กว่าไฟจะมอดก็ปาไปตีสามแล้ว ถนนบริเวณรอบๆ ต่างถูกเ้าหน้าที่ทางการปิดกั้น หลังจากไฟมอดไปหมดแล้ว อีกทั้งใน่เวลานี้เมืองหลวงประกาศกฎอัยการศึก ดังนั้นนอกจากคนแถวนั้นที่เข้ามาช่วยดับไฟแล้ว ก็ไม่มีผู้คนมาล้อมดูแม้แต่คนเดียว
เ้าหน้าที่ทางการกว่าสิบนายก็มาช่วยกันดับเพลิง หลังจากที่ไฟมอดแล้ว สิ่งที่เ้าหน้าที่จะทำเป็อันดับแรกคือตรวจสอบว่ามีคนตายในเหตุไฟไหม้ครั้งนี้หรือไม่
หากเทียบกับเ้าหน้าที่ท้องถิ่นแล้ว เ้าหน้าที่ในเมืองหลวงถูกฝึกมาดียิ่งกว่า ยิ่งใน่ที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกด้วยแล้ว ยิ่งจะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
เหลือเพียงซากปรักหักพัง ถึงแม้ไฟจะมอดลงไปแล้ว แต่ยังคงมีควันลอยโขมงอยู่
หลังจากไฟมอดแล้วพ่อบ้านชิวก็รีบรุดเข้าไปตรวจสอบพร้อมกับผู้ดูแลสวี โรงรับจำนำของตระกูลฉีไม่ใช่เล็กๆ ทั้งโรงรับจำนำรวมผู้ดูแลสวีด้วยแล้ว มีมากถึงสิบเอ็ดคน แต่ว่าคนที่อยู่เวรในคืนนี้กลับมีแค่ห้าคน นอกจากผู้ดูแลสวีที่อยู่หน้าร้านแล้ว อีกสี่คนเฝ้าอยู่ด้านหลังคลัง
สินค้าในโรงรับจำนำ มาๆ ไปๆ ของที่เก็บอยู่ในร้านเองก็มีไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีเงินสดอีกจำนวนหนึ่งด้วย
หลายวันก่อน เนื่องจากขาดแคลนเงิน ทางร้านก็เลยหยุดรับจำนำของ แต่เพื่อเป็การเตรียมการให้กับลูกค้าประจำ เงินสดพวกนี้จึงถูกเก็บไว้ในนี้ทั้งหมด เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน ต่อให้ทางจวนจิ่นอีโหวจะลำบากเพียงใด เงินจำนวนนี้ก็ไม่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ เพราะการเปิดโรงรับจำนำ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “ความเชื่อมั่น” ลูกค้าประจำบางคนนำของมาจำนำ ไม่มีข้ออ้างที่จะปฏิเสธพวกเขาได้
ซากปรักหักพังท่ามกลางเปลวไฟที่มอดไหม้ ได้พบกล่องเหล็กที่ถูกล็อกเอาไว้ เงินยังคงอยู่ไม่ขาดไปแม้แต่แดงเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงสามารถตัดสินความอยู่รอดของโรงรับจำนำได้ แต่ว่านอกจากเงินแล้ว ของที่เก็บในคลังทั้งหมด ถูกไฟไหม้ไม่จนเกือบหมด เหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
หยางหนิงอยู่ด้านหลังพ่อบ้านชิว เขาเดินผ่านซากปรักหักพังพวกนี้ สีหน้าเคร่งเครียด
“ซื่อจื่อ ของในโรงรับจำนำถูกไหม้จนเกือบหมด” พ่อบ้านชิวพาคนสองคนเดินไปตรวจตามซากที่ถูกไฟไหม้ ยิ้มฝืนๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าเสียหายไปทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะสมุดบัญชีก็ถูกเผาไปเสียหมด ในตอนนี้ก็ประเมินค่าเสียหายไม่ได้ ยังถือว่าดีอยู่ที่คนของร้านไม่มีผู้ได้รับาเ็”
หยางหนิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ต่อให้พ่อบ้านชิวไม่พูด เขาก็รู้ว่าไฟไหม้ในครั้งนี้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับจวนจิ่นอีโหวอย่างแน่นอน
