ชายสวมหน้ากากยกห่อผ้าขึ้นแขวนบนกิ่งไม้ด้านข้าง
“ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” หลิ่วไป๋เจ๋อไม่รู้ว่าอีกฝ่าย้าสื่ออะไร
ชายคนนั้นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านเ้าสำนักกำชับว่าจะไม่เรียกเก็บค่าจ้างใดๆ จากคุณชายหลิ่วสำหรับการช่วยเหลือครั้งนี้”
“บนโลกนี้ไม่มีการร้องขอใดที่ได้มาโดยไม่เสียอะไรหรอก ท่านเ้าสำนักของเ้า้าให้ข้าทำอะไรเพื่อแลกเปลี่ยนกันแน่”
ชายสวมหน้ากากชะงัก คาดไม่ถึงว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะเอ่ยออกมาตรงๆ
“ท่านเ้าสำนักมีเื่้ารบกวนคุณชายจริงๆ”
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือขึ้น “ว่ามา”
“ท่านเ้าสำนักหวังว่าในภายภาคหน้า หากคุณชายหลิ่วพบเจอว่าิซิ่นถังกระทำการใด ขอคุณชายโปรดอย่าแทรกแซง”
มุมปากของหลิ่วไป๋เจ๋อกระตุกเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “รับค่าจ้างไปเถิด เมื่อกลับไปหาท่านเ้าสำนักของเ้า จงบอกเขาว่าหลิ่วไป๋เจ๋อไม่อาจทำตามคำขอของเขาได้”
“นี่มัน...” ชายสวมหน้ากากมีท่าทีลังเล
“ทำไม ิซิ่นถังของพวกเ้าชอบบังคับผู้อื่นอย่างนั้นหรือ”
ชายสวมหน้ากากรีบเอ่ยด้วยความร้อนรน “มิกล้า! เพียงแต่ท่านเ้าสำนักกำชับกับข้าก่อนมาที่นี่ว่าไม่สามารถรับค่าจ้างได้ หากคุณชายหลิ่วปฏิเสธคำขอ ิซิ่นถังของเราจะถือว่านี่เป็น้ำใจไมตรีที่คืนให้กับคุณชายหลิ่ว ถือว่าไม่ติดค้างกัน แต่หากภายภาคหน้าเกิดเื่ขัดแย้งระหว่างิซิ่นถังและชิงหลิ่วถัง ิซิ่นถังเองก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ขอรับ”
หลิ่วไป๋เจ๋อแสดงท่าทีไม่แยแส “น้ำใจไมตรีหรือ ข้าไม่เห็นจำได้ว่าชิงหลิ่วถังของข้าเคยมอบไมตรีให้กับิซิ่นถัง ด้วยิซิ่นถังของพวกเ้าเดินทางด้านมืดมาตลอด ส่วนชิงหลิ่วถังก็อยู่ในทางสว่าง ต่างไม่มีอะไรที่เหมือนกัน”
อีกฝ่ายกล่าวว่า “น้ำใจนี้คุณชายหลิ่วไม่รู้ก็ไม่เป็ไร ให้ท่านเ้าสำนักรู้ก็พอแล้วขอรับ เื่ที่คุณชายร้องขอให้หมิ่งซิ่นถังทำนั้นข้าจะรับเอาไว้ ขอตัวลา!”
