจ...ใจหนึ่ง ยังคิดถึงใครอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ แต่ใจหนึ่ง ก็รู้ว่าโลกในตอนนี้ มันมีมากกว่าที่เธอเคยเข้าใจ
มารตีชวนทุกคนไปต่อที่สวนหลังบ้าน ซึ่งได้จัดเตรียมสถานที่ไว้แล้ว คืนสุดท้ายของการกลับมาพบกัน ยังไม่ยอมหลับใหลง่ายๆ แสงไฟโทนอุ่นจากสวนหลังบ้าน ลอดผ่านม่านไม้ไผ่ที่ปลูกล้อมไว้รอบอ่างจากุซซี่กลางแจ้ง เสียงน้ำไหลเบาๆ ปะปนกับเสียงจิ้งหรีดในยามค่ำ เสริมให้อารมณ์ทุกอย่างราวกับอยู่ในโลกอื่น ไม่มีอะไรต้องรีบ ไม่มีอะไรต้องซ่อนอีกแล้ว
มารตี นั่งอยู่ในอ่างน้ำอุ่น โดยมีจารวีซบอยู่ข้างหลัง มือเรียวของเธอลูบผ่านไหล่เปลือยของอีกฝ่ายช้าๆ
น้ำที่สั่นระริกในอ่าง เป็เพียงเงาสะท้อนบางๆ ของอารมณ์ภายในที่ลึกกว่านั้นมากนัก ร่างของทั้งสองสาวเปลือยเปล่า ทว่าความเปลือยนี้ไม่ใช่เพียงแค่กาย…มันคือความเปลือยใจที่ซ่อนซ้อนอยู่หลังสายตาอ่อนโยน ัันุ่มนวล และเสียงกระซิบแ่เบา
"ฉันก็คิดถึงแบบนี้แหละ" จารวีพูดขึ้น ขณะที่วางคางไว้บนบ่าของมารตี เสียงเธอเหมือนเปลวเทียน สั่นไหวแต่ร้อนแรง "คิดถึงเวลาที่เราไม่ต้องพูดอะไร…แต่ก็รู้ว่าอีกคนกำลังรู้สึกยังไง"
มารตีไม่ได้ตอบทันที เพียงแค่หันไปสบตา แววตาที่ทั้งนิ่ง ลึก และเต็มไปด้วยคำตอบทั้งหมด “ฉันไม่ได้คิดถึงแค่ร่างกายของเธอ...” เสียงพูดช้าๆ “แต่ฉันคิดถึง่เวลาที่เธอเป็ของฉันคนเดียว…ในโลกนี้ไม่มีใครนอกจากเรา”
จารวีไม่ได้พูดแค่เพียงแต่วางฝ่ามือแ่เบาบนอกอวบเด้งของมารตี ัันั้น ไม่ได้เร่งรีบ ไม่ได้เร่าร้อนในแบบฉาบฉวย แต่มันคือคำว่า “ฉันก็เหมือนกัน” สองสาวแนบชิดกันในน้ำอุ่น อุณหภูมิของร่างกายแยกกันไม่ออก ริมฝีปากเริ่มค้นหากันและกันอีกครั้งในความเงียบงัน มีเสียงเพียงอย่างเดียว คือเสียงของน้ำกระเพื่อม และลมหายใจที่เริ่มถี่กระชั้นขึ้นทีละน้อย
...กระทั่งร่างหนึ่งเคลื่อนไปอยู่เหนืออีกร่าง เป็การคืนร่าง…อย่างช้าๆ ลึก และเต็มไปด้วยความเข้าใจ
เหมือนบทกวีที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย
ในขณะเดียวกัน ปพนต์ และวิชิต นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ห่างออกไปไม่มากนัก ร่างทั้งคู่เปลือยเปล่าเช่นกัน ตามกติกาของเ้าบ้าน ที่บอกไว้ั้แ่ต้นว่าที่นี่…ไม่จำเป็ต้องมีเสื้อผ้า โดยเฉพาะในค่ำคืนแห่ง “การมองเห็น”
พวกเขามองภาพตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างเก็บลมหายใจไว้ในใจ ไม่ใช่เพราะใ แต่เพราะมันงดงามเกินกว่าจะหายใจแบบเดิมๆ ได้ ร่างเปลือยขาวโพลนของมารตีและจารวีในน้ำ ใต้แสงเทียน เป็ภาพที่เหนือคำว่าสวยงาม มันคือศิลปะของการรัก และการเปิดใจ มันคือพลังที่ผู้หญิงสองคน มอบให้กัน และผู้ชายสองคน…ได้รับเกียรติให้เห็น
“พวกเราไม่ต้องทำอะไร” มารตีเอ่ยเสียงเบา เมื่อหันไปมองสองหนุ่มที่ตอนนี้มีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้นแก่ร่างกายแล้ว ขณะเอนตัวลงบนขอบอ่าง จารวียังซบอยู่ตรงกลางอกเธอ “แต่ถ้ารู้สึกอึดอัด…ก็ให้ผู้หญิงของตัวเองช่วยหน่อยก็ได้”
ปพนต์ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เขารู้ดีว่านั่นหมายถึงอะไร ในขณะที่วิชิตยังลังเล แต่ในดวงตา…เต็มไปด้วยความปรารถนาและความสงสัยที่เริ่มจางลง