“ซื่อจื่อ ผู้ดูแลสวีบอกว่า ต้นเพลิงมาจากด้านหลังของคลัง” ฉีเฟิงเดินมาจากด้านหลัง มองไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เขาบอกว่ากลางดึกได้ยินเสียงมาจากด้านหลังร้าน จึงลุกขึ้นไปดู แล้วพบว่าด้านหลังคลังเปลวไฟลุกโชนไปทั่วแล้ว จึงรีบวิ่งไป ในตอนนั้นไฟได้ลุกไหม้รุนแรงนัก จากนั้นไฟก็ลามไปอย่างรวดเร็ว เขากับคนที่อยู่เวรในคืนนี้จึงรีบช่วยกันดับไฟ แต่ว่าคนเพียงไม่กี่คน ดับไฟเห็นทีจะไม่ได้ ทำได้เพียงให้คนส่วนหนึ่งอยู่ดับไฟ อีกส่วนหนึ่งออกไปตามคนมาช่วย”
“สมุดบัญชีเ้าเก็บไว้ที่ใด?” หยางหนิงถาม
ฉีเฟิงพูดว่า “สมุดบัญชีของร้าน ก็น่าจะวางไว้ในตู้ ผู้ดูแลสวีรีบร้อนไปดับไฟ ไม่ทันได้หยิบสมุดบัญชีออกมา พอย้อนกลับมาอีกที ตู้ก็ไหม้ไปหมดแล้ว เขาอยากจะเข้าไปหยิบสมุดบัญชีออกมา แต่เปลวไฟนั้นร้อนแรงยิ่งนัก คนที่ร้านก็เลยลากเขากลับมา” แล้วพูดอีกว่า “เฉินซานเป็พยานได้ ต้นเพลิงมาจากในคลัง ในมือพวกเขาไม่มีกุญแจ หลังจากที่เห็นว่าไฟไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ดูแลสวีก็รีบวิ่งหนีออกมา”
“ถ้าอย่างนั้น ไฟไหม้มาจากด้านในห้องคลังสินค้าอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเขาบอกแบบนั้นไม่ผิดแน่” ฉีเฟิงพูดต่อว่า “ด้านหลังของคลังสินค้าเป็ที่พักของผู้ที่อยู่เวร ่เวลากลางคืนจะมีการสลับกันขึ้นมาเดินตรวจเป็ระยะ”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากว่าต้นเพลิงมาจากด้านหลังคลังจริง ถ้าอย่างนั้นในคลังจะเกิดไฟไหม้ได้ยังไง?” มองไปที่พ่อบ้านชิวแล้วถามว่า “กุญแจคลังอยู่ที่ผู้ใด?”
พ่อบ้านชิวตอบว่า “คลังเป็สถานที่สำคัญที่สุดของโรงรับจำนำ ต่อให้เป็ผู้ดูแลสวีก็ไม่อาจเปิดคนเดียวได้ คลังเป็คลังปิดแม้แต่ลมก็ผ่านไม่ได้ มีทางเข้าออกเพียงด้านเดียว จะลงกลอนสองชั้นที่หน้าประตูใหญ่ ผู้ดูแลสวีและลู่เฉาเฟิงจะถือกุญแจคนละดอก มีเพียงไขกลอนกุญแจทั้งสองออกถึงจะสามารถเข้าไปด้านในคลังได้”
“ลู่เฉาเฟิงอยู่ไหน”
“ลู่เฉาเฟิงกับผู้ดูแลสวีจะสลับกันเฝ้าเวร” พ่อบ้านชิงอธิบายต่อ “คืนนี้เป็วันพักของลู่เฉาเฟิง จึงเป็ผู้ดูแลสวีที่เฝ้าบ้านเวร ตามหลักแล้ว หลังจากปิดประตู ก็ไม่น่าจะมีใครสามารถเข้าไปได้อีก”
หยางหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเื่นี้ก็แปลก ไม่มีใครเข้าไปในคลังได้ แต่ว่าไฟกลับไหม้มาจากด้านในคลัง เจอผีเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
พ่อบ้านชิวเองก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คลังสำคัญยิ่งกว่าส่วนใด ปกติแล้วไม่เปิดใน่เวลากลางคืน อีกทั้งยังสั่งห้ามให้นำไฟเข้ามาภายใน ไม่มีทางที่จะมีสิ่งใดที่ทำให้เกิดไฟได้อย่างแน่นอน”
“ผู้ใดคือผู้ที่เจอเป็ผู้แรก?” หยางหนิงเสียงเข้ม สุดท้ายก็ถามออกมา
ฉีเฟิงรีบพูดออกมาว่า “เฉินซาน เขาบอกว่าเป็เวลาเดียวกับที่เขาออกมาเดินตรวจ เขาเดินตรวจหนึ่งรอบ หลังจากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำ พอเขากลับมาอีกที ก็พบว่าไฟได้ลุกไหม้แล้ว แถมไฟยังไหม้รุนแรงมากด้วย พริบตาเดียวไฟก็ลามไปทั่วแล้ว เขาเลยะโบอกคนอื่นๆ ทำให้ผู้ดูแลสวีใตื่นขึ้นมา หลังจากที่ผู้ดูแลสวีมาถึง คลังก็ถูกไหม้ไปหมดแล้ว”
พ่อบ้านชิวพูดด้วยความโกรธว่า “เฉินซานทำงานอย่างไร? เขาไม่รู้เลยหรืออย่างไร ว่าคลังจะไม่มีคนเฝ้าไม่ได้?”