ชายสวมหน้ากากหายตัวไปท่ามกลางความมืดในรัตติกาล เหลือเพียงหลิ่วไป๋เจ๋อที่ยังอยู่ที่เดิม ไม่ไกลออกไปมีห่อผ้าที่ชายผู้นั้นแขวนเอาไว้ เมื่อลมพัดมาห่อผ้าก็แกว่งไกว ทว่ายังไม่หล่นลงพื้น
ิซิ่นถังคือสมาคมลับที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนและขยายกำลังอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มนั้นซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ขอแค่เงินถึงก็พร้อมจะช่วยเหลือผู้ว่าจ้าง ทั้งโเี้และไร้ความปรานี
หลิ่วไป๋เจ๋อใช้เวลาสืบเื่สมาคมนี้อยู่หลายเดือน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ไม่อาจทราบได้ชัดเจนว่าใครคือศิษย์หรือผู้นำ แม้แต่ที่ตั้งก็ค้นหาไม่เจอ สมาคมนี้ลึกลับมาก โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ทำชั่ว เพียงทำตามความปรารถนาของนายจ้างเท่านั้น
หลิ่วไป๋เจ๋อปลดห่อผ้าลงมาจากกิ่งไม้ ถือมันไว้แล้วค่อยๆ คลำไปมา ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“น้ำใจไมตรีอย่างนั้นหรือ”
เขาจำไม่ได้ว่าตนเองเคยมีบุญคุณต่อใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงิซิ่นถังที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ก่อนหน้าย่อมไม่เคยพบเจอกับสมาคมนี้อย่างแน่นอน
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง สถานที่ที่ถูกเรียกว่าิซิ่นถังแห่งนี้คงไม่เพียงรับเงินเพื่อขจัดปัญหาให้เท่านั้น แต่จะต้องมีแผนการอื่นแฝงอยู่เื้ัเป็แน่ ทว่าในเวลานี้เขายังไม่พบเบาะแสใดๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกนั้นขยายตัวในแดนเจ๋อต่อไป
หลิ่วไป๋เจ๋อย่อตัวลงนั่ง ยื่นมือออกไปแตะต้นขู่เล่อที่เพิ่งงอก ไม่รู้ว่าโผล่พ้นดินขึ้นมาเมื่อใด แล้วจะผลิดอกออกผลยามไหน คนบางคนคงตั้งตารอเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อเป็แน่
เช้าตรู่วันนี้ อูิโยวลากร่างกายอันเหนื่อยล้าออกมาจากเรือน ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาฝึกฝนเกินกำลังไป หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายจะรับไม่ไหว ่สองสามวันนี้เขาไม่ได้ยินเื่หัวขโมยในหุบเขาอีก จึงโล่งใจเป็อย่างมาก ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นคงจะยอมรามือในการเข้าไปยังสุสานหินแล้ว เพราะกุญแจห้องลับนั้นยังอยู่ในมือเขา
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นอูิหลิงนั่งอยู่ที่ลานบ้าน ในมือถือดอกไม้อยู่หนึ่งช่อ
ิโยวรู้ว่าดอกไม้ที่อีกฝ่ายโปรดปรานมาั้แ่เด็กคือดอกิหลิง เคยได้ยินมารดาเล่าว่า พี่สาวของเขาเกิดมาในทุ่งดอกิหลิง จึงตั้งชื่อนางตามดอกไม้นั้น
ในเวลานี้นางกำลังนั่งถือช่อดอกิหลิงเอาไว้ในมือ สายตาจ้องมองออกไปไกลอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดสิ่งใด
“ท่านพี่หญิง”
ิหลิงหันกลับมามองิโยว คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น
“เ้าเป็อะไรหรือไม่ เมื่อคืนนอนไม่เต็มอิ่มหรือ”
ความเหนื่อยล้าของน้องชายไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้เป็พี่สาว
ิโยวโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่ฝันร้ายเลยนอนไม่หลับ”