จารวีหันกลับไปสบตาเขา และในจังหวะที่ไม่มีใครพูด เธอค่อยๆ เดินออกจากอ่าง แล้วนั่งลงตรงหน้าแฟนหนุ่ม มือเรียวขาวเอื้อมไปแตะเขาเบาๆ พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “คืนนี้…ฉันอยากให้คุณเข้าใจเราให้มากกว่านี้อีกนิด”
มารตีไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่มองไปทางปพนต์ ก่อนจะส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดให้กับคนที่เธอรัก
ก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับมือเขาไว้นิ่งๆ ทั้งสองหันไปมองคู่ที่อยู่ข้างๆ ที่ตอนนี้จารวีกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงหน้าขาของวิชิต ขณะที่สองมือของเขาประคองศีรษะแฟนสาวไว้แน่นพลางหลับตาสูดปากเบาๆ
...ไม่มีบทสนทนาใดๆ เพิ่มเติม แค่เสียงน้ำ แสงเทียน และเสียงของหัวใจ ที่ดังในค่ำคืนอันแสนเงียบ แต่อบอุ่นนี้
แดดยามสายตกกระทบผ่านต้นลีลาวดีในสวนหลังบ้าน ใบไม้ไหวเบาๆ บนสายลมที่ยังหอบกลิ่นละมุนของค่ำคืนเมื่อวาน ขอบอ่างจากุซซี่ยังมี คราบน้ำเปียกอยู่บ่งบอกว่า มีเื่ราวบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ และตอนนี้มันเพิ่งจบลงไม่นาน
วิชิตกำลังเก็บกระเป๋าใส่ท้ายรถ SUV สีดำ...
เสียงล้อัักับทางลาดของโรงรถยังคงอยู่ในหูของมารตี เธอยืนอยู่ที่ระเบียง ชุดคลุมสีขาวบางเฉียบโบกไหวเบาๆ ด้วยสายลมอ่อนๆ ผมปล่อยลง สบตากับเขาในวินาทีสุดท้ายก่อนรถจะเคลื่อนตัว
วิชิต…สบตาเธอกลับมา...แววตาที่ไม่เหมือนวันแรกที่เขาเจอเธอในบ้านหลังนี้ วันนั้นเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ประหม่า และสับสน วันนี้กลับมีแววตาอ่อนโยน เห็นใจ และเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น แต่ยังมีบางอย่าง…ที่เขายังเข้าไปไม่ถึง
“พร้อมรึยังคะ” จารวีถามเสียงนุ่ม จากที่นั่งข้างคนขับ วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อนๆ แต่ดวงตาดูสดใสกว่าทุกเช้า
วิชิตพยักหน้าเบาๆ แต่ก่อนจะออกรถ เขาก็หันกลับไปมอง…มองผ่านกระจกมองข้าง มองผ่านสายลม
มารตี…ยังยืนอยู่ที่เดิม เธอยิ้ม แบบที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนยิ้มแบบนั้นได้ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ชวนฝัน แต่มันคือรอยยิ้มที่ "รู้ทัน" ทุกอย่าง และในแววตาของเธอ…มีบางอย่างที่สื่อว่า “ฉันไม่ได้ปิดประตูนะ…แต่อย่าคาดหวังว่าจะเข้ามาโดยไม่มีหัวใจมาด้วย”
วิชิตถอนหายใจ เขารู้ว่า เขาไม่ได้ “เข้าร่วม” กับเื่ราวของทั้งสามคนเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ในใจเขา…ไม่ได้รู้สึกว่าเป็คนนอกอย่างแท้จริง เขาเพียงแค่ยังไม่ได้รับเชิญ...อย่างน้อยก็ยังไม่ได้รับเชิญในตอนนี้
ในบ้าน มารตีหันกลับเข้ามา พบกับปพนต์ที่ยืนพิงกรอบประตูด้วยท่าทีสบายๆ เขาถือถ้วยกาแฟเอาไว้ กลิ่นหอมของมันผสมกับกลิ่นกายเธอที่ยังไม่จาง ราวกับทุกอย่างในบ้านนี้ ล้วนแต่กลายเป็ กลิ่นของความทรงจำ “เขาไม่โกรธเหรอ” ปพนต์เอ่ยขึ้นเบาๆ
มารตีพยักหน้า “เขาไม่ควรโกรธ…เพราะเราก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย”
“แต่รตีก็รู้ใช่ไหม ว่าภาพเธอกับจารวีเมื่อคืน…จะติดอยู่ในความทรงจำของเขาไปอีกนาน” เสียงปพนต์เรียบๆ ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “บางทีรตีก็สงสัยนะคะ…ว่ารตีเป็ผู้หญิงที่ ‘น่าเก็บไว้ในความทรงจำ’ หรือ ‘น่ากลับมาค้นหาให้เจออีกครั้ง’ กันแน่”