ฉีเฟิงไม่พูดไม่จา หยางหนิงคิดในใจว่าจะมาเอาผิดเื่นี้ในตอนนี้มีประโยชน์อันใด
“ถ้าอย่างนั้น เหตุไฟไหม้ในครั้งนี้ก็เริ่มไหม้ตอนที่เฉินซานไปห้องน้ำ” หยางหนิงคิด “ไปห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นาน ตอนที่เขากลับมา คนอื่นๆ ก็นอนหลับอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คนในโรงรับจำนำไม่มีทางถือไฟเข้าไปในคลังได้แน่นอน”
พ่อบ้านชิวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีกุญแจ คิดจะเข้าไปก็เข้าไปไม่ได้ อีกอย่างเ้าพวกนี้ก็ทำงานในโรงรับจำนำมาสามสี่ปีได้แล้ว เป็คนเก่าแก่ทั้งนั้น กฎระเบียบในโรงรับจำนำพวกเขาต่างรู้ดี ไม่มีทางสะเพร่าเช่นนั้นแน่นอน จริงสิ วันนี้ตอนที่ลงกลอนคลัง ข้าน้อยยังเดินไปตรวจดูรอบหนึ่ง ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเป็เชื้อก่อไฟได้ แล้วข้าน้อยก็ยังเป็คนคุมพวกเขาลงกลอนด้วยตัวเอง”
“่บ่ายวันนี้พ่อบ้านชิวมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงถาม
“เงินที่ยืมธนาคารมา วันพรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดส่งแล้ว” พ่อบ้านชิวขมวดคิ้ว “ฮูหยินสามให้ข้ามาดูที่โรงรับจำนำว่ามีใครมาไถ่ของออกไปบ้างหรือไม่ เผื่อจะนำเงินทางนี้ออกไปใช้สอยได้ เมื่อตอนบ่ายข้าน้อยเข้ามาที่นี่ ตรวจคลังสินค้า ลองดูว่าพอจะเบิกเงินของที่นี่ไปให้ที่จวนได้บ้างหรือไม่”
พ่อบ้านชิวเป็พ่อบ้านใหญ่ของจวนจิ่นอีโหว เื่นี้หยางหนิงรู้ดี พ่อของพ่อบ้านชิวเองในตอนนั้นก็ติดตามท่านจิ่นอีเหล่าโหว ช่วยท่านจิ่นอีเหล่าโหวจัดการเื่ภายในจวน ทำทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์ ในตอนนั้นพ่อบ้านชิวเองก็คอยเป็ผู้ช่วยอยู่ข้างๆ หลังจากที่พ่อของเขาตายไป พ่อบ้านชิวก็รับ่ต่อจากตำแหน่งของพ่อเขามา ช่วยจัดการเื่ในจวน ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าทำได้ดีมาโดยตลอด
จวนโหวมีกิจการร้านค้าสองร้าน มีร้านขายยากับโรงรับจำนำ กิจการดำเนินด้วยดีมาโดยตลอด ถึงแม้เื้ัการบริหารการจัดการภายในจวนโหวจะเป็กู้ชิงฮั่น แต่เพราะนางเป็หญิง แล้วหญิงในจวนโหว จะออกมาข้างนอกมิได้ ดังนั้นในหลายๆ เื่ที่ต้องลงรายละเอียด ก็จะเป็หน้าที่ของพ่อบ้านชิวที่จะออกหน้าไปจัดการแทน
หยางหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิว ในคลังนี้มีของประเภทกำมะถันหรือสิ่งที่ติดไฟง่ายรวมอยู่ด้วยหรือไม่?”
พ่อบ้านชิวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีแน่นอน ทางร้านยาพอมีกำมะถัน แต่ว่าโรงรับจำนำไม่มีสิ่งเหล่านี้แน่นอน” เขาย้อนถามว่า “ซื่อจื่อท่านกำลังคิดว่าไฟในคลังในครั้งนี้มันลุกขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ?”
“นอกจากมันลุกไหม้เองแล้ว ข้าคิดไม่ออกจริงๆ นอกเสียแต่ว่าจะมีผู้ใดเข้าไปจุดไฟข้างในนั้น” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “คงไม่มีใครที่จะสามารถทะลุกำแพงนี้เข้าไปหรอกกระมัง?”