เขาเริ่มรู้สึกว่าการโกหกกลายเป็นิสัยของตนไปเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่สามารถบอกเื่ที่ตนเองหักโหมฝึกฝนให้นางรู้ได้
ิหลิงฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวคว้าข้อมือของเขาและตรวจชีพจรอย่างละเอียด
“พี่หญิง…” ิโยวอยากดึงมือออก แต่ิหลิงกลับจ้องเขม็ง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ปล่อยมือเขา แล้วมองด้วยความสงสัย “เ้าแค่อ่อนเพลีย ไม่มีอะไรร้ายแรง พักผ่อนมากๆ ก็จะดีขึ้น”
อูิโยวทำเพียงหัวเราะเบาๆ “ข้าก็บอกแล้วว่าข้าสบายดี แม้จะไม่เก่งด้านการรักษาเหมือนพี่หญิง แต่ข้าก็มีความสามารถมากกว่าหมอทั่วไป ร่างกายของตนเองข้าย่อมรู้ดีกว่าใคร ไม่ต้องกังวลหรอกข้าไม่เป็ไร อันที่จริงระยะนี้แค่ฝึกซ้อมมากเกินไป รวมกับนอนหลับไม่ค่อยสนิท จึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย”
อูิหลิงไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขาเท่าไรนัก “จริงหรือ”
อูิโยวทุบหน้าอกของตน “ขอรับ ท่านพี่หญิงไม่เชื่อข้าหรือ”
“ฮึ เ้าทำให้ข้าวางใจได้ที่ไหนกันล่ะ!”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเื่ร่างกายของเขาอีก อูิโยวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต้องขอบคุณอิ๋นซิงที่เมื่อคืนนำผลทับทิมแดงมาให้กับเขา จนทำให้สามารถฟื้นจากอาการาเ็ได้ในชั่วข้ามคืน ทั้งเขายังพยายามปิดกั้นลมปราณในร่างกาย ดังนั้นพี่สาวของเขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับอาการาเ็นี้
“พี่หญิง มาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้มีเื่อะไรหรือ”
ิหลิงเอ่ยว่า “อีกไม่กี่วันข้าจะออกจากหุบเขา หากเ้า้าสิ่งใดขอให้บอก ข้าจะนำกลับมาให้”
“พี่หญิงจะไปไหนหรือ”
“เมืองหลวงเฟิ่งเทียน”
ิโยวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็เผยรอยยิ้มออกมา “พี่หญิงจะไปหาคุณชายใหญ่หลิ่วหรือ”
ิหลิงรู้สึกขบขันกับท่าทางของน้องชาย จึงยกมือขึ้นตีหน้าผากเขา “วันๆ ในหัวเ้าเอาแต่คิดอะไรกัน”
“หรือไม่ได้เป็เช่นนั้นล่ะ”
“ข้ามีเื่สำคัญต้องไปจัดการ อีกอย่างข้าจะไปยังคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานไม่ใช่ชิงหลิ่วถัง”
“ไม่ได้!”
อูิโยวลุกขึ้นยืนและรีบร้องห้าม สีหน้าท่าทางจริงจังไม่ได้ดูเหมือนกำลังหยอกล้อ
“ท่านไปที่คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานไม่ได้นะ ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ อวิ๋นจวามีเจตนาที่ไม่ดีต่อท่าน เหตุใดถึงต้องพาตนเองเข้าไปในถ้ำเสือเช่นนี้”
อูิหลิงเอ่ย “ข้าไม่ได้ไปเพียงลำพัง ยังมีคนอื่นอีก คุณชายรองอวิ๋นไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเช่นนั้นหรอก อีกอย่างพี่สาวของเ้าไม่ใช่ลูกแกะที่จะถูกเชือดได้ง่ายๆ หากเขาคิดจะทำอะไรข้าก็เตรียมถูกตัดมือตัดเท้าได้เลย”
ดวงตาของอูิหลิงเป็ประกายเฉียบคมจนน่าใ
อูิโยวยังคงไม่วางใจแต่ก็ห้ามไม่ได้ จู่ๆ คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานก็เรียกให้ทุกคนไปรวมตัวกันเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีเหตุผลหรือจุดประสงค์ใดกันแน่
เพราะเื่ของสำนักมิ่งเก๋อ ผู้นำตระกูลใหญ่หลายตระกูลจึงไม่อยู่ที่เรือนของตน ในคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานไม่มีอวิ๋นหลานเฟิงอยู่ ถ้าเช่นนั้นก็เหลือเพียงอวิ๋นฉี่ อวิ๋นจวา และอวิ๋นเฟยที่อ่อนแอ ด้วยนิสัยใจคอของทั้งสามคน จึงเป็เื่ยากที่อูิโยวจะวางใจได้
“ท่านจะไปยังคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานด้วยเหตุอันใด”
ิหลิงไม่มีความคิดจะปิดบัง บอกเขาไปตามตรงว่า “ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลงแล้ว ม่านหมอกพิษในป่าใต้พิภพได้จางหายไป เหล่าสัตว์ชั่วร้ายที่อยู่บริเวณชายป่าก็พร้อมจะเคลื่อนไหว จากที่จิ่วฟางกวนได้แจ้งมานั้น ปีนี้ป่าใต้พิภพแตกต่างจากที่ผ่านมา ฝูงสัตว์ร้ายปรากฏตัวบ่อยขึ้นและทำร้ายเหล่าทหารในเทือกเขาจู่เสียจนได้รับาเ็สาหัสหลายราย พวกเขาจึงแจ้งให้เมืองหลวงทราบและหวังว่าจะหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขโดยเร็ววัน นอกจากนี้ใน่ปลายฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้ว ยาสมุนไพรที่ส่งไปจากหุบเขาไป่หลิงก็ใช้จนหมด พวกเราต้องส่งไปเพิ่มโดยเร็วที่สุด จึงต้องเดินทางไปยังคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานด้วยเหตุนี้”
“ใครจะเป็ประธานในการหารือ คงไม่ใช่คนจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานนะ พวกเขาจะทำอะไรได้!” ไม่ใช่ว่าอูิโยวประเมินพวกเขาต่ำไป แต่ในคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานแห่งนี้ นอกเหนือจากท่านผู้นำตระกูลอย่างอวิ๋นหลานเฟิงแล้ว คนที่เหลือล้วนไร้ความรับผิดชอบ
อูิหลิงส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ไม่ใช่คนของอวิ๋นหลานซาน แต่เป็คนที่ถูกส่งมาจากสำนักมิ่งเก๋อ เื่รายละเอียดผู้าุโในสำนักได้ทำการหารือกันแล้ว พวกเขาเพิ่งแจ้งรายละเอียดให้ทราบกันถ้วนทั่ว”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้”
สำนักมิ่งเก๋อแตกต่างจากหลายปีที่ผ่านมามาก ในอดีตจะไม่เปิดประตูสำนักจนกว่าจะถึงเวลาคัดเลือกศิษย์ แต่ปีนี้ยังไม่ถึงเวลานั้นก็เปิดประตูไปแล้วถึงสองครั้ง ทำให้ผู้คนอดสงสัยเสียไม่ได้
อูิหลิงถักดอกไม้ในมือให้เป็มงกุฏดอกไม้ แล้วยื่นไปวางลงบนศีรษะของิโยว พร้อมกับมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ข้าไตร่ตรองเอาไว้แล้ว”
ิโยวจะยื่นมือไปถอดมงกุฏดอกไม้ แต่ิหลิงหยุดยั้งไว้ “อย่าถอดออก ิโยวใส่ชุดอะไรก็ดูดี!”
เขาจึงขมวดคิ้ว บุ้ยปาก “ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบ เหตุใดถึงจับแต่งตัวให้เหมือนเด็กผู้หญิงอยู่เรื่อย”
อูิหลิงยิ้ม “จริงๆ แล้ว ข้ามักรู้สึกว่าท่านแม่คลอดพวกเราออกมาสลับเพศกัน คงจะดีไม่น้อยถ้าข้าเป็ชาย เ้าเป็หญิง”
อูิโยวตกตะลึง ก่อนความรู้สึกอบอุ่นจะลอดผ่านเข้ามาในหัวใจ พี่ใหญ่เป็ชายที่ไร้พลังิญญาและพี่หญิงเป็สตรี ตนเองก็ดื้อรั้นไม่ชอบการถูกควบคุม พี่หญิงจึงต้องแบกรับความรับผิดชอบแทนเขามาโดยตลอด เื่เหล่านี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้
“ท่านพี่หญิง...”