ท่าทางของพ่อบ้านชิวดูสงสัย เหมือนกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ฉีเฟิงพูดว่า “ซื่อจื่อ คนในโรงรับจำนำพวกนี้ไม่มีทางวางเพลิงอย่างแน่นอน พวกนี้เป็คนเก่าแก่ของจวนจิ่นอีโหว จงรักภักดีกับจวนโหวยิ่งนัก ข้าเพียงแต่กังวลว่า...!”
“กังวลสิ่งใดกัน?”
“กังวลว่าจะมีคนฉวยโอกาส” ฉีเฟิงลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูด “หรือว่ามีใครที่เห็นจวนจิ่นอีโหวเป็หนอนบ่อนไส้ ก็เลยคิดจะลงมือทำลายโรงรับจำนำ”
พ่อบ้านชิวก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ที่ท่านฉีเฟิงพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพเป็คนซื่อตรง อาจจะทำให้ใครไม่พอใจ ตอนนี้ท่านแม่ทัพเพิ่งจะสิ้นไป โรงรับจำนำของเราจู่ๆ ก็เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา อาจเป็ไปได้ว่าศัตรูอาจจะแอบมาทำอะไรไว้ก็ได้”
“หา?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “ศัตรูอย่างนั้นหรือ?” แล้วมองไปที่ทั้งสองคน “พวกเ้าคิดว่ามีคนตั้งใจวางเพลิงอย่างนั้นรึ?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ความเป็ไปได้สูงยิ่งนัก ไม่อย่างนั้นมันก็อธิบายเื่ไฟไหม้ครั้งนี้ไม่ได้เลย”
หยางหนิงไม่พูดอะไร เอามือไขว้หลัง แล้วเดินไปท่ามกลางซากปรักหักพัง ทันใดนั้นเองก็หยุดเดิน นั่งยองๆ ลงไป ยื่นมือไปแตะๆ จากนั้นก็เอาขึ้นมาดม ฉีเฟิงเดินตามมา หยางหนิงก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปที่อื่น จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงไปอีกครั้ง
“ซื่อจื่อ ท่านพบสิ่งใดหรือ?” ฉีเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ
หยางหนิงลุกขึ้นยืน ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เมื่อหันไปดู จึงเห็นมีกลุ่มคนมารวมตัวกันอยู่ไกลๆ ผู้ดูแลสวีกับกู้ชิงฮั่นถูกล้อมอยู่ตรงกลาง ต้วนชางไห่ยืนปั้นหน้าั์อยู่ข้างๆ กู้ชิงฮั่น อาวุธพร้อมมือ
หยางหนิงเห็นกลุ่มคนดังกล่าวต่างมาพร้อมด้วยความโกรธ เขาหน้านิ่งแล้วเดินไป ก็ได้ยินมีใครบางคนพูดว่า “ฮูหยินสาม เรารู้ว่าตอนนี้ท่านเป็คนดูแลจวนจิ่นอีโหว พวกเราต่างเคารพท่านจิ่นอีโหวมาโดยตลอด ไม่เคยคิดที่จะล่วงเกินสิ่งใด แต่ว่าในครั้งนี้เป็เื่ใหญ่ เกรงว่าจะไม่ล่วงเกินคงจะมิได้ ต้นเพลิงมาจากร้านของพวกท่าน ร้านผู้อื่นข้าไม่รู้ แต่ว่าร้านของข้า ทั้งแก่ทั้งเด็กต่างฝากชีวิตไว้กับร้านเล็กๆ แห่งนี้ ตอนนี้มันถูกไฟไหม้ไปจนหมดแล้ว แล้วพวกเราจะเอาอะไรกิน หวังว่าฮูหยินสามจะพูดอะไรบ้าง”
“ใครบอก” คนข้างๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “กิจการของจวนโหวใหญ่มาก เพียงนิ้วหัวแม่โป้งนิ้วเดียวก็ใหญ่โตกว่าของพวกเราแล้ว ในตอนนี้เราไม่มีร้านแล้ว สำหรับจวนโหวของพวกท่านไม่ถือว่าสูญเสียสิ่งใดนัก แต่ว่าสำหรับพวกข้า มันแทบจะเฉือนเนื้อเลาะกระดูก เราต่างเคารพต่อจวนโหว ท่านโหวเพิ่งสิ้นไป ข้าไม่ใช่ไม่อยากจะไม่ไว้หน้าท่านโหว หากว่าเื่นี้สามารถตกลงกันเองได้ ก็ไม่ต้องลำบากทางการเข้ามายุ่ง”
จากนั้นก็มีอีกหลายคนที่โห่ร้อง หยางหนิงรู้ทันทีว่า ตอนนี้ร้านที่ได้รับความเสียหายเพราะโรงจำนำนั้นได้เข้ามาเรียกร้องความเป็ธรรมเสียแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้