ิหลิงยกมือขึ้นดีดหน้าผากของเขาแล้วพูดด้วยความโกรธ “อย่าเอาแต่คิดอะไรไร้สาระ พี่ใหญ่กับข้าต่างก็อยากให้เ้ามีความสุข เช่นเดียวกับที่เ้าหวังว่าพวกเราจะปลอดภัย”
อูิหลิงยืนขึ้นและเอ่ยถามอีกครั้ง “ข้าจำได้ว่าเ้าชอบลูกกวาดที่ปั้นเป็รูปคนมากที่สุด ข้าจะซื้อให้เ้าอันหนึ่งเมื่อกลับมาดีไหม”
ได้ยินเช่นนี้อูิโยวก็สั่นสะท้านในอก เขาเคยได้ยินคนในหุบเขาพูดถึงมันตลอดเมื่อตอนที่ยังเด็ก จึงขอให้บิดานำกลับมาให้เพราะความอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้จะยังชอบของแบบนั้นได้อย่างไรกัน แต่ว่าคนเป็พี่สาวยังจำได้ชัดเจน เขาจึงรู้สึกตื้นตันใจเป็อย่างมาก
อูิโยวส่ายหัว “ไม่ อันเดียวจะไปพอได้อย่างไร ข้า้าสี่อัน ให้ท่านพ่อหนึ่งอัน ท่านแม่หนึ่งอัน พี่ใหญ่หนึ่งอัน พี่หญิงหนึ่งอัน ท่านว่าเป็อย่างไร”
อูิหลิงเอื้อมมือไปบีบแก้มอีกฝ่ายแล้วยิ้ม “เอามาทำไมเยอะแยะ ไม่กลัวปวดฟันหรือ!”
“ข้าไม่ได้จะเอามากิน ข้าจะเก็บเอาไว้ดู”
“ตกลงๆ ข้าจะนำไปแช่ในน้ำแข็งแล้วเอากลับมาให้เ้า ไม่อย่างนั้นคงละลายเสียก่อน จะซื้อให้เพิ่มอีกหนึ่งอัน รวมของเ้าด้วย”
“ช้าก่อน!”
อูิโยวพูดด้วยท่าทีร้อนรน “ซื้อเพิ่มอีกอันหนึ่งดีไหม”
เขาเลิกคิ้วและพูดต่อ “ปั้นเป็หลิ่วไป๋เจ๋ออีกคนแล้วจับท่านกับเขาเอาไว้ด้วยกัน คิดว่าอย่างไร”
“เ้าคนคนนี้ อยากโดนตีหรือ!”
...
เมื่ออูิหลิงจากไป อูิโยวก็รีบแกะสลักจดหมายแท่งไม้ไผ่แล้วมอบให้อิ๋นซิง ขอให้มันนำไปส่งยังชิงหลิ่วถัง
ขณะนี้อยู่ใน่ที่คับขัน เขาไม่สามารถออกจากหุบเขาได้ ไม่เช่นนั้นคงจะไปกับพี่หญิงด้วยแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางอื่นนอกจากเขียนจดหมายถึงชิงหลิ่วถังและขอให้หลิ่วไป๋เจ๋อช่วยดูแลพี่สาวของเขา
เมื่อลองตรองดู นี่น่าจะเป็ครั้งแรกที่เขาเป็ฝ่ายติดต่อหลิ่วไป๋เจ๋อก่อน นับั้แ่ออกจากเฟิ่งเทียนครั้งล่าสุด เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปไม่รู้กี่เดือน ความโกรธในวันนั้นได้หายไปนานแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาไม่เคยโกรธหลิ่วไป๋เจ๋อจริงๆ เลย แค่โมโหเพียงเพราะคำว่าศักดิ์ศรี จึงทำให้มันยืดเยื้อมาถึงตอนนี้
—-------------------------------
